เมื่อก่อนฉันก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันเกิดมากมายอะไรนัก แต่ปีหลังๆมานี่ ไม่รู้ว่าเริ่มรู้ตัวว่าแก่ขึ้นหรืออย่างไรได้ อยากจะฉลองวันเกิดในที่พิเศษๆให้คุ้มกับที่แก่ลงไปอีกปีทุกที ในเมื่อปีที่ผ่านมาไปเที่ยวชิลีในช่วงวันเกิดพอดีอยู่แล้ว จึงจัดทริปให้ไปจบด้วยการฉลองวันเกิดเลขสามปีสุดท้ายที่เกาะหนึ่งที่พิเศษที่สุดในโลกอันเป็นดินแดนของประเทศชิลี
“Easter Island” ชื่อที่กัปตันชาวดัทช์ตั้งเนื่องจากแล่นเรือมาขึ้นฝั่งฉลองวันอีสเตอร์พอดีในปี 1722 หรือที่ชาวเกาะเรียกในภาษาถิ่นว่า “Rapa Nui” หรือ “Isla de Pascua” อันเป็นอีกชื่อที่ประเทศชิลีเรียกเกาะนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะที่ไกลปืนเที่ยงที่สุดในโลก หรือฝรั่งให้สมญาว่าเป็น The Remotest Island เพราะเกาะใกล้ที่สุดที่อยู่ถัดไปนั้น อยู่ห่างออกไปถึง 2000 กิโลเมตรทางตะวันตก ส่วนแผ่นดินใหญ่อันหมายถึงทวีปอเมริกาใต้นั้นก็ห่างไปทางตะวันออกถึง 3800 กิโลเมตรโดยที่ไม่มีเกาะอื่นใดกั้นกลางเลย การเดินทางติดต่อกับเกาะก็เพิ่งมามีเมื่อ 30 กว่าปีมานี้เอง ราปานุยจึงเสมือนเกาะที่ตัดขาดจากโลกภายนอกมาจนกระทั่งไม่นานมานี้ แม้ในปัจจุบันก็ยังมีคนไม่มากที่เคยไปเยือนราปานุย เพราะทั้งไกลและแพงกว่าจะไปถึง ดังนั้นการบุกบั่นดั้นด้นไปถึงราปานุยจึงเป็นอีกหนึ่งฝันอันกลายเป็นจริงของฉัน และเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการฉลองวันเกิดอย่างที่สุด
และที่พิเศษถูกจริตฉันเป็นที่สุดก็เพราะราปานุยเป็นเกาะที่มีความลับที่ยังไม่ถูกไขออก ด้วยมีหุ่นหินรูปคนครึ่งตัวขนาดมหึมาสูงเฉลี่ย 6 เมตรยืนเรียงรายริมฝั่งทะเลอย่างไม่มีที่ใดเหมือน เรียกว่า “โมไอ” (Moai) ไม่มีใครรู้ว่าใครทำขึ้น ทำไมมีมากมายถึงร่วม 1000 ตัวบนเกาะ ทำได้อย่างไรใหญ่โตขนาดนั้น ใช้วิธีการขนย้ายมาตั้งตามชายฝั่งทั่วเกาะได้อย่างไร และทำขึ้นเพื่ออะไร กระทั่งความลึกลับของรกรากชนเผ่าดั้งเดิมของราปานุยว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใดมาจากไหนนั้นก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักโบราณคดีอย่างหาบทสรุปไม่ได้ หน้าตาของพลเมืองเพียงแค่สี่พันคนบนเกาะเล็กแค่ 12 คูณ 24 กิโลเมตรนี้เหมือนชาวโพลีนีเชียนดังเช่นฮาวาย ฟิจิ และหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ ภาษาที่ใช้ก็เป็นโพลีนีเชียน หากแต่มีหลักฐานหลายอย่างบนเกาะที่คล้ายคลึงกับอเมริกาใต้ เช่นลักษณะการต่อหินของซากบ้านโบราณที่ใกล้เคียงกับของอินคาที่เปรู สาเหตุที่ราปานุยเต็มไปด้วยความลับนี้ก็เพราะว่า เมื่อนักโบราณคดีสมัยใหม่เข้าไปถึงเกาะนั้น ก็พบว่าเหลือชาวพื้นเมืองดั้งเดิมจริงๆเหลืออยู่ไม่มากแล้ว เพราะถูกกวาดล้างไปเป็นทาสที่เปรูในศตวรรษที่ 19 และล้มตายหมดเพราะโรคระบาด ว่ากันว่าเหตุการณ์นั้นทำให้เหลือชาวเกาะรอดตายมาได้แค่ 110 คนเท่านั้นเอง และก็ไม่มีบันทึกใดๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเกาะเหลืออยู่เลย การสืบหาความจริงในอดีตจึงทำได้เพียงสัมภาษณ์คนเก่าแก่ที่เหลืออยู่เท่านั้น และอ่านเอาจากบันทึกของกัปตันดัชต์และสเปนที่มาถึงทีหลัง รวมทั้งกัปตันเจมส์ คุกด้วย แต่ถึงอย่างนั้น หลักฐานและคำบอกเล่าทั้งหลายก็ตีกันจนนักโบราณคดีงงหาข้อสรุปไม่ได้ ที่ยิ่งชวนฉงนใจที่สุดก็คือเมื่อตั้งคำถามว่า ชนเผ่าแรกที่มาตั้งรกรากนี้ดั้นด้นมาถึงเกาะนี้ได้อย่างไร นี่คือเกาะที่ไกลปืนเที่ยงที่สุดในโลก เมื่อหลายพันปีมาแล้วนั้น ใครที่จะสามารถเดินทางมาถึงได้ต้องรู้จักการเดินเรือเป็นอย่างดีที่สุด จึงจะฝ่าคลื่นลมยาวนานเคว้งคว้างกลางทะเลรอดมาได้ แล้วใครกันล่ะที่มีความสามารถในการเดินเรือในสมัยนั้นที่เรารู้กัน ก็มีแต่พวกไวกิ้งหรือจีนเท่านั้น ข้อสันนิษฐานนี้ยิ่งทำให้ปวดหัวยิ่งขึ้นไปอีก หรือว่าแท้จริงแล้วชนเผ่าแรกที่มาถึงราปานุยนี้ไม่ได้มีหน้าเป็นโพลีนีเชียนอย่างปัจจุบันนี้เลย อย่างที่บันทึกของกัปตันฝรั่งเขียนไว้ว่ามีคนผิวขาวผมแดงอยู่บนเกาะด้วย น่าฉงนปานนี้ ราปานุยจึงเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยความลับของอดีต และเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งในโลก ที่นับขานตำนานของวัฒนธรรมที่สูญหาย
ราปานุยมาเป็นที่รู้จักแก่ชาวโลกมากขึ้นก็เมื่อฮอลลีวู้ดมาสร้างเป็นหนังโดยพระเอกเควิน คอสเนอร์ ผูกเรื่องว่า ชาวเกาะอีสเตอร์หรือราปานุยทุ่มเทสร้าง“โมไอ”ยักษ์นี้มากมาย และต้องตัดไม้มาเพื่อลากมาตั้งยังสถานที่ต่างๆทั่วเกาะ จนกระทั่งต้นไม้ถูกตัดทำลายจนหมด และการเคลื่อนย้ายโมไอก็ทำลายต้นไม้เล็กๆบนพื้นไปหมด จึงเกิดภาวะแห้งแล้งอดอยากจนคนบนเกาะแทบจะสูญพันธุ์ ปัจจุบันนี้ยังมีคนมาเปรียบเปรยถึงการตัดไม้ทำลายป่าและภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นว่า เดี๋ยวก็เป็นเหมือนเกาะอีสเตอร์หรอก ทำลายโลกตัวเองเสียไม่เหลือ แต่เมื่อได้ไปเยือนเข้าจริงๆ กลับพบว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ชาวเกาะหัวเราะการแต่งเติมใส่ไข่ของฮอลลีวู้ด แม้จะยอมรับว่ามีการตัดไม้เพื่อใช้ขนลำเลียงโมไอจริง แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ว่า น่าจะเป็นเพราะว่าในจุดหนึ่งนั้น พลเมืองบนราปานุยขยายมากขึ้นจนทรัพยากรไม่พอกินพอใช้มากกว่า และการที่พลเมืองเเกือบจะสูญพันธุ์นั้นก็เป็นเพราะการถูกเกณฑ์ไปเป็นทาสและโรคระบาดอย่างที่เล่ามาต่างหาก
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้ฉันหมกมุ่นครุ่นคิดตลอดทั้งทริปมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับโมไอ ว่าสร้างขึ้นมาทำไม และที่สำคัญทำได้อย่างไร …..
