ถ้าถามว่าพระอาทิตย์ตกที่ไหนสวยฉันจะตอบได้ยาวหลายที่เลย  แต่ถ้าถามถึงพระอาทิตย์ขึ้นจะนึกไม่ค่อยออกเพราะไม่ชอบตื่นเช้าเท่าไหร่  จึงมีไม่กี่ครั้งที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น  แต่มีอยู่สองที่ที่ตั้งใจมากๆไปชม  ที่หนึ่งคือกลางแม่น้ำคงคาเมืองพาราณสี  และอีกที่คือไปนั่งบอลลูนลอยเหนือ Serengeti National Park ประเทศแทนซาเนีย  ดูสัตว์ป่าออกหากินยามเช้ามืดในอุทยานแห่งชาติและมรดกโลกโดยยูเนสโก้  ส่วนที่ทะเลทรายซาฮาร่านั้นได้ไปชมโดยไม่ได้คาดคิดว่าจะสวยจนลืมไม่ลงเช่นนั้น

  1. นั่งบอลลูนชม Sunrise ที่ Tanzania

แทนซาเนียขึ้นชื่อเรื่องการนั่งรถชมสัตว์ป่าตามธรรมชาติ  ฉันว่าเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่า Ngorongoro นั้นสวยที่สุดในบรรดาอุทยานสัตว์ป่าทั้งหลายในแอฟริกาที่เคยเห็นมา  เพราะเหมือนหลุดเข้าไปในสวรรค์ของสัตว์ป่าที่ปิดเป็นความลับไว้จากโลกภายนอก  ส่วนอุทยานเซเรงเกติก็ขึ้นชื่อเรื่องการอพยพประจำปีของของ Wildebeest ถึง 1.5 ล้านตัว ม้าลาย 250,000 ตัวและนานาสารพัดเก้งกว้างหลากชนิด  ที่มันจะเดินเป็นเส้นทางยาวเข้าสู่อุทยานเขตสงวน Maasai Mara ในประเทศเคนยา  โดยใช้เวลาหลายเดือน  ฉันไปนอนในแคมป์หรูที่ตั้งตรงกลางเส้นทางเดินของการอพยพเพื่อดูความอัศจรรย์ของสัตว์โลกนี้โดยเฉพาะ  และเมื่อเห็นสัตว์แทบจะครบทุกชนิดในแทนซาเนียจนจุใจจากพื้นราบ  จึงต้องขอเพิ่มความพิเศษโดยการขึ้นไปดูมุมบนจากในบอลลูน

บอลลูนต้องขึ้นตอนเช้าตรู่เพราะขึ้นอยู่กับลม  เราจึงต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่  รถมารับถึงเต๊นท์ที่พัก  แค่นั่งรถไปที่ขึ้นบอลลูนก็ได้ชมของแถมฟรีๆแล้ว  เพราะสัตว์หลายชนิดเริ่มออกหากินแต่เช้ามืด  รถเราแล่นมาตามถนนก็เจอช้างป่าโขลงใหญ่กำลังเดินขวางกร่างอยู่ตรงกลาง  เก็บเกี่ยวกล้วยและพืชพันธุ์ไม้ป่ากิน  เราต้องจอดรอและคอยให้ทาง  เวลาไฟหน้ารถส่องไปกระทบกับตัวช้างใหญ่เบ้อเริ่มมันเหมือนกับฉายไฟสาดเข้ากำแพงสีเทาที่ขวางหน้าอยู่  น่าตื่นเต้นระทึกใจไปอีกแบบ

เช้านั้นบอลลูนจะขึ้นพร้อมกันสามลูก  ไปถึงเขาก็แบ่งคนเป็นสามกลุ่มๆละ 8 คน  แต่ละกลุ่มไปฟังบรีฟเตรียมตัวกับกัปตันเรือกำปั่นของกลุ่มตัว  รอให้เขาเตรียมลูกบอลลูน  พอลมเข้าโป่งดีพร้อมเราก็เข้าไป “นอน” ในช่องของตะกร้าบอลลูนคนละช่อง  ที่บอกว่า “นอน”เพราะตะกร้ามันวางตะแคงอยู่  เราจึงต้องมุดเสียบตัวเข้าไปในซองแบบตะแคงๆ  พอทุกคนพร้อมและกัปตันเริ่มขับให้ลูกบอลขยับด้วยเปลวไฟที่พุ่งไล่อากาศ  ขณะที่ลูกบอลเริ่มลอยสูงขึ้นตะกร้าก็จะถูกขยับให้ตั้ง  เราทุกคนจากที่นอนตะแคงอยู่ในซองก็จะถูกดึงให้เปลี่ยนมาเป็นยืนโดยปริยาย  ทีนี้ก็จะเริ่มเห็นวิวจากความสูงที่ค่อยๆทิ้งห่างพื้นดินออกมาทุกทีๆ

