ตามประสาคนที่หลงรักในสถาปัตยกรรมสวยๆและชอบแต่งบัาน  ฉันจึงซื้อแมกกาซีนแต่งบ้านมาดูเล่นอยู่เป็นประจำ  ดูไปๆถึงได้สังเกตตัวเองว่า พบบ้านสวยๆต้องตาถูกใจทีไร  เป็นได้ใช่บ้านแบบเมดิเตอเรเนียนทุกที  ตั้งแต่นั้นเลยเริ่มเลือกดูการตกแต่งสไตล์เมดิเตอเรเนียนเป็นพิเศษ ทำให้พบว่าบ้านหลังไหนที่ยิ่งสวยมาก  ประดิดประดอยมาก  และมีวิวทะเลสีน้ำเงินเข้มจัดแต่สว่างตาตัดกับตัวบ้านแบบเปิดโล่งสีส้มสดทีไร เป็นต้องอยู่ที่เกาะมายอร์ก้าเสียแทบทุกครั้งไป จึงสงสัยเหลือเกินว่า  มายอร์ก้าจริงๆจะสวยขนาดไหนmallorca-sea-view

แต่ด้วยเหตุผลใดไม่รู้ทำให้รู้สึกว่ามายอร์ก้าเป็นเกาะแห่งการตากอากาศของไฮโซฝรั่งเท่านั้น  การจะเดินทางไปคงไม่ง่ายและท่าทางจะแพงสะเด็ด  ยังไงคงไม่คุ้มที่จะนั่งเครื่องบินกว่าสิบชั่วโมงไปมายอร์ก้าเพียงเพื่อจะไปนั่งๆนอนๆบนชายหาดสามวันแน่ๆ  ดังนั้นถึงแม้จะชอบเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจโดยเฉพาะในที่แปลกๆไปยากๆ  ฉันก็ไม่เคยคิดว่าจะไปมายอร์ก้าเลย  คิดว่าก็คอยซื้อหนังสือแต่งบ้านแบบเมดิเตอเรเนียนมาดูเล่นไปเรื่อยๆก็แล้วกัน

แต่แล้วก็มีเรื่องไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เกิดขึ้น  เพราะทริปไปเที่ยวสเปนครั้งที่ผ่านมาเกิดไม่เป็นไปตามที่วางไว้  ปกติฉันจะวางแผนการเที่ยวไว้แม่นมาก  เรียกได้ว่ามื้อไหนกินอะไร  กี่โมงไปดูอะไรแทบจะกำหนดไว้เป๊ะ เพื่อความแน่นอนว่าจะได้เที่ยวและสัมผัสรสชาติท้องถิ่นแบบคุ้มสุดๆ  แต่คราวนี้กะไว้ว่าจะอยู่บาเซโลน่าสี่คืน  กลายเป็นว่าสามวันก็เที่ยวหมดแล้ว  แถมอากาศที่สเปนเดือนสิงหาคมนี้ร้อนแห้งทรมานมาก  ชนิดที่แทบจะรู้ว่าปลาเค็มหรือเนื้อแดดเดียวรู้สึกอย่างไรนั่นเลย  ดังนั้นหากจะให้คิดหาที่เที่ยวรอบๆบาเซโลน่าเพิ่มอีกวันหนึ่งโดยไม่รู้ว่าจะคุ้มตากแดดตากลมหรือเปล่าคงไม่ไหว

ferry-trasmediterraneanพอดีอ่านเจอในคู่มือท่องเที่ยวบาเซโลน่าว่ามีเรือเร็วไปถึงมายอร์ก้าได้ภายในสามชั่วโมง  เอ ชักน่าสน  เราเลยเกร่เดินไปหาข้อมูลที่ท่าเรือบาเซโลน่า  ซึ่งมีเรือเมดิเตอเรเนียนครูซลำโตๆจอดอยู่หลายลำ  พบว่าบริษัทเรือเร็วไปมายอร์ก้าคือทราสเมดิเตอเรเนีย  มีเรือให้เลือกสองแบบคือ  แบบสามชั่วโมงถึงกับแบบเจ็ดชั่วโมงถึง  คำนวณดูคิดว่าไปค้างสักคืนก็จะได้เวลาเหมาะพอดี  คือออกจากบาเซโลน่าเจ็ดโมงเช้า  ถึงสิบเอ็ดโมง  เที่ยวได้จนถึงสี่ห้าทุ่มเพราะทุกอย่างที่สเปนสายอยู่แล้ว  อย่างเช่นกินข้าวกลางวันบ่ายสอง  ข้าวเย็นกินสองทุ่มเสร็จสี่ห้าทุ่ม  แล้วรุ่งขึ้นก็ตื่นๆสายๆแล้วขึ้นเรือรอบสิบเอ็ดโมงครึ่งกลับ