จากซานติอาโกเราต้องนั่งเครื่องบินนาน 5 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงเกาะอีสเตอร์อันไกลปืนเที่ยงที่สุดในโลกนี้ ไกลจริงๆยิ่งเมื่อคิดว่าตลอดเวลาที่บินอยู่นั้นมีเพียงผืนน้ำแปซิฟิกอยู่เบื้องล่างล้วนๆ ไม่มีแผ่นดินให้เฉี่ยวผ่านเลย ยังดีที่สายการบิน LAN ของชิลีนี้ดีมาก เครื่องใหม่และกว้างขวาง ที่ชอบมากคือนิตยสารของสายการบินบนเครื่อง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นนิตยสารท่องเที่ยวคุณภาพดีเก๋จัดสู้กับพวกราคาแพงบนแผงได้เลย เส้นทางบินนี้มาจากซานติอาโกเมืองหลวง ลงจอดที่เกาะอีสเตอร์ และบินต่อไปอีกห้าชั่วโมงสู่พาพิอิติเมืองหลวงของตาฮิติโน่น ขากลับก็ย้อนเส้นทางนี้มาเช่นกัน
เนื่องจากราปานุยมาได้ลำบากลำบนขนาดนี้ นักท่องเที่ยวจึงไม่มาก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงเล็กตามไปด้วย ที่พักบนเกาะไม่มีประเภทที่พอจะเรียกได้ว่า“โรงแรม”จริงๆ มีแต่ทำนองโฮมสเตย์หรือบีแอนด์บีที่ชาวบ้านเปิดบ้านทำกันเอง โชคดีจริงที่พบว่าโรงแรม Explora อันเป็นโรงแรมชนะเลิศรางวัลอันดับหนึ่ง อันเป็นผู้ริเริ่มทำโรงแรมหรูเริ่ดไร้ที่ติในทำเลผจญภัยไปลำบาก จับกลุ่มนักท่องเที่ยวรักผจญภัยลุยธรรมชาติแต่ยังติดสบายอย่างฉัน เพิ่งมาเปิดบนเกาะได้ไม่ถึงปีนี่เอง ฉันจึงไม่ลังเลจับจองให้สมกับเป็นการฉลองวันเกิดและปิดท้ายทริป แม้ราคารวมอาหารสามมื้อ โอเพ่นบาร์แบบไม่จำกัดและทัวร์ครบทุกวันจะแพงกว่าบีแอนด์บีแบบเป็นสิบเท่าก็ตาม
เครื่องลงจอดแล้วก็ต้องเดินฝ่าไอแดดที่สะท้อนภูมิทัศน์โล่งเลี่ยนแห้งแล้งของเกาะ เกาะนี้ไม่ได้เขียวชอุ่ม หากแต่เป็นลักษณะทุ่งหญ้าแห้งๆปกคลุมเนินเขาเตี้ยๆทั้งเกาะ หากแต่อากาศและลมที่โชยมาอ่อนๆนั้นเบาสะอาดชื่นใจจริงๆ โรงแรมมีรถมารับแขกที่มาถึงจากไฟลท์เดียวกันโดยเฉพาะ ผ่านตัวเมือง Hanga Roa เล็กๆที่มีตู้เอทีเอ็มแค่เครื่องเดียวทั้งเกาะ ธนาคารและปั๊มน้ำมันก็มีอย่างละหนึ่งเดียวทั้งเกาะเช่นกัน ราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงโรงแรมซึ่งตั้งอยู่อย่างกลมกลืนแนบสนิทไปกับทุ่งหญ้าบนหุบเนินโดยรอบ แทบจะสังเกตความแบ่งแยกแตกต่างจากธรรมชาติไม่ออก เป็นหลักการของ Explora และตรงกับลักษณะสถาปัตยกรรมแบบชิลีแท้เปี๊ยบ ที่เน้นความเรียบง่ายแบบเรขาคณิต ด้านนอกกลมกลืนไปกลับธรรมชาติแบบไม่ทำลายทัศนียภาพ ด้านในกรุด้วยกระจกรอบด้านมากเท่าที่จะทำได้เพื่อเน้นการเปิดโล่งเชื่อมต่อกับธรรมชาติด้านนอก หากแต่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายทันสมัย ดังนั้นภาพแรกของโรงแรมที่เห็นเมื่อแรกที่รถแล่นเข้ามาจึงชวนให้สงสัยว่า นี่หรือโรงแรมแพงหรูระยับ แต่เมื่อได้ก้าวเข้ามาสู่ด้านในแล้วจึงต้องร้องว่า โอ ว้าว เพราะกรอบกระจกรอบกำแพงจากห้องรับรองและห้องอาหารนั้น เป็นประหนึ่งกรอบรูปที่ขับให้วิวมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ไพศาลและสงบนิ่งนั้น สวยงามดังภาพถ่ายในแนชันแนลจีโอกราฟฟิก ความรู้สึกในสถาปัตยกรรมแบบชิลีร่วมสมัยแท้ๆต้องเป็นเช่นนี้ คือทิ้งตัวนั่งๆนอนๆอยู่ข้างในแล้วสะดวกสบาย ทั้งยังโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับภายนอกอย่างไม่รู้สึกถึงรอยต่อ อยู่แล้วกระปรี้กระเปร่ามีพลังจากแสงธรรมชาติที่ส่องทั่ว แค่นี้ก็ไม่อยากออกไปไหนแล้ว
พิสโก้ซาวร์เย็นเจี๊ยบชื่นใจมาเสิร์ฟตามคำเรียกร้องพร้อมของขบเคี้ยวเก๋ไก๋ในจานสวย อร่อยอย่างนี้ท่าทางจะเมาทั้งสี่วันเพราะโอเพ่นบาร์เสียด้วย ไกด์เข้ามาแนะนำแผนการเที่ยวและให้ข้อมูลรายละเอียดของโรงแรม เราถูกจัดเข้ากับกลุ่มเดียวกับคุณลุงคุณป้าสองคู่ที่พูดภาษาอังกฤษเช่นกัน จึงได้ไกด์ภาษาอังกฤษชื่อเทอร์รี่ซึ่งต่อมาเราพบว่าเป็นไกด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งที่เราเคยพบมาจริงๆ เทอร์รี่เป็นลูกครึ่งเลือดชาวเกาะอีสเตอร์แท้ครึ่งหนึ่งและอเมริกันครึ่งหนึ่ง เกิดที่เท็กซัสแต่เลือกที่จะกลับมาปักหลักที่ท้องถิ่นอันแท้จริงของเขา ก็น่าอยู่หรอกที่จะภูมิใจว่าเขาเป็นประชากรหนึ่งในเพียงแค่สี่พันคนของดินแดนอันไกลโพ้นและมีรากเหง้าไม่เหมือนที่ใดในโลกนี้
รายการเที่ยวทุกวันคือจะนั่งรถออกไปชมจุดสำคัญต่างๆวันละสองรอบ รอบเช้าออกหลังอาหารเช้า กลางวันกลับมาทานอาหารที่โรงแรมแล้วพักผ่อนจนราวบ่ายสามโมงจึงออกรอบบ่าย ใครไม่อยากไปจะนั่งๆนอนๆที่โรงแรมก็ได้ มีสระว่ายน้ำ สปา อินเตอร์เนตเครื่องแอปเปิ้ลจอแบนรุ่นล่าสุด หรือจะนั่งดริ๊งค์ไม่จำกัดทั้งวันที่ห้องนั่งเล่นอันแสนสบายก็ได้ ส่วนวันนี้นั้นเป็นเวลาบ่ายเลยเวลามื้อกลางวันมาพอควรแล้ว เขาจึงเชิญเราให้ไปทานอาหารที่ห้องอาหารก่อน เพื่อจะได้รีบเตรียมตัวออกไปเที่ยวชมเกาะในตอนบ่าย
