เมื่อปี 1988 ฉันไปเรียนภาษาอังกฤษภาคฤดูร้อนที่เมืองอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษเกือบสามเดือน มีเพื่อนใหม่นานาชาติหลายคน ส่วนมากเป็นคนยุโรปกับญี่ปุ่น กลับบ้านแล้วตอนแรกๆคนที่สนิทๆก็เขียนจดหมายติดต่อกัน โดยเฉพาะเพื่อนญี่ปุ่นสองสามคน และอีกคนหนึ่งที่เขียนจดหมายคุยกันอยู่เป็นปีก็คือโรเจอร์ เพื่อนคนสวิส ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเพื่อนชาวยุโรปคนเดียวที่ฉันคุยอย่างต่อเนื่องหลังจากกลับบ้านแล้ว
หน้าร้อนปี 1989 หนึ่งปีพอดีเป๊ะจากที่ไปเรียนซัมเมอร์ ฉันไปทัวร์ยุโรปกับแม่และน้อง เราซื้อทัวร์ไปเที่ยวหลายประเทศ ประเทศหนึ่งก็อยู่ไม่กี่วันตามประสาทัวร์ ฉันวางแผนกลับไปเยี่ยมโรงเรียนที่อ๊อกซ์ฟอร์ดและเพื่อนญี่ปุ่นบางคนที่ยังเรียนต่ออยู่ และเขียนไปบอกโรเจอร์ว่าจะผ่านไปซูริคบ้านเขาสองวัน ตอนนั้นโรเจอร์เข้าปฏิบัติรับใช้ชาติเป็นทหารเกณฑ์อยู่ แต่บอกว่าจะขอลากลับบ้านจะได้เจอฉัน เขาเป็นคนมีน้ำใจ ชอบซื้อของที่ระลึกฝากเพื่อน พอรู้ว่าฉันจะไปสวิตฯก็บอกว่าเตรียมนาฬิกานกคุกคูติดผนังแบบสวิสแท้ๆไว้ให้ฉันเป็นที่ระลึก นัดกันดิบดี ปรากฏพอใกล้วันเดินทางฉันได้รับจดหมายจากโรเจอร์บอกว่าลากรมออกมาไม่ได้ แต่ถึงซูริคแล้วให้ฉันโทรไปหาแม่เขาที่บ้าน จะได้นัดเอานาฬิกาคุกคูเพราะเขาซื้อเตรียมไว้ให้แล้ว มานึกดูตอนนี้ฉันแทบจำไม่ได้แล้วว่าสมัยก่อนที่เราจะมีโทรศัพท์มือถือที่โรมมิ่งได้ทุกที่ในโลกนั้นการนัดหมายอะไรกันแต่ละทีมันลำบากอย่างไร อย่าว่าแต่ว็อทส์แอพ ไลน์ หรืออะไรต่างๆที่เรียกได้ดังใจบนมือถือเลย เดี๋ยวนี้เวลาส่งข้อความจากแอพทางมือถือช้าไปสักสามวินาทีเราก็หงุดหงิดแล้ว ไม่รู้เรากลายเป็นคนใจร้อนขนาดนี้กันไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉันเที่ยวทัวร์อย่างสนุกสนาน พอถึงซูริคก็โทรไปบ้านแม่เขาตามสัญญา แต่ปรากฏว่าแม่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยไม่สามารถนัดกันรู้เรื่อง และฉันก็เกรงใจด้วย ไม่อยากให้แม่เขาต้องลำบากเอาของมาให้เพราะเราไปกับทัวร์ก็แตกแถวได้ไม่สะดวก จึงปล่อยไปตามเลย ไม่ได้เจอกัน หลังจากนั้นฉันก็เขียนจดหมายติดต่อกับโรเจอร์อยู่อีกพักหนึ่ง อาจจะปีหนึ่งหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย แต่พอเวลาผ่านไปต่างก็ยุ่งกับชีวิตของตัวและค่อยๆจางหายออกไปจากชีวิตของกันและกัน จนสุดท้ายเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย แม้สิบกว่าปีผ่านไปฉันจะได้กลับไปเที่ยวสวิตฯอีกก็ไม่ได้นึกถึงโรเจอร์หรือคิดจะติดต่ออีก มิตรภาพในวัยเด็กเหลือเป็นเพียงความทรงจำบางๆที่งดงามเท่านั้น สุดท้ายฉันยอมรับว่าแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีเพื่อนแสนดีชื่อโรเจอร์
