ฉันและคนไทยอีกหลายๆคนที่มีเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานต่างชาติมักโดนถามว่า ทำไมคนไทยถึงรักพระเจ้าอยู่หัวมากขนาดนี้
หลายคนคงเจอสถานการณ์เหมือนฉัน ที่ได้แต่พร่ำสาธยายไปยาวยืด แต่พูดจนจบแล้วก็ยังค้างๆคาๆใจว่าให้คำตอบได้ไม่ดีพอเท่าที่ใจอยาก จนกระทั่งมีเพลง”พระราชาผู้ทรงธรรม”ออกมา ที่ร้องว่า “ถ้ามีใครถามทำไมคนไทยถึงรักพระองค์อย่างนี้ แค่ได้ชมพระบารมีก็ยิ้มทั้งน้ำตา ถ้าหากให้อธิบายเหตุผลนานา คงต้องใช้เวลาเท่าชีวิตนี้” ฉันถึงกับร้องว่า ใช่เลย! เพราะมันอธิบายตอบได้ไม่จบในเวลานิดเดียว ทรงครองราชย์มาเกือบ70 ปี ทุ่มเททำเพื่อประเทศชาติและพวกเรามาตลอด พวกเราคงต้องใช้เวลาเท่ากันคือทั้งชีวิต 70 ปี พูดไปนั่นแหละจึงจะครบถ้วนชัดเจนถึงทุกสิ่งทุกอันที่ทรงทำเพื่อเราจริงๆ
ทีหลังเวลาเจอคำถามแบบนี้อีก ฉันก็เลยตอบไปตามเพลง ว่าต้องใช้เวลาทั้งชีวิตสาธยายน่ะจึงจะตอบจบ เข้าใจไหม เท่านั้นแหละ ฝรั่งเก็ทเลย
วันนี้ฉันมีโอกาสดีได้ทำสิ่งที่เป็นมงคลทึ่สุดอันหนึ่งของชีวิต คือร่วมเป็นต้นคิดกับคนไทยในยุโรปและเป็นเจ้าภาพจัดงานถวายพระพร 5 ธันวามหาราชแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งาน “King of Hearts ในหลวงในดวงใจ” ที่จะจัดขึ้นวันที่ 6 ธันวาคม 2014 ณ.เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ มันเริ่มขึ้นง่ายๆว่าเราอยู่ไกลบ้านและไม่มีโอกาสใส่เสื้อเหลืองไปถวายพระพรเวลาทรงออกพระสีหบัญชรอย่างคนที่อยู่เมืองไทย และเรายังรู้สึกว่าเราอยากแสดงให้ฝรั่งในยุโรปเห็นว่าเรารักพระเจ้าอยู่หัวมากขนาดไหน เราคนไทยจากหลายๆประเทศในยุโรปจึงคุยกันว่า เรามาใส่เสื้อเหลืองออกไปถวายพระพรให้เหลืองอร่ามและจุดเทียนให้สว่างไสวไปทั้งยุโรปกันเถอะ มันเกิดจากความต้องการแค่ที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์เท่านั้นจริงๆ จากนั้นเรามาคุยกันว่าจะไปจัดที่ไหนดี สุดท้ายทุกคนเห็นพ้องว่าควรต้องเป็นโลซานน์ เพราะนอกจากสวิตเซอร์แลนด์จะอยู่ใจกลางยุโรป ทุกคนมาง่าย เหนืออื่นใด โลซานน์คือเมืองที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษาและศึกษาเล่าเรียน เหตุการณ์ในครั้งทรงพระเยาว์เกิดที่นี่ทั้งนั้น โลซานน์คือบ้านเก่าของพระองค์ท่าน เราคิดเอาเองว่าพระองค์คงจะมีความทรงจำดีๆในพระทัยมากมายที่นี่ หากเราไปใส่เสื้อเหลืองตรงสถานที่อันเป็นที่รักของพระองค์ คงจะทรงดีพระทัยไม่น้อยหากได้ทอดพระเนตร เราแค่อยากทำให้พ่อมีความสุข…
เมื่อสรุปแนวคิดของงานได้ดังนี้ ฉันจึงเริ่มศึกษาข้อมูลต่างๆสมัยทรงเคยประทับที่โลซานน์ ฉันได้พบและพูดคุยกับคุณ Lysandre C. Seraidaris ผู้เขียนหนังสือ King Bhumibol and the Thai Royal Family in Lausanne ท่านเป็นบุตรชายของ Mr. Cleon C. Seraidaris ผู้ถวายงานในฐานะ “พระอาจารย์” ส่วนตัวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองรัชกาลสมัยประทับที่โลซานน์ คุณเซไรดาริสได้เซ็นต์และมอบหนังสือให้แก่ฉัน พร้อมเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง ฉันอ่านหนังสือสี่ร้อยกว่าหน้าจบในวันครึ่ง ได้รู้และเข้าใจอะไรขึ้นมากมายเกี่ยวกับพระองค์ท่านในวัยเยาว์ เราคนไทยทุกคนรู้ดีว่าทรงเจริญพระชนมพรรษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรารู้จักวิลล่าวัฒนา แต่เราแทบไม่เคยรู้รายละเอียดเล็กน้อยในมุมส่วนพระองค์เลยว่าทรงใช้ชีวิตอย่างไรสมัยประทับที่นี่ สิ่งที่สะกิดใจฉันมากที่สุดหลังจากศึกษาข้อมูลต่างๆในครั้งนี้จนต้องตัดสินใจเขียนบันทึกไว้ก็คือการที่ค้บพบว่า “สวิตเซอร์แลนด์” ประเทศที่ฉันอาศัยอยู่ในเวลานี้ มีอิทธิพลอย่างไรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง
ฉันย้ายมาอยู่สวิตเซอร์แลนด์ได้ไม่ถึงสองปีดี เริ่มเข้าใจความเป็น“สวิส”หลายๆอย่างๆ ฉันมีความสนใจเป็นพิเศษเรื่องจิตวิทยาและวัฒนธรรมของแต่ละสังคม จึงอดไม่ได้ที่จะตีโจทย์ถอดรหัสความเป็น“สวิส”อย่างลึกลงไปมากกว่าแค่รับรู้และเข้าใจ ฉันพบว่าคนสวิสนั้นถ่อมตัวและชอบอยู่อย่างเรียบง่ายเป็นที่สุด ใครๆก็รู้ดีว่าคนสวิสนั้นรวยกว่าคนยุโรปชาติอื่นๆ เงินเดือนและสวัสดิการต่างๆดีกว่าเพื่อนบ้านมาก แต่ฉันไม่ค่อยได้เห็นคนสวิสแต่งตัวหรือใช้ของฟู่ฟ่าโอ้อวด เขาชอบของดีมีคุณภาพ หากจะใช้ของแพงก็ซื้อเพราะคุณภาพไม่ใช่ยี่ห้อ เดินๆไปเราจะมองไม่ออกเลยว่าคนสวิสคนไหนมีฐานะยากดีมีจนต่างกันอย่างไร เขาเรียบๆเหมือนๆกัน การเลือกของก็ชอบอันที่ใช้งานได้ดีมากกว่ารูปสวยอย่างเดียว คุณลักษณะอันนี้ทำให้ฉันนึกไปถึงเรื่องที่ได้ยินมาเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า ทรงโปรดให้ตัดป้ายยี่ห้อตรงคอเสื้อทิ้ง เพราะมันระคายพระฉวี ภูษาพระองค์จึงไม่มียี่ห้อสักตัว อันนี้เหมือนคนสวิสเลยที่ไม่บ้าอวดยี่ห้อกัน
คนสวิสถือว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน จึงปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนๆกัน และคิดว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีที่ควรต้องรักษาไว้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงคาดหวังว่าคนอื่นก็จะปฏิบัติต่อตัวเองอย่างเสมอภาคและเคารพสิทธิ์เขาเช่นเดียวกันด้วย คนสวิสใช้ชีวิตอย่างถูกกฎกติกามารยาท หากใครไม่ทำตามกฎเขาจะโกรธมาก คนสวิสจึงมีวินัยในตัวเองสูงในการปฏิบัติตนต่อผู้อื่น อันนี้ก็ทำให้ฉันนึกถึงพระราชดำรัสในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 พรรษา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2547 ทรงพูดถึงคุณธรรม 4 ประการ โดยข้อที่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติตัวในระเบียบแบบแผนคือ ข้อ 3 และ 4
“ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน
ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิดความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล หากความคิด จิตใจ และการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกันในทางที่ดีที่เจริญนี้ ยังมีพร้อมมูลอยู่ในกายในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่าประเทศชาติไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้…”
เรื่องนี้รวมไปถึงเรื่องความซื่อสัตย์ในการรักษากฎด้วยวินัยในตัวโดยไม่ต้องมีใครเห็น ฉันนึกถึงเรื่องการแข่งขันเรือใบที่ได้ยินมา ว่าทรงเรือออกจากฝั่งไปได้นิดเดียวก็ทรงแล่นกลับ เพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งนับว่าฟาวล์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น หากไม่ทรงบอกก็ไม่มีใครทราบ แต่ก็ทรงทำตามกติกาทุกอย่างด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อให้การแข่งนั้นยุติธรรม อันนี้ตรงกับคนสวิสมากๆเลยที่ว่าไม่ต้องห่วงเลยว่าเขาจะแอบโกงเรา หรือแซงคิว หรือใครจะมาหยิบของๆเราที่วางไว้ไป เพราะเขาไม่ทำแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นก็ตาม