ห้องอาหารวิวแปซิฟิกโล่งพานอรามาอีกเช่นกัน ตกแต่งเรียบๆแต่มองโต๊ะที่จัดเครื่องเคราพร้อมเตรียมไว้ปราดเดียวก็รู้ว่ามืออาชีพแค่ไหน แขกที่กินอิ่มแล้วนั่งละเลียดประปรายกันอยู่มีแต่ฝรั่งเศรษฐีวัยต้นเกษียน อาหารที่นี่จะเปลี่ยนเมนูไปทุกมื้อ แต่ละมื้อมีให้เลือกสองชุดคือ จานแรกจานหลักและของหวานอย่างละสองอย่าง และอย่างที่บอกแล้วว่าฟรีบาร์ ไวน์จึงรวมอยู่แล้วเรียบร้อย และมีให้เลือกสั่งได้หลากหลายไม่ต่างกับรายการไวน์ตามร้านอาหารดีๆ ซึ่งไวน์ชิลีก็ขึ่นชื่ออยู่แล้ว และอาหารที่นี่ก็ดีจริงๆ เป็นแนวอาหารกูรเม่ต์ร่วมสมัยที่รสชาติเบาๆแบบสุขภาพดี และปรุงสดๆด้วยเครื่องปรุงท้องถิ่นเป็นส่วนมาก เช่นมื้อนี้มี Sweet Potato หรือมันหวานสีม่วงพื้นเมืองปลูกบนเกาะ เอามาบดแบบมันบด สีสวยเก๋แล้วยังอร่อยด้วย แถมยังเสิร์ฟมาสวยอีกต่างหาก ต้องให้คะแนนเต็ม
กินเสร็จแล้วกะจะเข้าห้องไปล้างหน้าล้างตาเดี๋ยวเดียวแล้วรีบออกมาเตรียมไปเที่ยว แต่พอเปิดเข้าห้องไปก็ต้องดี๊ด๊ากับวิวแปซิฟิก(อีกแล้ว)และห้องที่เก๋ไก๋จนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ทุกมุม ห้องสีไม้อ่อนถูกขับให้สดใสด้วยผ้าคลุมเตียงและเบาะหมอนอิงสีชมพูส้มแปร๋น ที่ริมหน้าต่างบานกว้างเผยโล่งนั้นทำเป็นเดย์เบดยึดติดน่านอนเอกเขนกอ่านหนังสือทั้งวันเป็นที่สุด ห้องน้ำส่วนในมีอ่างและฝักบัวกว้างขวาง ส่วนอ่างล้างมือและแต่งตัวอยู่นอกออกมาและกั้นกับส่วนนอนไว้ด้วยลำไม้ธรรมชาติเรียงเป็นต้นสูงจากพื้นถึงเพดาน คนบ้าวิวและชอบหน้าต่างใหญ่ๆโล่งๆอย่างฉันจึงมีความสุขนัก และไม่ต้องกลัวเสียความเป็นส่วนตัวด้วยเพราะห้องทุกห้องของโรงแรมนี้เรียงกันไปเป็นหน้ากระดาน ต่างหันออกวิวมหาสมุทรอย่างเสมอภาค ถัดจากหน้าต่างห้องออกไปเป็นผืนหญ้าสีน้ำตาลโล่งตามแบบภูมิทัศน์ของเกาะ ซึ่งเป็นเขตของโรงแรม ลาดลงเนินไกลลิบลงไปจนถึงผืนน้ำ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆเลยนอกจากแปลงผักของโรงแรมที่ปลูกไว้ทำอาหาร และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดผ่านมาให้ขัดลูกตาระคายวิวด้วย เหมือนมหาสมุทรนี้เป็นของฉันคนเดียวจริงๆ
ทั้งเกาะอีสเตอร์นี้มีฐานที่เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อตั้งรองรับรูปปั้นโมไอหรือที่เรียกว่า Ahu กระจายอยู่ทั่วไป ทั้งเกาะมีถึง 300 แห่ง แต่ละแห่งก็มีชื่อเรียกเฉพาะไป หากที่ปัจจุบันมีสภาพเหลือให้ชมได้นั้นไม่กี่แห่ง ทัวร์บ่ายนี้เราประเดิมเริ่มที่แรกที่ิ Ahu Akivi มีโมไอยืนเรียงกันอยู่เจ็ดคนกลางทุ่งหญ้าโล่งนั้น แต่ละคนขนาดไม่เท่ากันและหน้าตาต่างกันไป ขนาดดูรูปมาเยอะและคาดหวังไว้แล้ว พอมาเห็นของจริงยังอดตื่นเต้นไม่ได้ คงจะเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยเห็นรูปปั้นหรืออนุสรณ์สถานอะไรใกล้เคียงแบบนี้มาก่อนเลย เป็นลักษณะเฉพาะตัวมากๆ มีที่ไหนหินภูเขาทั้งก้อนมหึมาเอามาแกะสลักเป็นหัวเป็นตัวคน แล้วมาเข้าแถวยืนเรียงกันเป็นตับแบบนี้ บางคนว่าน่ากลัว แต่ฉันว่าขลังลึกลับและน่าอัศจรรย์จริง
กระโดดขึ้นรถแล่นต่อไปอีกแป๊บก็ถึง Ahu Te Peu อยู่ริมผาหน้ามหาสมุทรทางตะวันตก วิวริมผาตรงนี้ก็สวยจริงๆ แม้จะโล่งว่างอ้างว้างและแห้งแล้ง แต่ความกว้างไกลและเวิ้วว้างนั้นเองก็ชวนให้ชื่นใจอย่างแปลก ตรงนี้นอกจากมีซากโมไอล้มระเนระนาดที่พื้นแล้ว ตรงนี้ยังมีซากของฐานบ้านเรือนโบราณด้วย แปลกไม่เหมือนใครอีกแล้ว เพราะฐานนี้เป็นทรงรียาวหัวท้ายเรียวแหลมแบบเรือ เทอร์รี่เล่าว่าตัวบ้านซึ่งไม่มีเหลือให้เห็นแล้วนั้นเป็นใบหญ้าที่มุงจากหลังคาลงมาจรดพื้นเลย มีทางออกเล็กๆ ซากที่เห็นไม่ใหญ่มาก ทั้งครอบครัวคงจะนอนเบียดกันน่าดู
เทอร์รี่พาเดินมุดลงถ้ำใต้ดินด้วย แปลกดีที่ผืนดินคลุมด้วยหญ้าสีน้ำตาลแห้งๆอยู่ๆก็มีหลุมลงไป เดินไปในถ้ำมืดติ๊ดตื๋อแล้วก็มาถึงจุดที่มีแสงเข้ามา ปรากฎเป็นช่องหลังคาอยู่ข้างบน เลยปีนออกปากปล่องขึ้นมา สนุกดี