ทีนี้จะมีโรงแรมให้พักบนเกาะหรือเปล่าน่ะสิ  เพราะหน้าร้อนใครๆก็ออกไปเที่ยวเกาะ  แถมเรายังจะไปคืนวันศุกร์ด้วย  ว่าแล้วก็คว้าคู่มือเที่ยวสเปนที่ใช้เป็นตำรามาตลอดหลายวันขึ้นมาเปิดหาชื่อโรงแรมแล้วโทร  ปรากฎทุกแห่งใกล้ๆท่าเรือซึ่งอยู่ใจกลางเมืองนั้นเต็มหมด  ทำยังไงดีล่ะ  ฉันไม่อยากอยู่ไกลท่าเรือมากเสียด้วยเพราะยังไม่มีข้อมูลเลยว่ามายอร์ก้ามีอะไรเที่ยวและอยู่ตรงไหนบ้าง  จึงอยากจะเอาสะดวกไว้ก่อน  ตอนนั้นก็ค่ำแล้วและไม่มีจุดแนะนำนักท่องเที่ยวใกล้ๆเลย  เราจึงต้องตัดสินใจแบบเสี่ยงดวงเอาว่า  ไปแล้วจะคุ้มกับค่าเรือคนละหกพันบาทไปกลับหรือไม่

ปรากฏว่าตอนไปซื้อตั๋วเราพบว่าเรือเป็นเฟร์รี่ที่สามารถเอารถไปด้วยได้  เท่านั้นโลกของฉันก็เบ่งบานทันที  เพราะเป็นโรคที่ว่าไปไหนชอบขับรถไปเอง  และเชื่อว่าหากมีรถแล้ว จะอยู่โรงแรมไกลหน่อยก็ได้  ยังสามารถทำทริปได้ทั่วและคุ้มสุดๆแน่นอน

พอซื้อตั๋วเสร็จโดยรู้ว่าเอารถไปใช้ที่มายอร์ก้าได้แน่  ฉันก็เริ่มเรื่องมากในการเฟ้นหาโรงแรม  อ่านคู่มือเล่มเก่าเจอว่ามีโรงแรมหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากวัดโบราณในสมัยศตวรรษที่สิบเจ็ด  แต่อยู่ห่างจากตัวเมืองมายอร์ก้าไปราวครึ่งชั่วโมงกว่า  และอยู่ในหุบเขา  ไม่เห็นทะเลและไม่มีเมืองใกล้เลย  ฉันสนใจทันที  เพราะหลงใหลในตึกเก่าและโบราณสถานอยู่แล้ว  ที่ชอบอีกอย่างคือเชื่อว่านักท่องเที่ยวไม่เยอะแน่นอน เพราะใครๆก็ต้องอยู่แต่ใกล้ชายหาดหรือในเมือง  ฉันโทรไปปรากฎว่ามีห้องว่างแถมยังได้ส่วนลดสามสิบเปอร์เซ็นต์เนื่องจากเป็น ลาสมินิท คอลล์ อีกด้วย  แถมคุณอัลเบร์โต้ที่รับสายยังพูดคุยน่ารักมาก  ฉันเลยตกลงจองทันทีmallaorca-hill-1

และอย่างไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อน  ฉันก็จะได้ไปมายอร์ก้า …. เกาะที่มีแต่บ้านสีสดแบบเมดิเตอเรเนียนตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มที่ฉันหลงรักและอยากมาเห็นเหลือเกิน

เรือทราสเมดิเตอเรเนียเป็นเรือคาทามาแรนจึงเร็วและนิ่งมาก  คนขับรถขึ้นไปด้วยเยอะพอดู  ที่นั่งบนเรือสบายกว้างขวางมาก  หรูหรากว่าเฟร์รี่ที่ข้ามกันเป็นประจำที่อเมริกาเยอะเลย  ฉันหลับปุ๋ยสบายบนเก้าอี้นุ่มที่มองออกไปได้วิวทะเลเต็มหน้าต่างบานกว้าง  พอตื่นขึ้นมาก็เรือก็เลียบชายฝั่งทางตะวันตกของมายอร์ก้าแล้ว  เห็นบ้านเรือนสร้างกระจัดกระจายอยู่ตามไหล่เขาไล่จากล่างไปบน  ตลอดชายฝั่งไม่เห็นมีชายหาดเลย  ซึ่งก็พอจะนึกออกว่าบ้านบนไหล่เขาข้างบนนั้นจะเห็นวิวทะเลเข้มอย่างที่เห็นในแมกกาซีนแน่ๆ