พ่อหลวงของเราทรงสอนให้เราปฏิบัติตนอยู่ในกฎกติกา ซื่อสัตย์ และรักษาหน้าที่ของตัวเพื่อให้สังคมรวมเจริญไปในทิศทางเดียวกันอย่างที่คนสวิสประพฤติโดยไม่ต้องคิดจริงๆ
คนสวิสนั้นถึงแม้เขาจะร่ำรวยแต่เขาก็ไม่ผลาญทรัพยากรโดยไม่จำเป็น เขารักธรรมชาติและรู้คุณค่าของทรัพยากร เรื่องความประหยัดและรู้คุณค่าทรัพยากร นี้เราทุกคนคงรู้เรื่องหลอดยาสีฟันของในหลวงกันดี ที่ทรงใช้ด้ามแปรงสีฟันรีดและกดตรงคอหลอดเพื่อบีบยาสีฟันใช้อย่างเกลี้ยงไม่เหลือทิ้งเลย และยังเรื่องอื่นๆอีกเช่น ทรงเบิกดินสอเพียง12 แท่งในหนึ่งปี ใช้เดือนละแท่ง และทรงใช้จนกระทั่งดินสอนั้นกุดจึงเปลี่ยน
ฉันมองว่าการที่คนสวิสเขาไม่นิยมฟุ้งเฟ้อแม้เขาจะทำได้ก็เพราะเขารู้จักคำว่าพอและพอดี ไม่โลภมาก เมื่อมีความพอใจพอสมควรแล้วก็หยุด ไม่จำเป็นต้องกอบโกยให้มากเกินที่ต้องการ อันนี้ฉันว่าคือว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ที่พวกเรารู้กันดีตรงๆเลย ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากเรื่องนี้ แต่ขออัญเชิญพระดำรัสมาเตือนใจตนเองอีกครั้งว่าพระองค์ทรงตรัสว่า “…คือคำว่าพอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด-อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ-มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง…”
นอกจากปรัชญาและคุณธรรมแล้ว ฉันยังเห็นว่าในหลวงทรงรับอิทธิพลสวิสเรื่องรสนิยมไปอีกเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านดนตรี กีฬา ศิลปะ จริงอยู่ที่ทรงเป็นอัจฉริยะด้วยพระองค์เอง แต่เมื่อได้มาอยู่ที่นี่ฉันจึงเห็นว่าแม้สวิตเซอร์แลนด์จะมีพลเมืองไม่มากและเป็นประเทศเล็ก แต่ทุกเดือนหรือทุกสัปดาห์ก็ว่าได้ จะต้องมีคอนเสิร์ตดีๆ ไม่ว่าจะเป็นแจซ คลาสสิก ป๊อป อินดี้ อะไรก็ตามจากทั่วโบกมาเล่น ซูริคมีประชากรไม่ถึง 2 ล้านคนแต่มีพิพิธภัณฑ์เกิน 50 และยังแกลเลอรี่อีกเกินร้อย ซึ่งมีการนำเอางานศิลป์ดังๆจากทั่วโลกหมุนเวียนมาให้ชม กีฬาและการออกกำลังก็เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันจริงๆ โดยเฉพาะกีฬาที่อยู่กับธรรมชาติเช่นเดินเขา เรือใบ สกี ฉันจึงเข้าใจแล้วว่าการที่พระเจ้าอยู่หัวของเรามีความสนใจเรื่องศิลปะวัฒนธรรมและกีฬาไปทุกแขนง ก็เป็นเพราะทรงเจริญพระชนม์พรรษาขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของประเทศที่เอื้อเรื่องการเสพย์ศิลปะวัฒนธรรมชั้นดีนั่นเอง
ฉันเพิ่งได้ตระหนักและทึ่งว่า สวิตเซอร์แลนด์มิได้เป็นเพียงแค่ที่พักพิงต่อกษัตริย์อันเป็นที่รักของเราเท่านั้น แต่ยังได้มีอิทธิพลต่อความนึกคิดและพระปรีชาของพระองค์อย่างมาก ฉันจึงซึ้งใจและรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาพำนักอาศัยอยู่ในประเทศที่มีความสำคัญต่อประเทศไทยเช่นนี้ งานในหลวงในดวงใจที่ฉันมีส่วนร่วมเล็กๆในการจัดครั้งนี้ฉันจะทำให้ดีที่สุด เพื่อพ่อหลวงของเรา หากจะทรงรับรู้ถึงงานนี้ ฉันคิดเอาเองว่าคงจะทรงดีพระทัยที่ได้เห็นความจงรักภักดีต่อพระองค์ที่มีท้วมท้น ณ.สถานที่ที่เคยเป็นบ้านครั้งพระเยาว์ที่สวิตเซอร์แลนด์