เดินเลียบฝั่งทะเลต่อลงมาถึง Motu Tautara ระหว่างทางมีม้าอยู่ตามธรรมชาติเต็มเลย และมีซากกระดูกและกระโหลกม้าเกลื่อนเต็มพื้นหญ้าด้วย ท่าทางจะอยู่จะตายกันแบบธรรมชาติจริงๆ เทอร์รี่ชวนเดินมุดลงถ้ำอีกแล้ว ท่าทางใต้ดินแถวนี้จะถ้ำเยอะ เขาบอกว่าจะชวนลงไปดูมีสิ่งเซอร์ไพรส์ ฉันสงสัยว่าจะมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจไปกว่าโมไออีกที่นี่ ไม่เชื่อหรอก แต่ก็เดินลงไปด้วยดี มุดถ้ำมืดเดินอย่างลำบากไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆก็มาสุดที่หน้าผา โอ….เป็นถ้ำที่มาเปิดออกตรงกำแพงของสันผาที่ตั้งดิ่งทิ้งลงไปในมหาสมุทรเลย ปากทางนั้นจึงเหมือนเป็นหน้าต่างเจาะจากเขาออกสู่ทะเล ยามนั้นพระอาทิตย์ใกล้ตกพอดี มองผ่าน“หน้าต่าง”ถ้ำออกมาจึงเห็นคลื่นที่ซัดเข้าใส่หน้าผาเป็นสีขาวฟ่องตัดกับผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มของแปซิฟิก มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีส้มและพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงเป็นดวงกลม สวยขาดใจอย่างไม่คาดฝัน เป็นเซอร์ไพรส์ที่วางแผนไว้อย่างได้เวลาพอดิบพอดี
ทีนี้นั่งรถเลียบฝั่งต่อลงมาอีกจนถึง Ahu Tahai มีโมไอใส่หมวกและมีลูกตาด้วย หมวกนั้นจะทำจากหินสีแดงต่างไปจากตัวและเป็นทรงกลมแบน ส่วนลูกตานั้นนักโบราณคดีว่าตาขาวทำจากปะการังและตาดำทำจากหินออบซิเดียนที่พบทั่วไปบนเกาะ โมไอที่เห็นปัจจุบันนี้ไม่มีลูกตาเหลือให้เห็นแล้ว เขาก็เลยมาบูรณะไว้ให้เห็นว่าของเดิมตอนสมบูรณ์เป็นอย่างไร และมีโมไอห้าคนตั้งเรียงกันอยู่ริมทะเลล้วนหันหน้าเข้าฝั่งและหันหลังออกทะเล ตรงข้ามกับที่เคยเข้าใจว่าจะหันหน้าออกทะเล แค่เรื่องราวเกี่ยวกับโมไอที่ได้เรียนรู้วันแรกก็ทำฉันสนุกสนานและสนใจใคร่รู้ยิ่งขึ้นแล้ว ยิ่งรู้ยิ่งถูกใจเพราะโมไอนี้จริงๆแล้วคือหินประดับหลุมศพที่แกะให้ใกล้เคียงหน้าตาเจ้าของหลุมด้วย และสาเหตุที่ตั้งให้หันหน้าเข้าฝั่งนี้ก็เพราะว่า ที่ตั้งโมไอนี้จะอยู่ใกล้กับบ้านเรือน พอตื่นเช้าลูกหลานมุดออกจากบ้านมา สิ่งแรกที่จะเห็นก็คือบรรพบุรุษยืนตระหง่านหันหน้ามองทักทายอยู่แล้ว เหมือนกับว่าไม่ได้จากไปไหน บริเวณที่ฝังศพก็คือแถวตรงฐานรูปสลักนั่นเอง และโมไอนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นเฉยๆ แต่มีฐานทำจากหินก้อนโตๆมาเรียงกันเหมือนเป็นเวที ตรงฐานนี่เองที่ชวนให้สงสัยว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากการเรียงหินของอินคาจากเปรู เพราะมีอาฮูบางแห่งเรียงหินได้แนบสนิทแบบอินคาเลย ตรงนี้มีซากของฐานบ้านรูปเรือที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดอยู่ ยิ่งทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่า ตื่นเช้าโผล่หน้าออกจากบ้านมาปุ๊บแล้วจะเห็นโมไอของบรรพบุรุษยืนคอยทักทายอยู่อย่างไร เป็นวัฒนธรรมที่แปลก เอาหลุมศพมาสร้างหน้าบ้าน แต่จะว่าไปก็อบอุ่นดีกว่าเอาบรรพบุรุษไปฝังในป่าช้าแสนไกลรวมกับใครก็ไม่รู้ และยังเหมือนมีพ่อแม่มาคอยให้สติเตือนใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนไม่ได้จากไปไหน
ทัวร์เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้วของราปานุย เพราะเราจะเดินแกะรอยตามเส้นทางเดินของโมไอ หรือ Moai Walking Trail จากริมทะเลฝั่งตะวันออกที่โมไอตั้งอยู่ ย้อนรอยกลับเข้าไปภูเขากลางเกาะซึ่งเป็น“แหล่งผลิต”โมไอ หรือบริเวณที่ชาวราปานุยโบราณสกัดหินออกมาจากเขาทั้งลูกเพื่อเป็นโมไอนั่นเอง ว้าว… แค่คิดก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว
เรานั่งรถจากโรงแรมไปที่ Ahu Hanga Te Tanga ริมทะเลอันมีซากโมไอล้มหักพังกองอยู่ แล้วเริ่มเดินลุยทุ่งหญ้าสีน้ำตาลอ่อนไปตามรอยทางเดิน แดดจ้าฟ้ากระจ่าง ลมย่างฤดูหนาวโชยมาเย็นๆ รู้สึกว่ารอบตัวมีแต่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ไกลปืนเที่ยงขนาดนี้ คนที่นี่คงนึกไม่ออกว่าคำว่ามลภาวะแปลว่าอะไร ตลอดทางเดินมีซากโมไอนอนล้มแตกเป็นชิ้นๆเรี่ยราดอยู่เป็นระยะ เทอร์รี่คอยชี้ให้ดูและบอกเล่าให้ความรู้สารพัดเช่นการล้มหน้าคว่ำแปลว่าเป็นการล้มระหว่างขนส่งเดินทางมา รายละเอียดเยอะมาก อย่างกับเรากลายมาเป็นนักโบราณคดีน้อยๆ สนุกดี การศึกษาเส้นทางการขนส่งโมไออย่างละเอียดนี้ทำให้คาดเดาเรื่องราวในอดีตได้ แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานอันชวนพิศวงอยู่นั่นเอง
ว่ากันว่าการแกะสลักทำโมไอนี้เป็นสาขาอาชีพประกอบการค้าของคนในสมัยก่อนทีเดียว ใช่ว่าจะเป็นการช่วยกันทำคนละไม้ละมือไม่ คือพอมีคนตายขึ้น ลูกหลานก็จะว่าจ้างคนแกะสลักโมไอเป็นรูปของบรรพบุรุษตัว แล้วก็ให้ขนส่งไปตั้งที่ริมทะเลหน้าบ้าน พอได้ “ออร์เดอร์”มาแล้วช่างก็มาแกะสกัดหินที่ Rano Raraku ริมปากปล่องภูเขาไฟเก่า พอเสร็จแล้วก็จะพาหุ่นโมไอนี้ “เดิน”ไปส่งยังบ้านที่ออร์เดอร์มา การเดินรูปปั้นหินขนาดสูงหลายเมตรและหนักหลายตันไปส่งตามจุดต่างๆรอบเกาะนับเป็นสิบกิโลเมตรนี้ เป็นเรื่องที่ชวนฉงนที่สุดว่าทำได้อย่างไร บ้างว่าใช้วางบนซุงแล้วเลื่อนไป บ้างก็ว่าวางบนกรวดเล็กๆแล้วลากไปบนกรวดนั้น เทอร์รี่ว่าข้อสันนิษฐานที่น่าเป็นได้ที่สุดคือ เขาจับโมไอยืนแล้วใช้เชือกดึงทางซ้ายทีและขวาทีสลับกันไป แล้วทำท่าเดินให้ดูเหมือนตุ๊กตาที่ขยับเอียงซ้ายขวาๆกระดึบๆไปข้างหน้าเรื่อยๆ ลักษณะการล้มของโมไอที่เรี่ยราดอยู่ระหว่างทางราวหนึ่งร้อยตัวนี้เองที่ทำให้เชื่อกันแบบนี้ เพราะหากการขนส่งเป็นไปโดยจับโมไอนอนราบไปก็คงจะไม่มีโมไอที่ล้มหน้าคว่ำอยู่เต็มไปหมดเช่นนี้
