พูดถึงชายฝั่งริเวียร่า หรือชายฝั่งสีคราม Cote d’Azur ของฝรั่งเศส ใครๆก็ต้องนึกถึงความโรแมนติกของเมืองตากอากาศหรูอย่างนีซ คานนส์ หรือแม้แต่มอนติคาร์โลของโมนาโค แต่สำหรับฉัน ความตื่นเต้นเหนือฟ้าอยู่ที่การสำรวจเมืองเล็กเสน่ห์แรงที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ริมชายหาดหรือปูพรมแดงเสมอไป อย่างเช่นเมือง Èze แอซ เมืองเก่าจากยุคกลางที่ยูเนสโก้บันทึกให้เป็นมรดกโลกนี้
แอซอยู่ห่างจากนีซเพียงขับรถแค่ 20 นาที ขนาดเล็กเดินได้ทั่วในครึ่งวัน อันที่จริง วิธีเดียวที่จะไปสำรวจชมแอซได้ก็คือการเดิน เพราะหมู่บ้านจิ๋วนี้ตั้งอยู่บนยอดภูเขาหินและไม่มีถนนให้รถแล่นขึ้นไปได้ จากที่จอดรถด้านล่างต้องเดินขึ้นเนินเขาไปตามถนนปูที่ด้วยหินโบราณเล็กๆ ลอดซุ้มเข้าสู่หมู่บ้านบนเขาซึ่งเป็นป้อมปราการเก่า แล้วเดินสำรวจชมเมืองไปตามถนนที่เอียงขึ้นเนินบ้างเป็นบันไดบ้าง
สองฝั่งขนาบไปด้วยตึกเก่าที่กลายมาเป็นแกลเลอรี่และร้านค้าน่ารักๆชนิดที่สาวๆต้องกรี๊ดกร๊าดถ่ายรูปกันทุกจุด มีโบสถ์ที่มีหอนาฬิกาสวยโรแมนติกจนอดจินตนาการถึงงานแต่งงานในโบสถ์ที่นี่ไม่ได้ว่าจะหวานซึ้งขนาดไหน
และยังคาเฟ่เล็กๆที่ตั้งโต๊ะเก้าอี้ตัวเล็กกระจายไปตามซอกตึกและขั้นบันไดตามแต่กำแพงและผนังตึกเก่าจะอำนวย กุ๊กกิ๊กถูกใจเป็นที่สุด
แต่บ้านเรือนที่น่ารักและร้านรวงไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ควรไปเยือนแอซ และนั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ยูเนสโก้บันทึกให้แอซเป็นเมืองมรดกโลกแน่ๆ ความงามและสมบูรณ์ของหมู่บ้านโบราณทั้งหมู่บ้านที่คงสภาพไว้จนเหมือนหลุดยุคย้อนอดีตกลับไปนั้นสมควรได้รับการบันทึกเป็นมรดกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นอกจากชมสถาปัตยกรรมแล้ว บนจุดสูงสุดของเมืองยังมีสวน Jardin Exotique ที่น่าชม ในสวนมีพันธุ์ไม้ต่างๆให้ชม มีรูปปั้นประติมากรรมของศิลปินท้องถิ่นประดับอย่างสวยงาม ต่อให้ใครไม่สนใจเรื่องพันธุ์ไม้อะไรเท่าไรก็ยังเดินชมได้อย่างเพลิดเพลิน แม้จะน่าหงุดหงิดอยู่บ้างที่พอเดินไปจนถึงทางเข้าแล้วพบว่าต้องเสียค่าเข้าคนละ 7 ยูโร แต่สิ่งที่ต้องยอมจ่ายเงินเข้าไปดูนั้นคือวิวจากยอดเขาบนสุดที่สูงสี่ร้อยกว่าเมตร เห็นชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนโค้งยาวไปถึงเมืองนีซ น้ำทะเลสีฟ้าจัดและบ้านเรือนเรียงไปริมหาด เป็นภาพที่สวยได้ใจสุดๆ นี่แหละเฟร้นช์ริเวียร่าและชายหาดสีครามของจริง!
