เสาร์อาทิตย์จันทร์นี้เป็นวันหยุดยาวของสวิตเซอร์แลนด์ ฉันจึงมานอนบนเขาและเดินเขาชมวิวที่ Crans-Montana ในคันโตน Valais ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่แปลกแตกต่างออกไปจากการเดินเขาทั้งหลายที่เคยเดินเป็นประจำ

Crans-Montana นี้เป็นบริเวณสำหรับการมาเล่นสกี เพราะตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ในส่วนที่พูดภาษาฝรั่งเศสของสวิตฯ ในหน้าหนาวที่นี่จะคึกคักมาก หมู่บ้านทั้งหลายจะเต็มไปด้วยนักสกี มีโรงแรมและชาเล่ต์ให้คนมาเช่าพักเพื่อสกีมากมาย ล้วนแล้วแต่หรูดูดี ฉันอยากจะมาสกีที่นี่หลายทีแล้ว แต่เนื่องจากมันอยู่ไกลจากบ้านจึงไม่ได้มาเสียทีเพราะขี้เกียจตื่นเช้า แต่ในที่สุดก็ได้มาแม้ตอนนี้จะเริ่มเข้าหน้าร้อน บนภูเขาที่ใช้เป็นลานสกีกลายเป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่แพ้ตอนหน้าหนาว เพราะมันจะกลายเป็นเส้นทางการเดินเขาที่สวยงามทีเดียว 

ความสูงที่เรามาเดินวันนี้คือประมาณ 2100 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพราะโรงแรมของเราตั้งอยู่บนยอดเขาสูงในระดับนี้ หลังจากกินข้าวเช้าเติมพลังแล้วเราจึงออกเดินไปบนเส้นทางบนยอดเขาข้างบนนี้เอง ทำให้ตลอดทางเราเห็นภูเขาสูงที่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่โดยรอบ และที่ให้ความรู้สึกแปลกก็คือ เราเห็นสถานีกระเช้าสกีอยู่ในบริเวณมากมายที่ปิดสนิทไม่ได้ใช้งาน และบรรดากระท่อมบนเขาที่เป็นร้านอาหารสำหรับนักสกีก็ปิดเงียบกันหมด ใครที่ขึ้นเขามาสกีบ่อยๆ ถ้าได้มาเห็นวิวทิวทัศน์แบบนี้ก็คงจะรู้สึกแปลกไปอีกแบบหนึ่งอย่างที่ฉันรู้สึก เพราะทางบางช่วงที่เราเดินไปบนเขานี้ เป็นถนนและหุบเขาที่ดอกไม้ป่าขึ้นเต็มไปหมด หากแต่ในหน้าหนาวจะเป็นเนินเขาสำหรับนักสกีได้มาโลดแล่น ฉันเดินไปแล้วเห็นป้ายการจราจรของสกีว่าเนินนี้เป็นสีฟ้าบ้างสีแดงบ้าง อันหมายถึงความยากง่ายของเนินสกี หากว่าตอนนี้กลายเป็นทุ่งหญ้าและดอกไม้ทั้งหมด มันก็เลยรู้สึกแปลกๆขำๆบอกไม่ถูก แต่ก็จินตนาการได้เลยว่าเมื่อทุ่งหญ้าเหล่านี้กลายมาเป็นเนินสกีที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะหนา เส้นทางที่เราจะสกีมันจะเป็นอย่างไร คิดแล้วก็เลยทำให้อยากมาสกีที่นี่ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม

และถึงแม้อากาศจะอุ่นและมีต้นหญ้าดอกไม้เต็มไปหมด แต่บางช่วงที่เราเดินก็ยังมีหิมะปกคลุม ทางเดินเท้าบางช่วงก็ขาดเพราะหิมะยังกองอยู่ เราต้องค่อยๆเดินข้ามไป บางช่วงอุ่นจนกลายเป็นลำธารน้ำไหล บางช่วงก็มีทะเลสาบและบ่อน้ำเล็กๆ ซึ่งถ้าหน้าหนาวก็คงแข็งเป็นน้ำแข็งขาวโพลนไปหมดจนดูไม่ออกเลยว่าเป็นบ่อน้ำในหน้าร้อน

วันแรกเดินไปประมาณ 5 ชั่วโมง เส้นทางนับว่าไม่ยากมาก แต่ในชั่วโมงสุดท้ายเราต้องเดินไต่กลับขึ้นที่สูง ก็เล่นเอาเหนื่อยทีเดียวและพอได้สำรวจข้างบนนี้อย่างทั่วถ้วนแล้ว ก็บอกตัวเองว่าจะต้องกลับมาสกีที่นี่แน่นอน จะได้พิชิตภูเขาที่นี่ทั้งหน้าร้อนและหน้าหนาวกันไปเลย

เดินเขาวันต่อมาเปลี่ยนบรรยากาศนิดหน่อย แทนที่จะเดินอยู่บนเขาสูงที่ 2000 กว่าเมตรอย่างเมื่อวาน วันนี้เราเดินลงไปหมู่บ้าน Crans-Montana ด้านล่างเพื่อสำรวจอารมณ์หมู่บ้านสกีและความมีชีวิตชีวาสักนิด