การเดินตามรอยลุยไปตามทุ่งหญ้านี้เป็นระยะทางหลายกิโลเมตรและนานราวสองชั่วโมงกว่า ระหว่างทางมีเนินเขาที่ดูไกลๆก็ว่าเล็กๆ คลุมไปด้วยหญ้าอ่อนๆสูงท่วมเข่าสีน้ำตาลชื่อ Maunga Kahu Rea เราเดินไต่ขึ้นไป โอ้โหเหนื่อยใช้ได้ แต่พอขึ้นไปถึงยอดก็ชื่นใจ เพราะเห็นวิวเโล่งต็มๆตา เกาะนี้ไม่มีอะไรเลยจริงๆ มีแต่ทุ่งหญ้าโล้นๆจรดชายทะเล โล่งเลี่ยนไร้ต้นไม้ใหญ่ แปลกไปกว่าทีใดๆที่ฉันเคยไปมา
เดินจนเหนื่อยแทบจะหมดแรง พอเทอร์รี่เห็นพวกเราเหนื่อยก็บอกว่าอย่าเหนื่อย..จะร้องเพลงให้ฟัง แล้วเขาก็เด็ดเอาฝักอะไรไม้รู้มาเขย่าในมือเป็นเครื่องประกอบจังหวะ พร้อมร้องเพลงพื้นเมืองให้เราฟัง พลางเดินนำไปร้องเพลงไปอย่างอารมณ์ดี ท่าทางเขาใจเย็นและมีความสุขกับเกาะเล็กๆบ้านเกิดของเขาจริงๆ ถูกหลอกให้ลืมเหนื่อยพอเพลินก็มาถึง Rano Raraku ปากปล่องภูเขาไฟที่เป็นแหล่งสกัดหินหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Quarry เรามาถึงด้านขอบนอกของปากปล่อง ส่วนแหล่งที่สกัดอยู่ขอบใน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงมีแรงฮึดขึ้นมาอีกรอบ เดินไต่ข้ามสันขอบเขาเข้าไปด้านใน พอเข้ามาถึงแล้วก็หายเหนื่อยจริงๆ เพราะได้เห็นประหนึ่ง “โรงงาน”ร้างที่มีโมไอในสารพัดสภาพทิ้งไว้ให้จินตนาการภาพในอดีตอย่างชัดเจน ซากโมไอในหลากหลายสภาพนี้นั้น ทำให้รู้ว่าการแกะสลักหินออกมานั้นเขาทำอย่างไร นั่นก็คือ เขาจะเซาะหินให้ขาดออกจากเขาตามแนวเอียงของเขาให้เป็นแนวยาวเท่าตัวโมไอที่ต้องการ ยาวลงมากระทั่งถึงบริเวณที่กะให้เป็นเอว ค่อยๆแกะเกลาเป็นตัวโมไอนอนเอียงๆพิงเขาอยู่อย่างนั้น จนพอแกะเสร็จเป็นรูปร่างก็จะเลื่อยตรงเอวที่ยังค้่างไว้ให้หลุดออกจากเขา แล้วยกตัวโมไอให้ยืนขึ้นตรงๆ ซึ่งก็ไม่ยากเลยเพราะโมไอนอนอยู่ในองศาที่เอียงๆเกือบจะยืนอยู่แล้ว ฉลาดมาก จากนั้นก็ลากเดินกระดึบซ้ายขวาอย่างที่บอกไปส่งยังอาฮูของเจ้าของหุ่น หากโมไอล้มแตกระหว่างทางก็เป็นอันว่าต้องทิ้งไปเลยแล้วกลับมาแกะกันใหม่ จึงได้เห็นโมไอนอนล้มแตกอยู่มากมายเป็นร้อยตัวอย่างที่เราเดินตามรอยกันมา
ที่ควอร์รี่นี้มีโมไอตั้งๆนอนอยู่หลายสภาพ ทั้งหินที่เพิ่งสกัดแยกออกมาจากเนินเขายังไม่เริ่มเ็ป็นรูปร่าง ทั้งที่เสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายเลยยืนฝังอยู่ในดินเสียครึ่งตัวไปตามสภาพกาลเวลา ที่แกะไปแล้วครึ่งทางแล้วทิ้งเลิกแกะก็มีเพราะพบว่าหินแข็งเกินไปแกะยาก โมไอทั้งหลายที่อยู่ที่นี่นั้นมีสภาพดีมากๆ เห็นรูจมูกรูหู สันจมูกแหลมเปี๊ยบคางเรียวสวย และลวดลายรายตกแต่งตามตัวอย่างชัดเจน ซึ่งละเอียดพวกนี้จะไม่เห็นเลยบนโมไอที่ตั้งอยู่ริมทะเล เพราะถูกลมพักเซาะกร่อนไปหมด แต่โมไอที่อยู่ด้านในของขอบปล่องภูเขาไปนี้ได้รับการปกป้องจากลมอย่างดีด้วยกำบังธรรมชาติที่เสมือนอยู่ในหลุม ทำให้เห็นว่าโมไอจริงๆแล้วนั้นหน้าตาต่างจากที่เห็นตามอาฮูพอควร
โมไอที่อยู่ในระหว่างการแกะที่ควอร์รี่นี่มีถึง 400 กว่าตัว จึงน่าคิดน่าสงสัยมากว่า เกิดอะไรขึ้นคนบนเกาะถึงตายไปพร้อมๆกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้ บ้างก็ว่าเกิดสงครามระหว่างพวก “หูยาว” และ “หูสั้น” พวกหูยาวก็คือชนชั้นสูงที่สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์องค์แรกที่ค้นพบราปานุยเป็นคนแรก และเป็นพวกที่แกะสลักโมไอ ที่หูยาวก็เพราะใส่ไม้ชิ้นเบ้อเริ่มเป็นตุ้มหูเข้าไปจนติ่งหูยานยาวลงมาคล้ายกับชาวโพลีนีเชียนที่ยังมีให้เห็นในปัจจุบัน พวกหูสั้นเป็นพวกที่มาถึงเกาะทีหลังจึงจัดให้เป็นชนชั้นสอง และเกิดแข็งข้อสู้รบกันจนตายเป็นเบือ แต่บ้างก็ว่าคนผิวขาวที่มาถึงนำเอาโรคระบาดมา เฮ้อ..โรคระบาดนี่อันตรายยิ่งกว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เสียอีก ไม่ต้องไปเสียแรงสู้รบกันให้เหนื่อย แต่ที่แน่ๆ เกิดอะไรขึ้นเจ้าโมไอที่สร้างไม่เสร็จนี้จึงได้ค้างคาอยู่ถึง 400 ตัว แปลว่าพวกช่างที่แกะสลักก็ต้องตายกันหมดอย่างกะทันหันด้วยเช่นกัน เหมือนกับว่าอยู่ดีๆคนทั้งเกาะก็สูญพันธุ์ไปหมด ไม่เหลือหลักฐานอะไรไว้เลยว่าใครสร้างโมไอ สร้างได้อย่างไร ใช้วิทยาการอะไร คล้ายกับการหายไปของอินคาที่เปรู คล้ายเป็นอีกหนึ่งอารยธรรมที่สูญหายสลายไปอย่างไร้ร่องรอย…..