ความรู้สึกแรกคือมายอร์ก้าใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะ  เพราะเรือแล่นเลียบชายฝั่งอยู่นานกว่าจะอ้อมเข้าท่าทางใต้ของเกาะซึ่งเป็นใจกลางเมือง และเป็นเมืองหลักด้วยชื่อ”ปาลมา” (Palma) พอเห็นมารีน่าที่เรือเข้าจอดก็ต้องร้องว้าว  เพราะทั้งอ่าวที่ใหญ่มากนั้นเต็มไปด้วยเรือจอดอยู่เต็มไปหมดทุกแบบทุกขนาดทุกประเภท ถนนที่เลียบขนานอ่าวไปนั้น ถูกขนาบไว้อีกข้างด้วยตึกโรงแรมและอพาร์ทเม้นต์ที่ได้วิวมารีน่าเต็มๆ รถที่แล่นก็เต็มไปด้วยประเภทสปอร์ตเปิดประทุน คนขับถ้าไม่เป็นหนุ่มผมน้ำตาลเปลือยท่อนบน ก็เป็นสาวฝรั่งที่ตากแดดจนแทนไปทั้งตัว

บรรยากาศไฮโซอย่างกับเวลาอ่านซุบซิบดาราไม่มีผิดเลย….

mallorca-cathedral-1เราขับรถเลียบอ่าวจากท่าเรือไปจนสุดทางอันเป็นที่ตั้งของโบสถ์ La Seu Cathedral ประจำเมือง ซึ่งเห็นสวยเด่นตระการตาเป็นสัญลักษณ์ของมายอร์ก้ามาตั้งแต่เรือเริ่มเข้าใกล้ฝั่งแล้ว โบสถ์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค สวยงามและใหญ่มากๆ ด้านที่ติดกับทะเลจะมีลานกว้างซึ่งคั่นอยู่ด้วยบ่อน้ำใหญ่ ตรงลานมีคนมานั่งเล่นและปิกนิกได้ และมีอัฒจรรย์เล็กๆเหมือนไว้ใช้เล่นคอนเสิร์ต ลองคิดดูว่าประมาณวงบีเอสโอมาเล่นอยู่ที่นี่ มีโบสถ์ที่ฉายไฟส่องเป็นสีทองอร่ามเป็นฉากหลัง มีท้องทะเลเมดิเตอเรเนียนอยู่อีกด้าน บรรยากาศคงจะสุดยอดไปเลยmallorca-palma-1

กลางวันแดดยังร้อนเราจึงออกจากปาลมาขอเข้าโรงแรมที่พักก่อนดีกว่า กลัวว่าจะหายากเพราะอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา เราจึงขับออกจากเมืองขึ้นเหนือ  มัวแต่งงๆกับไฮเวย์ที่กว้างและดีอย่างกับบนแผนดินใหญ่ยุโรป เลยขับเลยทางออกไปโผล่ที่”อินฃ่า” (Inca) ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมผลิตรองเท้าของประเทศสเปน  ทั้งเมืองมีเอาท์เล็ตหรือร้านขายรองเท้าราคาโรงงานหลายยี่ห้อเต็มไปหมด ถึงจะบ้ารองเท้าแต่ก็ต้องตัดใจ  เพราะเวลาที่มายอร์ก้ามีไม่มาก เราเลยกลับรถออกมา

โรงแรมที่เราจะไปพักชื่อ “แลร์มิตาจ” จากปาลมาขับรถขึ้นไฮเวย์ไปต้องแยกออกที่เมืองชื่อ กอนเซล (Consell) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์หลักของเกาะ  (นอกจากไวน์รสดีแล้ว  มายอร์ก้ายังมีเหล้าประจำท้องถิ่น  ที่โรงแรมมีแจกให้ชิมฟรี  อร่อยมากๆๆ)  จากนั้นผ่านเมืองอาลาโร่ (Alaro) เป็นเหมือนหมู่บ้านเล็กๆมากกว่าจะเป็นเมือง  น่ารักมาก  ต้องขับรถผ่านทะลุเมืองไป  มุ่งหน้าไปทางเมืองชื่อโอรียัน (Orient) ถนนเป็นทางแคบๆแค่พอสวนทางกัน มีแนวหินก่อขึ้นมาเป็นแนวกำแพงเตี้ยๆ ลัดเลาะเลี้ยวไปมาตามแนวหุบเขา เหมือนไม่น่าจะมีใครมาสร้างอะไรอยู่แถวนี้ อยู่ดีๆไม่มีปี่มีขลุ่ยก็มีป้ายโรงแรมโผล่ขึ้นมา  เบรคแทบไม่ทัน พอเลี้ยวเข้าไปที่จอดรถถึงเห็นว่าโรงแรมนั้นมีบริเวณไม่เล็กเลย สวนดูกลมกลืนต่อเนื่องไปกับป่าในหุบเขา และตึกเก่าที่เป็นโรงแรมก็ซ่อนตัวอยู่ตรงกลางอย่างสงบเงียบ ซึ่งพอเดินเข้าใกล้จนเห็นถนัดก็ต้องร้องว่า  หลงรักเข้าแล้วเต็มเปาmallorca-hermitage-hotel-4 mallorca-hermitage-hotel-2