เมื่อได้ระดับบอลลูนก็ลอยละล่องไปเหนือป่าซาฟารี  ฟ้าเริ่มสว่างแม้จะยังไม่เห็นแสงจากดวงอาทิตย์  เราจึงได้เห็นสัตว์ป่าที่มาอาบน้ำตอนเช้า  ฮิปโปหลายตัวลอยคอแหวกว่ายน้ำในส่วนที่ปกติรถส่องสัตว์ไม่สามารถแล่นเข้าถึง  เป็นการได้แถมชมป่าซาฟารีในรูปแบบและมุมที่ต่างออกไป  ช่วงหนึ่งบอลลูนเราลอยต่ำเหนือโขลงช้างที่มีลูกเล็กอยู่ 4 ตัว  เสียงลมและไฟที่ดังจากบอลลูนคงทำให้เจ้าลูกช้างตัวจิ๋วตกใจทีเดียว  มันร้องแปร๋นและวิ่งเตลิดอยู่ตรงกลางกลุ่มของช้างตัวโตซึ่งขนาบป้องกันแต่ก็คงตกใจกลัวเช่นกัน  ทั้งโขลงจึงวิ่งหนีกันใหญ่  ถึงจะตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็นช้างอย่างใกล้ชิดจากมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  แต่ฉันก็อดสงสารและเสียใจไม่ได้ที่ทำให้พวกมันตื่นกลัว

ทัศนียภาพของทุ่งหญ้าสวันนาที่แผ่ไกลเขียวอุดมก็สวยในมุมที่ไม่เคยเห็น  ในไม่ช้าแสงสีส้มเหลืองของสุริยายามเช้าก็สาดส่องเป็นลำรังสีผ่านกลุ่มเมฆลงมาตรงขอบฟ้า  และอาบไล้ทุ่งหญ้าให้เป็นสีเหลืองทองไล่เข้ามาจากไกลจนใกล้  แล้วฟ้ากว้างก็กระจ่างเป็นสีขาวในที่สุด  จากกลางคืนปรับเปลี่ยนเป็นกลางวันในช่วงเวลาอันสั้น  เราได้เห็นรอยต่อของคืนและวันจากมุมมองที่พิเศษและความรู้สึกนั้นเหมือนจะประพรมให้วันใหม่ของเราพิเศษสุดไปด้วย

บอลลูนค่อยๆลงจอดตรงจุดที่พื้นดินราบเรียบ  พอเราก้าวออกมาก็มีพนักงานยืนถือผ้าอุ่นให้เช็ดหน้าตาและที่สำคัญขวดแชมเปญรออยู่  ฟองพรายฟู่เป็นการฉลองวันใหม่อย่างแช่มชื่นเป็นสุข  จากนั้นเราเดินไปยังโต๊ะอาหารเช้าที่จัดเตรียมไว้อย่างหรูหรา  ไข่อ็อมเลทไส้กรอกผักมันฝรั่ง สารพันถูกเตรียมกันสดๆในป่าโดยพ่อครัวที่มาตั้งเตาอย่างอลังการ  พร้อมทั้งแชมเปญที่เสิร์ฟไม่หยุด  เป็นความหรูหราในป่าดิบ  เป็นการเริ่มวันใหม่ที่เต็มได้วยรอยยิ้มและความอิ่มเอม

ราคาชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบอลลูนพร้อมบริการทั้งหมดตกคนละหมื่นกว่าบาท  อาจจะไม่ถูกแต่ก็ให้ประสบการณ์ที่หาไม่ง่าย  นี่คือการชมแสงแรกที่ฉันขอบอกว่าคุ้มเหลือเกินกับการตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืด  เป็นการก้าวเข้าสู่ฟ้าวันใหม่ที่กระจ่างใสที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