เดินอ้อมเขากลับออกมาด้านนอกของปากปล่องก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน ฝั่งนี้มีโมไออีกมากมายหลายตัวทั้งที่กำลังอยู่ระหว่างการแกะสลักกับที่เสร็จแล้วเริ่มจะ “ออกเดิน” ยิ่งพิศดูก็ยิ่งอัศจรรย์ใจ ถ่ายรูปเท่าไรก็ไม่เบื่อ บนเขาสูงขึ้นไปโน้นดูดีๆจะเห็นโมไอตัวหนึ่งในระหว่างการแกะยังไม่เป็นตัวดีนักนอนอยู่ เป็นตัวที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะสูงกว่าสิบเมตรทีเดียว
มีตัวใหญ่ๆหลายตัวที่คาดว่าเริ่มแกะแล้วก็ทิ้งเพราะใหญ่เกินกว่าจะเคลื่อนย้ายได้ และมีตัวที่คาดว่าจะเป็นตัวต้นแบบกันอยู่ด้วย เดินไต่เขาลงมาเห็นมีตัวหนึ่งไม่ใหญ่มากหน้าตาไม่เหมือนตัวอื่นเลย เพราะหัวล้านกลมเชียวและมีเคราด้วย นั่งคุกเข่าอยู่ เทอร์รี่ว่าตัวนี้เป็นแบบโบราณเก่าแก่กว่าใคร
กลับไปเติมพลังด้วยอาหารมื้อสวยรสอร่อยที่โรงแรมและพักพอสดชื่นแล้วก็ออกเที่ยวรอบบ่าย ซึ่งเป็นการเดินชมทิวทัศน์ของเกาะ เรียกว่าเดินลุยทุ่งหญ้ากลางแจ้งอย่างเดียวสิบกิโลเมตรไม่หยุดเลยสามสี่ชั่วโมง เหนื่อยจริงๆ ไอ้เหนื่อยน่ะไม่เท่าไร แต่นึกว่าจะได้เห็นโมไออีก ปรากฎว่าไม่มีเลย เป็นการเดินเพื่อเดินล้วนๆ ถ้ารู้ก่อนฉันก็คงจะเลือกไปทัวร์อื่น สรุปว่าใครชอบเดินออกกำลังชมธรรมชาติแบบทุ่งโล่งก็จงเลือกเดินไปตามทางนี้ จาก Rano Aroi ไป Maunga Okoro ถึง Maunga Pui ซึ่งเป็น Crater หรือปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วและแห้งขอดจนมีต้นกกขึ้นเต็ม แปลกดี จากนั้นต่อไปจนถึงหาด Anakena ทางเหนือของเกาะ ที่จริงหาดนี้มีทรายขาวเล่นน้ำได้ แต่เราเดินกันนานเหลือเกิน กว่าจะมาถึงก็จะค่ำแล้วและทุกคนเหนื่อยแทบขาดใจ จึงขอขึ้นรถกลับไปโรงแรมกัน อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวสวยแทบจะคลานมากินข้าว มื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ต์บาร์บีคิวอย่างดี เสียที่ยังต้องเดินมาตักอาหารเองอีก เฮ้อ
รายการเที่ยววันรุ่งขึ้นเป็นการเก็บตกโมไอตามอาฮูต่างๆที่เหลือ ไกด์เตือนไว้ก่อนว่าโมไออื่นๆนั้นไม่ได้สมบูรณ์นะ กลัวจะเบื่อเพราะเหมือนมีแต่ซากหิน ฉันบอกไม่เป็นไร ชอบอยู่แล้วเรื่องของปรักหักพัง
และก็สมใจฉัน จริงอยู่ที่อาฮูส่วนมากที่เก็บตกวันนี้มักมีแต่โมไอที่ล้มๆพังๆและไม่ได้บูรณะจับขึ้นมาตั้ง แต่ฉันได้เรียนรู้เรื่องราวเบื้องหลังตามหลักการสันนิษฐานทางโบราณคดีมากมาย สนุกที่สุด เช่น Ahu Hanga Poukura ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาท้าคลื่นที่ซัดแรง มีพื้นที่ส่วนที่ใช้ประกอบการเผาศพ (Crematorium) อยู่ด้านหลังอาฮูด้วย ทำให้รู้ว่าการทำศพนั้นนอกจากฝังแล้ว ยังมีการเผาด้วย แต่ก็อีกนั่นแหละที่ไม่มีใครรู้ว่าทำไม อาจจะเผาเวลามีโรคระบาด หรือพิธีกรรมอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ที่ Ahu Hanga Tee นั้นโมไอทั้งแถวล้มหน้าคว่ำลงหมดเลย เหมือนถูกคลื่นลมกระหน่ำซัดพร้อมๆกัน และมีถ้ำข้างใต้อาฮูและมีท่าจอดเรือแคนูโบราณด้วย ส่วน Ahu Akahanga นั้นน่าจะสำคัญเพราะใหญ่มาก มีถึงสองชั้นและมีส่วนที่ฝังกษัตริย์ด้วย และยังมีซากฐานบ้านรูปเรืออยู่กันเป็นหมู่บ้านใหญ่
ส่วนอาฮูที่ฉันชอบที่สุดและเป็นภาพติดตาจากนิตยสารที่เคยเห็นก่อนมา จนถึงกับตั้งใจแน่วแน่จะมาถ่ายรูปให้ได้นั้น คือ Ahu Tongariki ไม่ไกลจากแหล่งสกัดหินที่มาเมื่อวาน เพราะมีโมไอขนาดต่างๆกันยืนเรียงกันเป็นแถวถึง 15 ตัว ตัวรองสุดท้ายทางขวามือใส่หมวกเป็นหินสีแดงต่างไปจากหินที่มาทำตัวด้วย มาเห็นกับตาแล้วก็ยังไม่อยากเชื่อว่าได้มาเห็นแล้วจริงๆ เดินจากถนนที่จอดรถเข้าไปยืนชมอยู่ด้านที่โมไอหันหน้าเข้ามา หินตัวโมไอสีเข้มยืนขลังตัดกับแผ่นฟ้าสีสดที่มีเมฆขาวกระจาย และริ้วคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นระยะอยู่เบื้องหลัง สวยสมความยากลำบากที่ดั้นด้นมาจริงๆ เป็นสถานที่ไม่กี่แห่งในโลกที่ฉันอยากเข้าไปยืนเก็บภาพตัวเองเอาไว้ ขนาดว่าถ่ายมาแล้วก็ถึงกับเอามาใส่เป็นภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นทีไรก็ต้องยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจทุกที เพราะมันขลังอลังการเหลือเกิน