แลร์มิตาจ เป็นวัดเก่าอายุราว 400 ปีที่เพิ่งถูกดัดแปลงมาเป็นโรงแรมไม่กี่ปีมานี้  ตึกสองชั้นที่เป็นห้องพักเคยเป็น”กุฏิ”ของพระ  ห้องกว้างขวางปูด้วยกระเบื้องดินเผาแผ่นโต  เฟอร์นิเจอร์เป็นไม้หนาหนักแบบโบราณ  ที่เด็ดมากคือระเบียงที่ใหญ่มากเกือบจะเท่าขนาดของห้อง  ยื่นหันหน้าออกไปทางสวนแอปเปิ้ลที่ยาวไล่เป็นแนวไปจนจรดตีนเขา  พอหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หวาย  มองวิวสวนและภูเขาสุดลูกหูลูกตาที่มีแพะเดินเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายใจ  ลมพัดมาเย็นสบาย  โอ…. ไม่อยากออกไปไหนแล้วจริงๆ

mallorca-hermitage-hotel-1ถึงแม้จะเป็นโรงแรมที่มีไม่กี่ห้องและไม่ค่อยมีคนรู้จัก  แต่แค่เดินเล่นในโรงแรมก็แทบจะเป็นทัวร์ได้แล้ว  เพราะเนื้อที่ของโรงแรมใหญ่มากจนถึงกับต้องทำแผนที่เดินเที่ยวพร้อมคำบรรยายประวัติแจก  ในบริเวณมีตึกเก่าต่างๆอยู่หลายตึก  แม้จะไม่ได้เปิดใช้เป็นส่วนบริการ  มีทั้งส่วนที่เป็น”ศาลาราย”เก่าทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งาน  ตึกที่เคยเป็นยุ้งเก็บของและคลังเสบียงในภายหลัง  แม้กระทั่งบ่อน้ำเก่าที่ถูกถมแล้ว  หรือความลึกลับเล็กๆอย่าง”ประตูดำ”ที่ไม่มีใครรู้ว่ามีเอาไว้ทำไม  ตรงใต้บ้านหินเล็กๆที่ตอนนี้ใช้เป็นห้องอบไอน้ำ  ไม่นับสวนแอปเปิ้ลที่ใหญ่มากและมีทางให้เดินออกกำลังเลาะไปตามชายเขา

ที่เก๋มากที่สุดของโรงแรมคือห้องอาหาร  เพราะเดิมคือโรงหีบน้ำมันมะกอก  ผนังห้องเป็นหินก้อนโตๆเรียงกันจรดเพดานสูง  ยังมีอุปกรณ์และคานหีบน้ำมันยาวเป็นสิบเมตรพาดอยู่กลางห้อง  อาหารแบบโฮมคุกกิ้งแท้ๆอร่อยมาก  นั่งกินไปได้บรรยากาศเหมือนย้อนยุคกลับไปสองร้อยปีอยู่ในโรงหีบน้ำมันมะกอก  ไม่มีที่ไหนเหมือนจริงๆ

นับเป็นหนึ่งในโรงแรมที่น่ารักที่สุดตั้งแต่ฉันเคยไปมานับร้อยแห่ง  แต่คนกลัวผีคงไม่เห็นด้วยแน่นอน!