Tips:

ฤดูอพยพของ Wildebeest เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงกันยายน  ที่เซเรงเกติจะเห็นได้ในช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคม  สัตว์ป่าจะไปถึงเคนยาราวกันยายนและเริ่มอพยพกลับในเดือนตุลาคม  เวลาเดินทางต้องวางแผนให้ดีว่าเดือนไหนจะได้ไปชมที่จุดไหน  หากจองที่พักไปกับแคมป์หรูเช่น Serengeti Safari camp ที่มีเต๊นท์เพียง 8 เต๊นท์อย่างที่ฉันไปพักมา  เขาจะขยับเลื่อนตำแหน่งปักเต๊นท์ไปเรื่อยๆให้ได้อยู่ในเส้นทางเดินอพยพของสัตว์  ชนิดที่นอนกลางคืนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของสัตว์เป็นล้านตัวเดินกันจนแผ่นดินสะเทือนทั้งคืนทีเดียว

นั่งบอลลูนชมพระอาทิตย์ขึ้นเหนือเซเรงเกติโดย Serengeti Balloon Safaris  www.balloonsafaris.com

  1. Varanasi ล่องเรือกลางแม่น้ำคงคาที่พาราณสี

พาราณสี เมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศอินเดีย และเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สุดหนึ่งในเจ็ดเมืองศักดิสิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูและศาสนาเชน  ภาพวิถีชีวิตยามเช้าริมแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์นี้มีซ้ำๆกันเช่นนี้มากว่า 4,000 ปีแล้ว

ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มีทั้งผู้คนที่มาลงอาบน้ำในแม่น้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย  โยคีที่มาทำโยคะในน้ำ  หรือพิธีเผาศพที่นำมาเผาริมฝั่งแล้วเขี่ยร่างที่เหลือลอยไปในน้ำด้วยความเชื่อว่าแม่คงคาจะพาดวงวิญญาณจะไปสู่สวรรค์  ริมฝั่งมีผู้คนมากมายที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันลงไปในน้ำ  และที่มาขายของขายดอกไม้เครื่องบูชา  รวมทั้งขอทาน นักบวช คนพิการ ทุกชนชั้นวรรณะต่างมาบวงสรวงทำพิธีตามแต่ความต้องการของตนที่ริมแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างไม่ต่างไปจากกัน  เสียงสวดมนต์งึมระงมมาจากทุกทิศทุกสาย  กลิ่นธูปควันเทียนกำยานและดอกไม้  สีสันจากส่าหรี พวงมาลัย เครื่องไหว้ ตึกราม ทุกอย่างแลดูเข้มข้นเต็มไปด้วยความเชื่อและจิตวิญญาณตั้งแต่ฟ้ามืด 

ฉันแหวกผ่านเงาตะคุ่มของผู้คนและความวุ่นวายลงไปที่ท่าน้ำ  ลงเรือไม้ลำยาวออกไปลอยกลางแม่คงคา  ณ.บัดนั้นความเงียบสงบก็ย่างเข้ามาแทนที่  น้ำสีดำกระเพื่อมน้อยๆแลดูสุดหยั่งปริ่มอยู่ไม่ไกลมือเอื้อม  รอบตัวมีแต่ความเยือกเย็น  ฝูงชนริมท่าน้ำยังคงต่างทำพิธีของตนต่อไป  แต่ดูเหมือนความวุ่นวายนั้นอยู่ห่างออกไปคนละโลก  ไม่นานแสงเรื่อๆก็ปรากฎที่ปลายฟ้า แสงสีขาวค่อยๆมีเจือชมพูขึ้นมาเป็นรัศมี แล้วตรงที่ขอบน้ำจรดฟ้าก็ปรากฎพระสุริยาสีแดงดวงกลมค่อยๆลอยขึ้น ทาบทาให้พาราณสีสว่างฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง 