แต่ที่โมไอทั้ง 15 ตัวตั้งอยู่ได้เป็นระเบียบสวยงามให้ฉันถ่ายรูปออกมาได้สวยๆนี้ ไม่ใช่สภาพเดิมแท้แต่เก่าก่อน เพราะเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1960 เกิดคลื่นยักษ์ซูนามิซัดเข้าฝั่งมา โมไอทั้งหลายล้มกระจายหมด ที่เห็นอยู่นี้เป็นเพราะญี่ปุ่นเข้ามาบูรณะให้จนเสร็จเมื่อปี 1996 นี่เอง โมไอบางตัวต้องเอาปูนยาคอไว้ ดูดีๆก็จะเห็น ข้อดีที่ซูนามิให้ไว้ก็คือ คลื่นที่ถล่มล้มทุกอย่างที่ขวางหน้าได้เปิดให้เห็นว่า ในดินข้างใต้อาฮูนั้น มีโมไอที่มีลักษณะหัวกลมๆแบบที่เราเห็นเมื่อวานฝังอยู่ จึงช่วยให้สันนิษฐานได้ว่าโมไอหัวกลมนี้เป็นแบบรุ่นเก่ากว่าที่เห็นบนดิน ที่แปลกคือเจอตัวที่มีหัวสี่เหลี่ยมเหมือนมนุษย์ต่างดาวฝังอยู่ด้วย
ตกบ่ายเราจะไปเที่ยวทางใต้เกาะกัน ซึ่งต่างไปจากที่ผ่านมาเพราะเราจะไปเดินรอบปากปล่องภูเขาไฟกัน และไปดูหมู่บ้าน Bird Man แต่ก่อนถึงต้องผ่าน Ahu Tahira เราจึงลงไปชม เป็นอันว่าฉันก็ได้เห็นอาฮูแทบจะครบทั้งเกาะเลยที่นี้ อาฮูนี้มีที่แปลกไปกว่าที่อื่นคือมีเสาเป็นรูปร่างผู้หญิงอยู่ เห็นสะดือและหน้าอกชัดเจน เทอร์รี่ว่าเดิมมีสองเสาหันหน้าเข้าหากัน และมีไม้พาดขวางทับข้างบน เอาไว้ใช้ตากศพให้แห้งจนเหลือแต่กระดูกก่อนฝัง และที่ไม่เหมือนใครคือ อาฮูนี้มีการเรียงหินแบบหลายเหลี่ยมมาเข้ามุมกันเหมือนวิทยาการของอินคาที่เปรูไม่มีผิด อันเป็นข้อชวนถกที่ว่าหรือชาวเกาะเดิมจะมาจากละตินอเมริกาไม่ใช่โพลีนีเชียน
มาถึง Rano Kau ซึ่งเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วที่ใหญ่ที่สุดของเกาะ เป็นวิวที่น่าอัศจรรย์อีกหนึ่งแห่ง เพราะเมื่อมายืนที่ริมขอบปล่องแล้วนี้ นอกจากจะเห็นเป็นปากปล่องกลมดิกทรงภูเขาไฟแท้ๆชัดเจนแล้ว เมื่อมองลงไปในปล่องเห็นน้ำสีเข้มลึกลงไปด้านล่างและสลับเขียวด้วยกกที่ขึ้นอยู่หนาแน่น เหมือนบ่อน้ำทรงกลม เทอร์รี่ว่าชาวเกาะยังเดินไต่ปล่องลุยต้นไม้ลงไปเก็บต้นกกและพืชพันธุ์ผลไม้มากินเหมือนกัน และบางทีก็มีนักท่องเที่ยวใจกล้าไต่ลงไป ใช้เวลาหลายชั่วโมงทีเดียวทั้งขึ้นลงเพราะลึกถึง 200 เมตรและชันมาก ฉันยังไม่นึกว่าใครจะเดินลงไปได้ ส่วนเรานั้นเดินออกกำลังตามแนวทางเดินแคบๆบนสันปล่องชมวิวจนเกือบครบรอบ จากขอบปล่องด้านตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดหน้าผาริมทะเลวนรอบกินเวลาเป็นชั่วโมง แดดเริ่มคล้อยและลมหนาวเริ่มพัดมาให้กระชับแจ็คเก็ตเข้าหาตัวบ่อยๆ เหนื่อยใช้ได้แต่ก็ได้ชมวิวปล่องภูเขาไฟพร้อมธรรมชาติล้วนๆเต็มตาเต็มใจ
พอมาถึงปากปล่องทางสันที่วกกลับมาติดผาริมทะเลเหมือนเดิม แต่เป็นทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็เป็นทางเข้าหมู่บ้าน “Bird Man” หรือหมู่บ้าน Orongo ซึ่งมีที่ตั้งที่สุดยอดมาก เพราะด้านหนึ่งก็ติดปากปล่องภูเขาไฟมองเห็นวิวที่แปลกตา และอีกด้านก็ติดมหาสมุทร โดยเป็นหน้าผาตัดดิ่งลึกลงทะเลไปถึง 400 เมตร เห็นคลื่นซัดเข้าหาผาหินข้างล่างโครมๆ มองออกไปเห็นเกาะเล็กๆสามเกาะ คือ Motu Kao Kao Motu Iti และ Motu Nui หมู่บ้านนี้หาใช่เป็นหมู่บ้านที่คนปัจจุบันอยู่ไม่ แต่เป็นซากบ้านหินของคนโบราณสมัยศตวรรษที่ 16 เอาก้อนหินมาเรียงๆกันเป็นห้องๆทรงกลมๆรีๆเตี้ยขนาดยืนไม่ได้ มีทางเข้าประหนึ่งเป็นประตูเล็กๆแค่คนหนึ่งคนมุดคลานเข้าได้ ฝีมือการเรียงเป็นระเบียบทีเดียว หลายบ้านเรียงติดๆกันถึง 53 หลัง
ที่น่าสนใจก็คือที่ก้อนหินริมหน้าผานั้น มีรูปแกะสกัดหินมากมายเป็นรูปตัว “Bird Man” คือตัวเป็นคนหัวเป็นนกมีจงอยแหลม มือถือไข่หนึ่งฟอง เรื่องราวนี้ก็คือ ทุกปีจะมีนกชนิดหนึ่ง คนท้องถิ่นเรียกว่า ManuTara อพยพถิ่นมาวางไข่เป็นประจำตามฤดู และเชื่อกันว่าเทพเจ้ามากิมากิเป็นผู้นำสัตว์นี้มาเยือน หัวหน้าของทุกเผ่าบนเกาะก็จะเลือกเอาคนใช้หรือคนงานชายที่แข็งแรงที่สุดมาส่งชิงรางวัลการล่าไข่นกฟองแรกของฤดูใบไม้ผลินั้น ผู้เข้าชิงจะถูกส่งไปอยู่บนเกาะ Motu Nui ที่เรามองเห็นอยู่ที่แหละ เป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อแข่งกันหาไข่ (ฉันฟังแล้วเหมือนรายการเรียลตี้โชว์ “เซอร์ไวเวอร์”ของอเมริกาไม่มีผิด) ใครที่หาไข่ฟองแรกนั้นเจอก่อนก็จะต้องเอาไข่มัดไว้กับหน้าผาก แล้วว่ายน้ำเย็นเจี๊ยบฝ่าคลื่นแรงที่ซัดเข้ากระแทกผาหินอยู่โครมๆ แล้วปีนหน้าผาที่สูง 400 เมตร และชันดิ่งนี้ เอาไข่กลับมามอบให้หัวหน้าเผ่าของตัว ฝ่ายหัวหน้าก็จะได้ชื่อว่าเป็น “Bird Man” ของปีนั้น ทั้งปีก็จะได้กินอยู่อย่างสบายในบ้านพิเศษ และเป็นที่ถูกใจของเทพเจ้า ส่วนเจ้าคนใช้ผู้ถูกส่งเข้าแข่งขันเกม“เซอร์ไวเวอร์หาไข่นก”อย่างเหนื่อยแทบกระอักเลือดนั้น ประวัติศาสตร์ไม่มีกล่าวไว้ว่าได้รางวัลตอบแทนหรือไม่อย่างไร…..เวรกรรม