เวลาผ่านไปเกือบ 25 ปี ปลายปี 2012 ฉันย้ายมาอยู่สวิสเซอร์แลนด์อย่างไม่คาดคิดมาก่อน ฉันมีเพื่อนอยู่ทั่วโลก ในยุโรปยิ่งมากมายหลายประเทศ ไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกจึงไม่กลัวเหงาเลย แต่พอนั่งนึกวางแผนการใช้ชีวิตดู คิดได้ว่าคราวนี้ฉันไม่ควรใช้ชีวิตในต่างแดนแบบคนต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวเหมือนครั้งก่อนๆที่เคยอยู่บราซิลและอเมริกา หนนี้เป็นการย้ายเพื่อปักหลักจริงๆ จึงคิดว่าเราน่าจะคบหาเพื่อนชาวสวิสบ้าง ลองทบทวนดูว่าเรานี่ก็รู้จักคนหลายเชื้อชาติ แต่ทำไมไม่ค่อยรู้จักคนสวิสเลย ยิ่งที่จะเรียกได้ว่าเพื่อนนี้เห็นจะไม่มี คนที่เคยทำงานด้วยก็พอมีสองสามคนแต่ไม่ใช่เพื่อน มีใครบ้างนะที่เป็นชาวสวิสที่ฉันรู้จัก
ทันใดนั้นชื่อของโรเจอร์ก็วิ่งแหวกม่านแห่งกาลเวลาพุ่งเข้ามาในหัว ใช่แล้ว หากจะมีคนสวิสสักหนึ่งคนที่ฉันจะเรียกได้ว่าเพื่อนก็โรเจอร์นี่แหละ แต่ยังไงล่ะ เวลามันผ่านไปนานมาก อย่าว่าแต่เขาจะยังอยู่ซูริคหรือเปล่าเลย จะอยู่สวิตเซอร์แลนด์หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร เวลาผ่านไปนานขนาดนี้เข้าอาจกลายเป็นคนที่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนด้วยแล้วก็ได้ ฉันลังเลครุ่นคิดอยู่นาน จะไปสืบหาจากฐานข้อมูลสวิสก็ท่าจะยุ่งยาก ภาษาเยอรมันฉันก็พูดไม่ได้ ว่าแล้วก็บอกตัวเองว่าเอ้า ลองหาในเฟสบุคดูซิ ได้ยินมาว่าหลายคนเขาก็หากันเจอในนี้กันมามากแล้ว เราอาจจะฟลุ้คก็ได้
ฉันเคาะนิ้วกดแป้นชื่อนามสกุลโรเจอร์ลงไป โอ้โหขึ้นมาหลายคนมาก ปัญหาใหม่ที่ตามมาคือหน้าตาเขาเป็นอย่างไรแล้วก็ไม่รู้ เขาอาจจะอ้วนขึ้นมายี่สิบกิโลก็ได้ หรือหัวจะโล้นเลย คือมันมีความเป็นไปได้สูงมากที่ฉันจะไม่สามารถจำเขาได้จากรูปโปรไฟล์ในเฟสบุค ซึ่งพอไล่ดูแล้วก็มีความไม่แน่ใจในหลายคนจริงๆ จะดูอาชีพก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไร เรารู้จักกันตอนเป็นนักเรียน เลิกติดต่อกันก่อนเรียนจบ เรียนจบแล้วก็ไม่รู้ไปทำงานทำการอะไร สรุปคือดูแล้วไม่มีอะไรให้ยึดเลยทั้งรูป เมืองที่อยู่ อาชีพ ความชอบ ฉันจะเลิกความพยายามอยู่แล้ว แต่มานึกว่าไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลองดูอีกสักนิดให้สุดทาง อย่างน้อยถ้าหาไม่เจอก็ยังบอกตัวเองได้ว่าทำดีที่สุดแล้ว
ฉันเลือกเอาโปรไฟล์จากเฟสบุคได้สองคนที่คาดว่าอายุและหน้าตาจากรูปเท่าที่เห็นพอจะมีความเป็นไปได้ เข้าไปกูเกิ้ลสืบต่อ พบว่าคนหนึ่งทำงานธนาคารอยู่ซูริค อีกคนอาชีพวิศวกรอยู่ใกล้ๆโลซานน์ เขียนเมล์ไปหาเขาทั้งสองด้วยความสุภาพเป็นที่สุด อธิบายว่าฉันสืบหาเพื่อนเก่าชื่อนามสกุลนี้อยู่ ไม่เจอกัน 25 ปี หากเขาไม่ใช่คนที่เคยรู้จักฉันที่โรงเรียนที่อ๊อกซ์ฟอร์ดเมื่อปี 1988 ก็ขอโทษที่รบกวนและให้ลบเมล์ทิ้งได้เลย
เวลาผ่านไปหลายวันด้วยความหวังที่มีอันน้อยนิดของฉัน และแล้วก็มีเมล์กลับมาหาฉัน โรเจอร์คนที่อยู่เมืองใกล้กับโลซานน์เขียนมาด้วยภาษาเรียบๆตามฉบับความเป็นคนสุภาพของเขา ฮัลโหลฟ้า…ดีใจที่ได้ข่าวยูอีก…. ฮ้า….