mallorca-hermitage-hotel-3ด้วยนิสัยชอบขับรถชมเมืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  จึงขอเลาะเลียบเมืองริมทะเลทั้งหลายทางฝั่งตะวันตกของเกาะเพื่อชมบ้านตากอากาศเศรษฐีให้เห็นกับตาหน่อยเถอะ  จากโรงแรมเราเลือกขับไปตามถนนสายรองผ่านไปตามเมืองเล็กๆต่างๆ  เริ่มจากเมืองโอรียัน ทางเลียบเลาะเขาแคบมากและเลี้ยวหักไปมาแบบยูเทิร์น 360 องศาตลอดทาง  เมืองโอรียันมีบ้านไม่กี่หลัง น่าจะเรียกว่าเป็นหมู่บ้านมากกว่า พอเข้าเขตหมู่บ้านปั๊บก็เลี้ยวออกเลย  แต่บ้านทุกหลังน่ารักมาก  เกาะอยู่บนเขาไล่เรียงกันไปอย่างกับหมู่บ้านในนิทาน

mallorca-valldemossa-11ผ่านเมืองบุนโยลา (Bunyola) ไปทางยิ่งคดเคี้ยวและแคบกว่าเก่า  ปราบเซียนตัวจริง จนมาโผล่ที่เมืองโซเยร์ (Soller) จากนั้นเราก็ขับเลาะถนนบนหน้าผาเลียบทะเลชายฝั่งลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ  เพื่อจะวนกลับเข้ามาเมืองปาลมาในตอนเย็น  โดยใช้ถนนสาย C 710 ซึ่งถือเป็นถนนสายชมวิวที่สวยที่สุดสายหนึ่งของยุโรป  ตลอดทางเลียบไปตามแนวเขาสูง  เห็นทะเลสีน้ำเงินเข้มอยู่เบื้องล่าง  ผ่านหมู่บ้านหลายแห่งที่แต่ละแห่งเล็กนิดเดียวแต่น่ารักมากๆ  ไม่ว่าจะเป็นเดอีอา (Deia’) บาลดีโมสสา (Valldemossa) บานยาลบูฟาร์ (Banyalbufar) เอสเตเยนซ์ (Estellencs) มีบ้านแบบเมดิเตอเรเนียนสร้างซุกอยู่ตามไหล่เขามากมาย  แต่ละหลังสวยมาก  เปิดรับลมทะเลเต็มที่และมีสระว่ายน้ำกันทั้งนั้น  ช่างหรูหราขัดกับความเป็นหมู่บ้านเล็กๆเอามากๆ  เหมือนกับบ้านพักตากอากาศของบรรดาเศรษฐีฝรั่งที่เห็นในแมกกาซีนจริงๆ  ทั้งร้านรวงในแต่ละเมืองก็น่ารักมากๆ  ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่  อาร์ตแกเลอรี่  ดูมีชีวิตชีวาน่าตื่นตาตื่นใจ  เข้าใจแล้วว่าทำไมเศรษฐีทั้งหลายถึงเลือกมาพักผ่อนกันที่นี่นานๆ

คงต้องเล่าถึงบาลดีโมสสาเป็นพิเศษ  เพราะนอกจากเมืองจะน่ารักเอามากๆแล้ว ยังเป็นเมืองที่โชแปงมาแต่งเพลงไว้มากมาย  และจอร์ช แซนด์นักเขียนชาวฝรั่งเศสที่ตัวจริงเป็นถึงบารอนเนส  พักอยู่อย่างเกือบถาวรเพื่อเขียนหนังสือ  ส่วนสมัยปัจจุบันก็มีไมเคิล ดักลาส  ที่มาซื้อบ้านที่เป็นวังเก่าเอาไว้ที่เมืองนี้ตั้งแต่ครั้งอยู่กับภรรยาคนก่อนโน้น   จนมาถึงภรรยาคนปัจจุบันแคเธอรีน ซีต้า โจนส์คนสวย ที่เขาว่าบ้านที่บาลดีโมสสานี่แหละ  ที่เป็นที่ที่ทั้งคู่เริ่มชีวิตคู่ด้วยกัน  ไมเคิลรักมายอร์ก้ามากจนถึงกับก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมประจำเมืองขึ้นชื่อว่า คาซ่า นอร์ด ซึ่งมีทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร และบางทียังเชิญเพื่อนศิลปินจากอเมริกามาเล่นดนตรีแจสให้คนฟังด้วย