สำหรับฉันซึ่งไปมาแล้วสองรอบ ขอบอกว่าจุดเหนือฟ้าของจริงนอกจากวิวจากยอดสูงสุดของแอซแล้ว คือร้านอาหารของโรงแรมบูทีคสองโรงแรมในหมู่บ้าน ที่แรกคือ Chateau Eza โรงแรม 5 ดาวที่สร้างในปราสาทเก่า มีห้องแค่ 12 ห้องและเป็นสมาชิก Small Luxury Hotels of the World แค่นี้คงจะพอนึกออกว่าจะเอ็กซ์คลูซีฟขนาดไหน ร้านอาหารของโรงแรมตั้งอยู่บนระเบียงที่เปิดโล่งเห็นวิวชายหาดริเวียร่าตลอดแนว โต๊ะทุกโต๊ะได้วิวเต็มๆตาแบบไม่ต้องแย่งกันและไม่มีใครบังเพราะมีไม่กี่โต๊ะ ไม่ต้องบอกว่าทั้งห้องและร้านอาหารจะจองยากขนาดไหน เรียกว่าใครเดินผ่านไปเห็นเข้าก็ต้องอิจฉาแขกที่พักที่นั่นอย่างห้ามใจไม่ได้จริงๆ
ถ้าชาโตว์เอซ่าจะเล็กหรูแบบจำกัดคนเข้าให้หมั่นไส้เล่น อีกโรงแรมคือ La Chèvre d’Or ซึ่งหรูไม่แพ้กันกลับตรงข้ามตรงที่ฟู่ฟ่าและ “เยอะ” ตัวปราสาทเก่าสร้างขึ้นโดยเจ้าชายจากเดนมาร์ก จึงมีขนาดใหญ่และมีพื้นที่ใช้สอยมากมายทั้งๆที่มีห้องพักแค่ 39 ห้อง ในโรงแรมมีทั้งสระว่ายน้ำกลางแจ้ง บ่อจากุซซี่ ฟิตเนส สปา ห้องประชุม ระเบียงอาบแดด บาร์และร้านอาหารถึง 4 ร้าน ซึ่งร้านหนึ่งมีดาวมิชลินประดับถึง 2 ดาว ตัวโรงแรมมีอันดับยาวเป็นหางว่าวการันตีคุณภาพเช่นติดหนึ่งใน 25 โรงแรมดีที่สุดในฝรั่งเศสโดย Trip Advisor ความอลังการตัวจริงของโรงแรมคือสวน ซึ่งกินเนื้อที่กว้างแทบจะทั้งเชิงเขาตั้งแต่ยอดลงมาถึงด้านล่าง เดินเชื่อมต่อกันได้ตลอดทั้งบริเวณโรงแรม ต้นไม้ใบไม้มากมายตัดแต่งสวยงาม วิวจากสวนมองลงมาเห็น Saint-Jean-Cap-Ferrat ที่เป็นแหลมยื่นออกไปในทะเล สวยอัศจรรย์มาก แต่ที่ฉันไม่ชอบเท่าไหร่คือประติมากรรมรูปปั้นทั้งหลายตามสวน ฉันว่ามันหยดย้อยไปหน่อย เขาคงเน้นความหรูเว่อเข้าว่ามั้ง ฉันได้กินมื้อกลางวันครั้งหนึ่งที่ร้านอาหารบนระเบียงกว้าง ถึงจะไม่ใช่ร้านที่ได้ดาวแต่ก็อร่อยมากๆถึงขนาดอยากกลับไปกินอีก และบรรยากาศเคล้าวิวเต็มๆอย่างจุใจ
แอซเป็นเมืองเล็กย้อนยุคที่น่ารักมากๆเมืองหนึ่งของฝรั่งเศส แม้ฝรั่งเศสจะมีเมืองแบบนี้อยู่มากมาย และแอซก็ไม่ใช่ความลับประเภทนักท่องเที่ยวน้อยคนจะได้ไปถึง แต่ฉันก็เต็มใจขึ้นลิสต์เมืองเล็กน่ารักเหนือฟ้าที่ควรไปเยือน พิสูจน์ได้ที่ว่า ฉันยังไปมาแล้วตั้งสองครั้ง และนึกถึงทีไรก็ยังอยากจะกลับไปกินข้าวเคล้าวิวริเวียร่าอีกอยู่เลย คราวหน้าจะต้องจองโต๊ะที่วิวเด็ดที่สุดรอไว้ให้ได้ ใครผ่านมาเห็นอย่าอิจฉาละกัน ไม่ต้องอิจฉาเพราะจะเรียกให้เข้ามานั่งชนแก้วแชมเปญด้วยกันเลย