ฉันยกกระทงดอกใม้จุดเทียนขึ้นจบอธิษฐาน  บูชาแม่คงคาและขอพรอันศักดิ์สิทธิ์  แล้วลอยให้กระทงน้อยไหลไปกับสายนที อีกฝั่งน้ำมีแต่ดินสีดำไร้ผู้คนและสิ่งปลูกสร้างใดๆ  ด้วยความเชื่อว่านั่นคือฝั่งยมโลก  ฉันไม่รู้ว่ากระทงน้อยจะลอยไปสิ้นสุดที่ใด  แต่ที่แน่ๆ  นี่คือประสบการณ์พระอาทิตย์ขึ้นที่เป็นที่สุดอันหนึ่งของโลกอย่างไม่มีที่ใดเหมือน  เพราะมันไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  แต่เป็นอารยะปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณที่ถ่ายทอดกันมาอย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลายหลายพันปี

  1. ทะเลทราย Sahara

สิบกว่าปีที่แล้วฉันได้ไปนอนในเต๊นท์กลางทะเลทรายเป็นครั้งแรก  นั่นคือที่ทะเลทรายซาฮาร่าประเทศโมร็อคโค  จากหมู่บ้านเราต้องขี่อูฐเข้าไปในทะเลทรายชั่วโมงกว่าในยามเย็น  นั่งคลุมโปงกินมื้อเย็นในแคมป์ข้างกองไฟเพราะหนาว  ตกดึกท้องฟ้าที่มืดสนิทดังกำมะหยี่ก็พลันสว่างจ้าด้วยดวงจันทร์กลมโต  น่าตื่นตาตื่นใจนัก  กลางคืนนอนฟังเสียงอูฐหายใจฟืดฟาดอยู่ข้างๆเพียงแค่ผ้าสักกะหลาดคั่นจนหลับไป  เช้ามืดฟ้ายังดำสนิทอยู่  ได้ยินเสียงเสียงแขกเบดูอินที่พาเราไปแคมป์และคนอื่นๆตื่นกันแล้ว  ฉันลุกขึ้นมาแต่งตัว ไม่มีการอาบน้ำให้เปลือง ส่วนห้องน้ำคือวิ่งออกไปกลางทรายไกลลิบๆ มีความมืดเป็นประตูกั้น

ความมืดเริ่มจางลง  เป็นสัญญาณให้รู้ว่าควรเตรียมตัวปีนขึ้นไปบนเนินทรายรอชมพระอาทิตย์ขึ้น  ฟ้าเริ่มเป็นสีฟ้าและผืนทรายเริ่มเป็นสีเทาๆมัวๆแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนของสีทรายในที่สุด  เห็นทรายเป็นคลื่นลอนๆสลับกันสุดสายตา  แต่ยังไม่เห็นวี่แววพระอาทิตย์เลย  บรรยากาศอึมๆมัวๆเหมือนโลกพระจันทร์ ไม่เห็นจะสวยเลย

แต่แล้วอยู่ๆใครสักคนก็ชี้และร้องตะโกนให้ดู  ที่ขอบฟ้าจรดทรายตรงนั้นมีแสงเรื่อๆโค้งเป็นรัศมีโผล่ขึ้นมา  แสงสว่างเริ่มไล่มากขึ้นเรื่อยๆ  ทรายเริ่มมีสีสันเข้มขึ้น  และในที่สุดเมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นเนินทรายลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า  แดดจ้าก็อาบผืนทรายสุดลูกหูลูกตาให้กลายเป็นสีส้มทองเจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยเห็นสีใดจะจ้ากระจ่างอย่างนี้มาก่อน  ทรายส่วนที่ไม่โดนแสงตรงๆก็เป็นสีเข้มของเงา  ผืนแผ่นดินเป็นริ้วส้มตัดกับเงาดำเล่นลวดลายสวยงามสุดสายตา  ส่วนเนินทรายสูงที่เป็นสีส้มจ้าก็ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าจัดที่ปราศจากเมฆอย่างเข้มข้น  สวยขาดใจอย่างสุดจะบรรยาย

นี่เอง พระอาทิตย์ขึ้นกลางทะเลทรายซาฮาร่าที่คุ้มค่าแก่การรอนแรมมาชม  จนวันนี้ฉันก็ยังไม่ลืมความงามของทะเลทราย  และต้องยกให้ซาฮาร่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สุดยอดแห่งหนึ่งในใจ

1 COMMENT

Comments are closed.