ระยะเวลาที่ใช้เดินวันนี้เพียงแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง เส้นทางเริ่มตั้งแต่โรงแรมเลย มีป้ายบอกทางไปตลอด ได้เดินผ่านทุ่งหญ้ามีดอกไม้ป่าขึ้นเต็ม วันนี้แดดดีกว่าเมื่อวาน อากาศจึงยิ่งสดใสและท้องฟ้ายิ่งกระจ่างขึ้นอีก นอกจากทางที่เป็นเส้นทางให้คนเดินแล้วยังมีทางที่ทำให้จักรยานภูเขาขี่แบบวิบากด้วย น่าสนุก และเส้นทางก็ผ่านสถานีที่จอดกระเช้าและเก้าอี้สกีซึ่งปิดอยู่หลายสถานี ยิ่งเห็นแล้วยิ่งทำให้อยากมาสกีที่นี่และเห็นบรรยากาศในหน้าหนาวขาวโพลนบ้าง

เดินลงมาจนถึงใจกลางหมู่บ้าน Crans-Montana ลักษณะก็เหมือนหมู่บ้านสกีทั่วไปแต่เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามกว่าในฝรั่งเศสหรืออิตาลีมาก ตึกหลายตึกทำยอดเป็นสามเหลี่ยมอยากอยากเหมือนเป็นยอดภูเขาแอลป์ ในเมืองมีทะเลสาบเล็กๆสองแห่งซึ่งหน้าหนาวคงจะแข็งเป็นน้ำแข็ง และมีสนามกอล์ฟที่ดีที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์อยู่ใจกลางเมืองด้วย

ขากลับฉันไม่ได้เดินไต่เขาขึ้นมา แต่ใช้บริการรถแลนด์โรเวอร์ของโรงแรมที่คอยขับวนรับคนระหว่างในหมู่บ้านกับโรงแรมแทน โรงแรมที่พักคราวนี้ก็สุดยอดมาก จึงอยากจะมาใช้เวลานั่งๆนอนๆพักผ่อนหน่อย ดีไซน์ของโรงแรมสุดยอดจริงๆ เพราะเป็นแนวคิด Recycled buildings ที่ฉันมีความหลงใหลเป็นส่วนตัวอย่างมาก นั่นก็คือการนำตึกเก่ามาแปลงโฉมเปลี่ยนการใช้งานจากวัตถุประสงค์เดิมให้เป็นวัตถุประสงค์ใหม่ พวกบรรดา Recycled buildings นี่ถ้าได้เห็น หรือได้เข้าไปเดิน นั่ง ยืน อยู่ในอาคารพวกนี้ทีไร ฉันเป็นต้องใจเต้นแรงทุกที 

และในเมื่อฉันเป็นคนชอบโรงแรมมากอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเมืองไหนที่จะไปบังเอิญมีโรงแรมซึ่งเคยเป็นอาคารที่ใช้งานในเรื่องอื่นมาก่อนเช่นนี้  ฉันก็จะต้องเลือกพักโรงแรมแบบนี้ทุกครั้ง ฉันเคยได้พักและไปเยี่ยมชมมาแล้วหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมซึ่งเคยเป็นกุฎิพระ โรงแรมซึ่งเคยเป็นโบสถ์ โรงอาบน้ำ คุก โรงเรียน โรงงานผลิตรถยนต์ ฯลฯ แต่ที่ยังไม่เคยเลยก็คือโรงแรมซึ่งเคยเป็นสถานีกระเช้ากอนโดล่าที่ขนส่งนักสกี ดังนั้นเมื่อวางแผนที่จะไปพักผ่อนวันหยุดที่ Crans-Montana คราวนี้ และได้พบว่ามีโรงแรมหนึ่งสร้างอยู่ในสถานีกอนโดล่าเก่าอันตั้งอยู่บนยอดเขาสูงถึง 2000 กว่าเมตร ฉันจึงไม่ลังเลที่จะเลือกพักที่โรงแรมนี้เลย

นอกจากจะเป็น Recycled building แล้ว Chetzeron ยังเป็นโรงแรมในแบบเหนือฟ้าทุกประการ คือดีไซน์สวย ห้องพักจำนวนไม่เยอะ คือเพียง 16 ห้อง และประหนึ่งจะเป็นความลับเล็กน้อย การจะไปถึงโรงแรมนั้นมีได้เพียงเดินเท้าไต่เขาขึ้นไปจากหมู่บ้านด้านล่าง สกีไป หรือนั่ง Snowcat ที่โรงแรมมารับจากสถานีกระเช้าสกีในหน้าหนาว หรือในหน้าร้อนก็จะต้องนั่งรถแลนด์โรเวอร์ของโรงแรมที่มารับจากในหมู่บ้านด้านล่าง แล้วขับไต่ขึ้นเขามาบนทางที่เป็นทางสกียามหน้าหนาว มันไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