ออกมาจากหมู่บ้านชาวนกพระอาทิตย์เริ่มจะตกแล้ว ฉันนึกว่าเทอร์รี่จะให้ขึ้นรถกลับ ที่ไหนได้สั่งให้เราเดินต่อบุกป่าเข้าไปอีก เหนื่อยแล้วนะ แต่เอาเดินก็เดิน ทางเดินต่างไปจากเดิมเพราะเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้สูงแผ่กิ่งใบและบางทีก็มีดอกสวยเป็นซุ้มคลังคา เหมือนเดินในสวนมากกว่าป่า มาทะลุถึงสถานที่ประมาณว่าเป็นสถานีเกษตร Pie del Runo Kau มีแปลงทดลองปลูกต้นไม่สารพัด ที่สำคัญมี Manauai หรือวิธีการปลูกต้นไม้เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไว้ของชางเกาะโบราณ โดยเอาหินมาก่อเป็นหลุมแล้วปลูกต้นไม้ข้างใน เหมือนเป็นการสร้างบรรยากาศจำลองให้พืชนั้นทนอยู่ได้ ฉลาดจริง
ในที่สุดก็มาถึงหน้าผาสูงริมมหาสมุทรแปซิฟิกอีกแห่งหนึ่ง พระอาทิตย์ก็กำลังตกน้ำพอดี วิวน้ำสีฟ้าสะท้อนแดดสีส้มกว้างไกลสุดสายตา หาดทรายเบื้องล่างเป็นสีดำสนิท เป็นส่วนผสมของสีสันในวันเวลาที่ลงตัวสวยงามได้จังหวะพอเหมาะพอเจาะจริงๆ แล้วเทอร์รี่ก็เปิดถังน้ำแข็งหยิบแชมเปญเย็นเจี๊ยบหนึ่งขวดออกมา เทใส่แก้วแชมเปญแจกจ่ายทุกคน แล้วชูแก้วขึ้นบอกฉันแทนทุกคนว่า “Happy Birthday” แล้วก็นำร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้ฉัน น่ารักจริงๆ คนที่มาเจอในทริปนี้ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอคนแปลกหน้าที่ช่วยเพิ่มให้การเดินทางมีรสชาติที่ดีขึ้น ที่สำคัญ วิวตรงหน้าและเวลาณ.ตรงนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกว่า เลือกถูกแล้วที่มาฉลองวันเกิดที่นี่ หัวใจมันรู้สึกอิ่มเอมเติมเต็มและหายเหนื่อยจากการทำงานได้อย่างบอกไม่ถูก ราปานุยกลายเป็นที่ที่พิเศษส่วนตัวสำหรับฉันไปอีกแห่งหนึ่งแล้วจริงๆ
ยังไม่พอ พอกลับโรงแรมออกมาดินเนอร์คืนนั้น คุณป้าคุณลุงสี่คนก็ชวนให้เราร่วมโต๊ะด้วยหกคน เป็นการส่งท้ายคืนสุดท้ายด้วยกันและขอฉลองวันเกิดให้ฉันด้วย ได้ร่วมสนทนากันสนุกสนาน อาหารอร่อยเช่นเคย ตอนของหวานพนักงานดับไฟแล้วเดินถือเค้กร้องเพลงอวยพรวันเกิดออกมาให้อีกรอบ คืนนั้นฉันเลยฉลองวันเกิดด้วยการนอนพุงกางหลับปุ๋ยสบาย
เช้ารุ่งขึ้นเราต้องกลับแล้ว เครื่องออกกลางวัน ตอนเช้าเทอร์รี่เลยพาเข้าตัวเมือง Hanga Roa ไปซื้อของพื้นเมืองที่ตลาดเหมือนศูนย์โอทอป เรียก Mercado Artesenal ในนั้นมีหลายร้านเป็นเพิงติดๆกัน ล้วนเป็นงานไม้แกะสลักต่างๆ ที่ฉันต้องซื้อแน่นอนคือหินลาวาที่เอามาแกะเป็็นตัวโมไอน้อยๆยืนเรียงแถวกันอยู่ ในเมืองมีร้านอื่นๆอีกหลายร้านบนถนนเล็กๆร่มรื่น เป็นเมืองเล็กๆเงียบๆที่สงบง่ายกลางเกาะที่ห่างไกลที่สุดในโลก
ที่ฉันชอบคือเราได้ไปประทับตราบนพาสปอร์ตที่ไปรษณีย์เป็นรูปโมไอและเขียนว่า Isla de Pascua เป็นหลักฐานยืนยันว่าเราได้มาเยือนเกาะไกลปืนเที่ยงนี้แล้วจริงๆ เกาะที่แม้จะเหลือเลือดพื้นเมืองแท้ๆแทบไม่ได้แล้ว แต่ชาวเกาะที่เหลืออยู่ก็ภูมิใจและปกป้องเกาะของตัวมาก ขนาดที่คนที่จะเป็นเจ้าของที่ดินบนราปานุยนี้ได้ต้องเป็นชาวเกาะพื้นเมืองเท่านั้น แม้แต่คนชิลีจากแผ่นดินใหญ่ยังไม่ได้เลย
ฉันคงจะต้องจากลาเกาะพิเศษในใจไปเสียแล้ว นึกอยู่กับตัวเองเมื่อรถมาจอดที่หน้าสนามบินว่า คงจะอีกนานกว่าจะได้กลับมา หรือจะมีโอกาสหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไกลเหลือเกินขนาดนี้นี่นา แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเก็บรายละเอียดได้เยอะ ทั้งรูปในกล้องและในใจ ความทรงจำดีๆคงจะไม่เลือนหายไปง่ายๆ
เทอร์รี่เดินลาทุกคนเมื่อส่งเราเข้าส่วนในของสนามบิน เมื่อมาถึงฉัน เขาส่งแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นให้และบอกว่า “แฮปปี้เบิร์ธเดย์อีกครั้ง ขอให้มีความสุขมากๆ นี่คือซีดีที่ผมทำ แต่งเพลงเองทุกเพลงและร้องเองด้วย ให้คุณเป็นของขวัญวันเกิด” ฉันอ้าปากค้างแทบพูดไม่ออกด้วยความคาดไม่ถึง ทั้งไม่นึกว่าเขาจะมีของให้เป็นการส่วนตัว และไม่นึกว่าเขาจะเป็นศิลปินตัวจริง พอมาเปิดปกในดูทีหลังถึงเห็นรูปเขาและรายละเอียดของวง เป็นเพลงพื้นเมืองในภาษาโพลีนีเชียน ทำนองเพลงเหมือนพวกเพลงชาวเกาะแปซิฟิกเนิบๆพร้อมเครื่องเคาะเพอร์คัสชั่น แบบเดียวกับที่เขาร้องไปเคาะฝักไม้ไปและเดินไปแกล้งให้เราลืมเหนื่อยนั้นแหละ ไม่คาดฝันจริงๆ
ฉันมองดูเกาะราปานุยหรืออีสเตอร์ไอส์แลนด์จากหน้าต่างเครื่องบินจนลับตา เหลือเพียงแผ่นน้ำสีน้ำเงินแผ่ไกลทุกทิศทางสุดสายตา และคงจะเป็นวิวนี้ไปอีกนานกว่าจะถึงผืนแผ่นดินที่ใกล้ที่สุด เกาะที่ห่างไกลที่สุดในโลก….แม้ความลับในอดีตจะไม่ถูกไขออกให้หายข้องใจ หากความจริงในปัจจุบันนั้นชัดเจนแจ่มกระจ่างที่สุด ราปานุย…คือของเกาะพิเศษในวันพิเศษของฉันตลอดไป
คัดลอกและปรับปรุงเมื่อ 16 มิถุนายน 2560 จากหนังสือ ชิลิ สวรรค์อยู่ใกล้แค่ใต้ฟ้า อ่านเรื่องเต็มได้ในหนังสือ