ตกกลางคืนเราขับรถจากตัวเมืองปาลมากลับเข้าโรงแรม  ท้องฟ้าหน้าร้อนที่นี่เริ่มมืดราวสามทุ่ม  ทางกลับโรงแรมที่เลาะเข้าไปในไหล่เขาเลยมืดเป็นพิเศษเหมือนขับรถอยู่ในป่า  พอเลี้ยวเข้าเมืองอาลาโร่ปรากฎว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ถนนในเมืองถูกปิดขวางห้ามเข้าหมด  เพราะผู้คนออกมาตั้งโต๊ะนั่งกินอาหารเย็นกันกลางถนนทุกตรอกทุกซอย เราถูกบังคับให้เลี้ยวไปตามทางที่ไม่ถูกกั้นเท่านั้น  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะให้เลี้ยวไปไหน  ยิ่งเลี้ยวตามไปทางก็ยิ่งแคบยิ่งลึก เหมือนจะหลงทางไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดเหมือนจะบังคับให้ขึ้นไปบนเขา  แถมยังเป็นทางที่แคบมากจนรถสวนกันไม่ได้อีกด้วย  จนเราต้องตัดสินใจกลับรถลงมา  ซึ่งก็กลับได้ยากมาก  เพราะไหนจะทางชันไหนจะแคบ  รถก็เกียร์ธรรมดา  ต้องยึกยักอยู่บนไหล่เขาตั้งนานกว่าจะกลับลงมาได้  บรรยากาศมืดและเงียบวังเวงมาก พอลงมาถึงทางข้างล่างที่ถูกปิด  เราเห็นวัยรุ่นสามสี่คนยืนอยู่กลางถนนเหมือนกำลังจะไปรวมกลุ่มปาร์ตี้กับโต๊ะกลางถนนที่เห็นอยู่ในซอยโน้น  เราก็เลยถามทางว่าจะไปทางไหนดีเพราะทางที่ป้ายบอกให้ขับตามก็ถูกปิดหมด  ปรากฎว่าไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้สักคน  เลยต้องใช้วิธีว่าเราพูดอังกฤษ  เขาตอบเป็นสแปนิชแล้วอาศัยภาษามือช่วย  ตกลงว่าให้เรากลับขึ้นเขาไปตามทางเดิม  ผ่านบ้านคนไปเรื่อยๆแล้วค่อยลงเขาต่อไป  ถึงแม้ทางจะดูน่ากลัวแต่คนที่นี่ท่าทางเป็นมิตรมาก  ถึงจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่เวลาเราถามอะไร  เขาจะพยายามอธิบายยาวมากๆเป็นภาษาสแปนิชหวังจะให้เราเข้าใจ  แล้วทางอื่นๆก็ไม่เห็นจะมีทางไหนไปได้อีกแล้ว  เราก็เลยขับกลับขึ้นไปใหม่  ปรากฎว่าเลยที่เรากลับรถไปนิดเดียวก็เลาะเขาลงมาถึงทางหลักที่จะไปโรงแรมเราแล้ว  แถมบ้านบนนั้นยังสวยและน่ารักมากๆ  เลยจบลงด้วยดี  เที่ยวแบบผจญภัยนี้สนุกดีแม้ต้องลุ้นตลอดเวลา  แต่ก็ได้รสชาติและได้สัมผัสกับความเป็นท้องถิ่นอย่างแท้จริง

รุ่งขึ้นเราถามโรงแรมว่ามีงานเฉลิมฉลองอะไรใหญ่โตหรือที่อาลาโร่  ถนนถึงได้ปิดจนเราเกือบกลับมาโรงแรมไม่ได้  ปรากฎเขาตอบหน้าตาเฉยว่า  ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก  มันร้อนทุกคนเลยยกโต๊ะออกมากินข้าวกันกลางถนน!  จริงๆแล้วเป็นธรรมเนียมปกติของคนที่นี่ที่เมื่อถึงหน้าร้อน  ทุกบ้านจะพร้อมใจกันออกมาตั้งโต๊ะกินข้าวกันกลางถนน   เพื่อที่บ้านใกล้เรือนเคียงทุกบ้านจะได้มาเฮฮาปาร์ตี้ด้วยกัน  เชื่อแล้วว่าคนสเปนมีชีวิตอยู่กับการกินดื่ม  สังสันทน์และมิตรภาพจริงๆ  ก็แค่คืนวันศุกร์หน้าร้อนธรรมดาๆ  ยังถึงกับปิดถนนทั้งเมืองเพื่อให้แต่ละบ้านได้ออกมาตั้งโต๊ะกินข้าวกลางแจ้งด้วยกันทุกซอกทุกซอย  โดยไม่สนใจเลยว่าคนต่างเมืองที่ไหนจะต้องขับรถผ่านเมืองหรือเปล่า  จะว่าไปก็ถูกของเขา  ก็หมู่บ้านนี้เป็นของเขานี่นา  ถนนเขาก็จ่ายภาษี  เขาก็ย่อมมีสิทธิ์จะออกมาใช้  แล้วถ้าคนทั้งเมืองพร้อมใจกันอยู่บ้านและกินข้าวในเวลาเดียวกัน  ก็แปลว่าไม่มีใครต้องใช้ถนนขับรถ  ก็แปลได้อีกว่างั้นทุกคนก็ออกมาตั้งโต๊ะกินข้าวกลางถนนพร้อมกันได้เลยซีนะ  จะมีใครเดือดร้อนเล่า  ส่วนใครไม่ใช่คนเมืองนี้ก็มีทางเล็กๆให้ขับเลี่ยงอ้อมทะลุเมืองไปแล้วกัน  วีว่า เอสปานย่า  น่ารักจริงๆ