เราเขียนอีเมล์เล่าเรื่องราวในชีวิตกันและกันที่ผ่านมา 25 ปีเหมือนที่เราเคยเขียนจดหมายคุยกันแต่ก่อน โรเจอร์ย้ายจากซูริคไปโลซานน์ไม่นานหลังจากที่เราเลิกติดต่อกันและปักหลักอยู่ที่นั่นมาตลอด มีภรรยาที่น่ารักเป็นครู มีลูกสาวอายุ 19 และลูกชายอายุ 16 ตายแล้ว.. ตอนที่ฉันรู้จักกับโรเจอร์ฉันก็อายุเท่าๆกับลูกสาวเขาน่ะแหละ แล้วจะไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองแก่ได้อย่างไร เราเขียนคุยกันได้สองหรือสามเดือนนี่แหละฉันก็มีธุระต้องไปเจนีวา เลยส่งข้อความไปบอกโรเจอร์และถามว่าจะแวะไปกินกาแฟกันเอาไหม เขาตื่นเต้นมากบอกมาเลยๆๆๆ บ้านเขาอยู่บนทางผ่านที่ฉันจะขับรถจากซูริคไปเจนีวาพอดี เลยตกลงกันว่าฉันจะแวะไปกินกาแฟด้วยตอนบ่ายแก่ๆก่อนจะเลยไปนอนค้างบ้านเพื่อนที่เจนีวา
ระหว่างทางขับรถไปฉันก็นึกลุ้นไป ถึงจะเขียนอีเมล์คุยกันมาพักนึงแล้วแต่เราก็ไม่เจอกันมานาน ฉันก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าการเจอกันครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร เราจะคุยกันสนุกไหม ครอบครัวเขาจะน่าคบหรือเปล่า ฉันจะเก้อๆเขินๆไหม ระหว่างทางฉันตั้งใจจะแวะซื้อไวน์ไปฝากสักขวด ปรากฎก็หาร้านซื้อไม่ได้อีก สุดท้ายไปมือเปล่า บอกตัวเองว่ามาถึงขั้นนี้แล้วอะไรก็ไม่มีเสีย ลุย
ฉันขับรถแยกออกจากไฮเวย์ตามที่จีพีเอสในรถพาไป ถนนเข้าสู่ย่านบ้านคนอาศัย มีไร่ไวน์เขียวกว้างแลดูสงบน่าอยู่ ถึงถนนตามที่อยู่แล้ว บ้านเรียงกันไปเป็นแถวแต่มองหาเลขบ้านยาก พอถึงบ้านหนึ่งฉันกำลังลังเลเล็งอยู่ว่าใช่หรือเปล่า ประตูบ้านก็เปิดออกเหมือนเจ้าของบ้านรอคนมาเยือนอยู่อย่างใจจดใจจ่อ โรเจอร์เดินออกมายิ้มน้อยๆตามแบบคนเรียบร้อยเช่นเดิม โบกให้ฉันจอดรถเข้าที่ ฉังลงจากรถมากอดทักทายกัน เขาดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไรเลย เพียงแค่แก่ไปตามอายุเท่านั้นเอง ทั้งภรรยาอลิซ ลูกสาว ลูกชาย รอรับอยู่กันพร้อมหน้า เขาเตรียมเค้กชากาแฟผลไม้เป็นมื้อน้ำชาไว้รอรับอย่างเต็มที่ น่ารักมากๆ เราได้คุยกันสารพัดเรื่อง ที่น่าประทับใจก็คือเรื่องราวสมัยอ๊อกซ์ฟอร์ดที่โรเจอร์ดูจะตื่นเต้นในการเล่าให้ลูกๆของเขาฟังไปพร้อมๆกัน ก็น่าตื่นเต้นอยู่หรอกที่พ่อจะได้เล่าเรื่องสมัยหนุ่มๆก่อนที่จะเจอกับแม่เสียอีกให้ลูกๆฟัง แถมยังมีพยานของประวัติศาสตร์มานั่งประกอบฉากอยู่ตรงหน้าเป็นหลักฐาน ยิ่งกว่านั้นเรื่องราวที่เราได้กลับมาเจอกันอีกเพราะเฟสบุคยิ่งน่าอัศจรรย์ ฉันมีความสุขมากที่ได้เจอเพื่อนเก่าและพบครอบครัวที่น่ารักของเขา โรเจอร์เพื่อนรักของฉันคือโรเจอร์เพื่อนที่สุภาพและมีน้ำใจคนเดิม