ห้องโรงแรมใหญ่มากและทุกห้องมีหน้าต่างสี่เหลี่ยมใหญ่ที่มีเบาะให้นั่งเอนหลังชมวิวภูเขาด้านนอกแบบเต็มตา ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนของโรงแรมก็จะเห็นเทือกเขาแอลป์ที่มีหิมะปกคลุมขาวล้อมรอบไปหมด เขาว่าจากที่นี่มองเห็นทั้ง Mont Blanc ทั้ง Matterhorn และ Jungfrau พร้อมๆกันได้เลย เสียดายช่วงที่ฉันไปมีเมฆเยอะไปหน่อยจึงเห็นทั้งสามยอดไม่ชัดพร้อมกัน แต่กระนั้นก็อิ่มกับวิวแอลป์จนหนำใจ จากห้องอาหารก็เห็นวิว ลานเอ้าท์ดอร์สำหรับนั่งกินอาหารมื้อกลางวันและบ่ายก็ล้อมไปด้วยวิว สระว่ายน้ำกลางแจ้งบนหลังคาก็ล้นไปด้วยวิว แต่จุดที่ต้องอึ้งตะลึงงันและเรียกว่าเป็นหัวใจของโรงแรมนี้ ก็คือตรงช่องหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานของอาคารสูงขนาดสามชั้น ที่เคยเป็นช่องให้กระเช้าแล่นวนเข้ามาในสถานีนั่นเอง เพียงแค่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในโรงแรม สายตาทุกคนก็จะต้องถูกดึงไปที่วิวภูเขาหลังกรอบหน้าต่างยักษ์อันนี้ และคงจะไม่มีใครเลยที่จะไม่อ้าปากค้างไปด้วยความตะลึงกับวิวที่ได้เห็น

ด้วยความที่หลงใหลในตึกเก่าเอามาใช้งานใหม่อย่างที่บอก ฉันจึงมักจะอยากรู้อยากเห็นเสมอว่า ครั้งที่อาคารเหล่านั้นเคยใช้งานดั้งเดิมอยู่มันหน้าตาเป็นอย่างไร ครั้งนี้ได้คุยกับคุณ Sami Lamaa เจ้าของโรงแรมซึ่งมานั่งเล่าประวัติโรงแรมให้ฟัง พร้อมทั้งนำโปสการ์ดรูปอาคารนี้สมัยใช้งานเป็นสถานีกอนโดล่าอยู่มาให้ดู ถูกใจฉันมากเลย จึงถ่ายรูปโปสการ์ดเก็บมาด้วย หน้าตาของอาคารมันก็คือสถานีกอนโดล่าปกติดีๆนี่เองที่มีช่องให้กระเช้าแล่นวนเข้าไปแล้วกลับออกมา ส่วนด้านข้างที่เป็นลานนั่งกินอาหารยามบ่ายนั้นก็คือส่วนที่เป็นร้านอาหารดั้งเดิม ไม่ต่างอะไรกับสถานีกระเช้าบนยอดเนินสกีปัจจุบัน เห็นแล้วต้องคารวะคุณซามี่และภรรยาคนไทยที่สามารถออกแบบปรับปรุงสถานีกอนโดล่านี้ออกมาเป็นโรงแรมที่ทันสมัยสวยงาม แต่ยังเก็บความดั้งเดิมของอาคารนี้อยู่ได้อย่างดี ชอบมากจริงๆ

อาหารการกินเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่โรงแรมนี้ให้ความสำคัญเพราะคุณซามี่เคยเป็นเชฟมาก่อน อาหารเช้านั้นทั้งสวยและอร่อย ทำตามออเดอร์ตรงครัวเปิดให้กินกันสดๆจานต่อจาน มื้อเย็นนั้นคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจะต้องจองเป็นมื้อพิเศษแล้วดั้นด้นขึ้นมากินกันทีเดียว ฉันได้ชิมแทบทุกจานเพราะพักถึง 3 คืนและเมนูมีให้เลือกไม่มาก จึงกินวนไปจนครบ อันนี้อยากจะให้มีเมนูมากกว่านี้เพราะผ่านไปสองวันก็ชักจะเบื่อแล้ว

หลังจากสำรวจทั้งโรงแรมทั้งบริเวณเนินสกีแถวนี้จนทั่ว ฉันจึงปักหมุดเอาไว้ว่าจะต้องกลับมาสกีแล้วพักที่ Chetzeron อีกแน่ๆ เพราะด้วยจุดที่ตั้งทำให้โรงแรมนี้สามารถ ski-in, ski-out ได้อย่างแท้จริงไม่ใช่แค่คำโฆษณา อารมณ์ที่จบวันอันมีความสุขหลังจากสกีมาทั้งวันบนยอดเขาขาวโพลนที่ไม่มีผู้คนใดเหลืออยู่แล้วนอกจากแขกพิเศษเพียงแค่ 16 ห้องเท่านั้น มันคงจะทำให้รู้สึกว่าสวรรค์สีขาวนี้เป็นของเราคนเดียวจริงๆ Crans-Montana เมืองที่อยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขาแอลป์ และ Chetzeron ฉันจะต้องกลับมาแน่นอน

NO COMMENTS