อากาศในหุบเขายามเช้าดีมากๆ  ลมพัดเย็นสบาย  หอมอากาศบริสุทธิ์  มีเสียงใบไม้ต้องลมพัดกราวพร้อมกับเสียงนกร้องกังวาลก้อง  ไม่นับเสียงแพะที่ร้องแบ๊ะๆอยู่ไม่ไกล  เรากินอาหารเช้าในคอร์ทยาร์ดของโรงแรมพร้อมกับกวาดเก็บบรรยากาศนี้ไว้ในความรู้สึกให้มากที่สุด  ก่อนจะเตรียมกลับออกมาขึ้นเรือข้ามฝั่งกลับบาเซโลน่า  เสียดายที่มีเวลาน้อยไปนิด  จึงไม่ได้ขับรถไปเมืองโปเย็นซาและอาลูดีอาทางเหนือและชมวิวทางชายฝั่งตะวันออก  แต่เท่าที่เห็น  ฉันก็รู้แล้วว่ามายอร์ก้าไม่เหมือนกับที่เคยคิดไว้  ความสะดวกสบาย  ความเป็นเมืองใหญ่  และความเป็นเมืองท่องเที่ยวมีมากกว่าที่นึก  แต่มายอร์ก้าก็มีเมืองและหมู่บ้านเล็กๆมากมายที่ยังคงความเป็นท้องถิ่นไว้ โดยกันโลกของนักท่องเที่ยวไว้ภายนอก  ที่น่าสนใจคือ  ทุกเมืองทุกหมู่บ้านให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์และโบราณสถานของตัวเอง  ไม่ว่าจะไปที่ไหน  คนที่นี่จะเก็บรักษาและภูมิใจที่จะอวดรากเหง้าของตัวเอง  ที่เคยนึกว่ามายอร์ก้าเป็นแค่เมืองตากอากาศไฮโซ  ฉันเข้าใจแล้วว่าที่นึกอย่างนั้นถูกต้องแค่ส่วนเดียว  ใช่  มายอร์ก้าก็คือภูเก็ตของคนยุโรปทั่วไปดีๆนี่เอง  แต่อีกส่วนที่ไม่รู้มาก่อนก็คือ ที่นี่มีเรื่องราวและวัฒนธรรมที่ทุกคนพยายามรักษาไว้ให้ชื่นชมอีกมาก  มิใช่มีแต่การปรุงแต่งที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อกวาดเงินนักท่องเที่ยวเข้ากระเป๋าโดยไม่เสียดายของเดิม  ทำให้มายอร์ก้าเป็นส่วนผสมที่ไม่เหมือนที่ใด ด้วยความใหม่ทันสมัยของเมืองตากอากาศชายทะเล กับความขลังและโบราณแบบยุโรป  ฉันจึงไม่ผิดหวังเลยที่ได้มาเยือน  แม้จะสั้นไปหน่อยก็ตาม

และเมื่อคิดว่า  มายอร์ก้าคือดินแดนในฝันที่ไม่เคยนึกเลยว่าจะได้มา   ก็ถือว่าทริปนี้คือฝันสีน้ำเงินจัดจ้าที่กลายเป็นจริงโดยไม่ได้ตั้งตัว

Where to stay

ที่พักนอกเมืองปาลมา

– Hotel Esplendido ที่อยู่ Es Traves 5,  07108 Puerto De Sóller, Mallorca เว็บ www.esplendidohotel.com

mallaorca-beach-1

– L’Hermitage ที่อยู่ Carretera Alaró – Bunyola, E-07349 Orient เว็บ www.hermitage-hotel.com

โรงแรมดีๆน่ารักๆราคาไม่แพงในมายอร์ก้ามีมากมาย ในเมืองปาลมาและนอกเมือง เลือกได้ เลยที่  www.i-escape.com