เราเล่าให้เด็กๆฟังมาจนถึงเหตุการณ์ที่ฉันกลับมาสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งในปี 1989 และได้โทรคุยกับคุณย่าแต่ไม่ได้เจอกัน มาถึงตอนนี้โรเจอร์ลุกขึ้นแล้วบอกว่า รอเดี๋ยวนะ เขาเดินเข้าไปในห้องทำงานที่อยู่ติดกันแล้กลับออกมาด้วยกล่องสีน้ำตาลใบหนึ่ง ยื่นให้ฉันแล้วบอกว่า “นี่คือของขวัญที่ฉันตั้งใจให้เธอ นาฬิกานกคุกคู” ฉันยกมือขึ้นทาบอกตาเบิ่งจนแทบหลุด ร้องถามไปว่า “อย่าบอกนะโรเจอร์ ว่านี่คือนาฬิกาคุกคูอันนั้น เมื่อ 24 ปีที่แล้ว” โรเจอร์ยิ้มน้อยๆตอบว่า “ใช่ อันนั้นแหละ ฉันเก็บไว้” โอ๊ยฉันจะร้องไห้ให้ได้ มันจะเป็นไปได้ยังไง เขาเก็บมันไว้นานขนาดนี้ ฉันรีบเปลี่ยนอารมณ์ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาโดยพูดติดตลกว่า “นกมันจะตายไปหรือยังโรเจอร์ ป่านนี้มันคงไม่ออกมาขันคุกคูแล้วหละ” แล้วทุกคนก็หัวเราะออกมา
ทั้งโรเจอร์และฉันต่างก็คงคิดไม่ถึงว่าผู้ให้จะได้มอบของขวัญชิ้นนี้ให้ผู้รับตามความตั้งใจจริงๆ ถึงเราจะต้องรอเป็นเวลานานถึง 24 ปี แต่สุดท้ายวันนี้มันก็เดินทางมาถึง ฉันอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่คือสัญลักษณ์ของความเป็นเพื่อนอย่างแท้จริงที่มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ “เวลา”คือเครื่องมือพิสูจน์ความเป็นเพื่อนอย่างแท้จริง ไม่ว่านานเท่าไร ไม่ว่าเราจะเติบโตผ่านอะไรๆมากมายเท่าไหนในชีวิต เพื่อนที่ดีก็จะยังคงเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนเสมอ สวิตเซอร์แลนด์มีชื่อว่าผลิตนาฬิกาที่เที่ยงตรงและคงทนที่สุดในโลก มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เพื่อนชาวสวิสตั้งใจที่จะมองนาฬิกาเป็นของขวัญให้ฉัน และไม่บังเอิญที่เราต้องรอให้การ”มอบ”นั้นเกิดขึ้นนานถึง 24 ปี มันคงถูกกำหนดมาให้เป็นการพิสูจน์ว่า ความเป็นเพื่อนของเพื่อนสวิสคนเดียวของฉันนี้ เที่ยงตรงแม่นยำไม่ต่างจากนาฬิกาสวิสเลย
ป.ล. หลังจากนั้นโรเจอร์เข้าไปหยิบเอากระดาษปึกใหญ่ออกมาที่ทำให้ฉันแทบจะน้ำตาไหลออกมาอีก เพราะมันคือจดหมายและแอร์เมล์ทุกฉบับที่ฉันเคยเขียนส่งมาให้เขา และยังมีรูปถ่ายและหนังสือที่ฉันเคยให้เขาด้วย ทุกอย่างเก็บไว้อย่างดี ฉันอายจริงๆเพราะย้ายบ้านหลายรอบและไม่รู้ว่าเก็บจดหมายเขาไว้ที่ไหน
ป.ล. อีกที โรเจอร์และฉันได้เก็บความเป็นเพื่อนของเราไว้ได้อย่างต่อเนื่องแล้วตอนนี้ หากเขามาซูริคก็จะนัดมากินข้าว ส่วนฉันก็จะแวะไปหากต้องผ่านไปทางเจนีวา ฉันและสามีได้ไปพักบ้านโรเจอร์และทานข้าวกับครอบครัวเขา และฉันก็ให้ลุกสาวเขาไปพักบ้านฉันที่กรุงเทพ ฉันรู้สึกโชคดีทุกครั้งที่นึกว่ามีมิตรภาพที่เที่ยงตรงยาวนานในสวิตเซอร์แลนด์ประเทศใหม่ของฉันนี้
แระทับใจสุดๆ
so Lovely story krub
Thank you mak mak ka
Comments are closed.