How to get there

จากกรุงเทพควรนั่งเครื่องไปลงที่บาเซโลน่า  แล้วจึงต่อเรือเฟรี่จากท่าเรือบาเซโลน่าไปลงที่ปาลมา  เมืองหลวงของมายอร์ก้า  เรือของ Trasmediterranea มีวิ่งวันละสองสามรอบทั้งแบบเรือด่วนสามชั่วโมงและแบบเจ็ดชั่วโมง  สะดวกมาก  ท่าเรืออยู่ติดกับถนนช้อปปิ้งใจกลางเมืองบาเซโลน่า  เดินไปซื้อตั๋วที่ท่าเรือได้เลย

หรือจะไปเปลี่ยนเครื่องที่เมืองใหญ่ต่างๆในยุโรปเช่นมาดริด แล้วต่อเครื่องไปลงเมือง ปาลมา บนเกาะมายอร์ก้าก็ได้mallorca-cathedral-2

Where|What to eat

– หากพักที่โรงแรม L’Hermitage แนะนำให้รับประทานอาหารที่โรงแรมสักหนึ่งมื้อ  ดินเนอร์ต้องแจ้งล่วงหน้าเพราะโรงแรมจะเตรียมอาหารเท่าที่จอง

ในเมืองปาลมามีร้านอาหารบรรยากาศท้องถิ่นมากมาย  ควรเดินดูและเลือกตามเมนูที่วางไว้หน้าร้านตามชอบใจ  แต่อาหารแนะนำที่ควรต้องลองคือ  หมูย่างตัวเล็กๆแบบสเปน (Suckling Pig) ทาปาส (Tapas) หรืออาหารประเภท Appetizer ที่มีให้เลือกหลายสิบอย่าง  อิ่มจนไม่ต้องสั่งเมนคอร์ส  ทาปาสบาร์แบบสเปนแท้มีมากมาย  ร้านโลคอลแท้ต้องมีเศษไม้จิ้มฟันทิ้งเกลื่อนเต็มพื้นหลังจากจิ้มทาปาสกินแล้ว  ฮาโมน (Jamon)  หรือแฮมแบบสเปนนับเป็นสุดยอดของแฮม  คุณภาพที่ดีต้องเป็นแบบไอเบริโก้ (Iberico) ตกขาละเป็นหมื่นบาท

หรือลองชิมข้าวหมกทะเลหรือปาเอย่า (Paella) อาหารประจำชาติ  นอกจากนี้ปลาหมึกหรือคาลามารีต้มในหมึกดำยังมีชื่อมากในเมนูอาหารสเปน  เค้กแบบมายอร์ก้าแท้เรียก Ensaimadas นับว่าต้องลอง   สำหรับมื้อเช้าต้องไม่ลืมชูโรส  หรือปาท่องโก๋สเปนกินคู่กับกาแฟที่รสชาติเข้มข้นสะใจ

ไวน์พื้นเมืองเป็นสิ่งที่ต้องลอง  หากชอบดริ๊งค์ที่เบาลงมาหน่อยแต่ยังคงรสชาติสเปนแท้  ต้องสั่งซังเกรีย (Sangria) ไวน์ผสมผลไม้หอมชื่นใจ

What to buy

มายอร์ก้าเป็นศูนย์รวมโรงงานผลิตรองเท้าของสเปน  จึงมีเอาท์เล็ตหรือร้านค้าราคาโรงงานขายรองเท้ายี่ห้อเสปนแท้ที่อินฃ่าอยู่หลายยี่ห้อ  เครื่องแก้วและผ้าลูกไม้ก็เป็นของมีชื่อ  ไวน์และเหล้าหลังอาหารของพื้นเมืองก็น่าซื้อ  สเปนผลิตน้ำมันมะกอกมากและเก็บคุณภาพที่ดีไว้บริโภคในประเทศ  จึงน่าซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน  อย่าลืมว่าที่สเปนร้านรวงทั้งหลายจะปิดเพื่อ Siesta หรือนอนกลางวันตอนบ่ายราวบ่ายโมงครึ่งถึงบ่ายสี่โมงเย็น ควรกะเวลาให้ดีจะได้ไม่รอเก้อหน้าร้านmallorca-valldemossa-5

3 COMMENTS

  1. Mallorca is known as the party island for Germans. But you managed to show its beautiful side. Now I want to see it either!

  2. ชอบมากค่ะ เกาะนี้ ไปมาหลายครั้งแล้ว แต่ยังอยากจะไปอีก

    • มีอะไรเด็ดๆมาเล่าสู่กันฟังนะคะ เผื่อคราวหน้าจะไปส่องดูบ้าง

Comments are closed.