เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาขับรถไปเที่ยวประเทศซอยข้างๆคือออสเตรียมา สองวันสั้นๆจากซูริค สบายๆวันหยุดค่ะ
Hallstatt
เล่าเมืองแรกให้ฟังก่อนคือ Hallstatt เป็นหมู่บ้านจิ๋วริมทะเลสาบ บ้านแต่ละหลังสร้างอยู่บนหน้าผา ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขา Dachstein ซึ่งได้รับเลือกเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์กร UNESCO มีหลักฐานขุดค้นพบว่าภูเขาบริเวณนี้ได้ถูกมนุษย์เข้ามาทำเหมืองเกลือนำไปใช้นับเป็น 1000 ปีก่อนประวัติศาสตร์ สมัยก่อนจะมาได้ก็ต้องล่องเรือมาทางทะเลสาบเท่านั้น ส่วนสมัยนี้หากขับรถมาจะต้องแล่นเข้าอุโมงค์ยาวลอดใต้ภูเขาแล้วจึงมาโผล่ที่หมู่บ้าน Hallstatt ติดอันดับหมู่บ้านเล็กน่ารักของออสเตรียที่ต้องมาเยือน ดังนั้นแม้จะมีขนาดเล็กนิดเดียวจึงแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจีนเดินกันเต็มไปหมด ทุกคนรอถ่ายรูปกับมุมเด็ดกัน
สำหรับเที่ยวเหนือฟ้าเมื่อได้รูปสวยงามตามช็อตแบ่งกับนักท่องเที่ยวอื่นแล้วจึงต้องขอเสาะแสวงหาชมหมู่บ้านในมุมที่แตกต่าง ได้เดินขึ้นไปชมโบสถ์ที่อยู่ด้านบนของหมู่บ้านมีสุสานเล็กๆสวยงาม และมีห้องที่เก็บกระดูกและหัวกะโหลกที่โด่งดังของหมู่บ้าน เรื่องมีอยู่ว่าที่ดินของหมู่บ้านนี้มีจำกัดเนื่องจากว่าทั้งหมู่บ้านสร้างเกาะห้อยอยู่บนหน้าผา นานไปที่จะฝังศพก็เต็มจึงต้องขุดหลุมเก้าล้างป่าช้าแล้วเอากระดูกกับหัวกะโหลกเก่าเก่ามาทำความสะอาดตากแสงแดดแสงจันทร์จนขาวสวยงามแล้วให้ศิลปินมาวาดรูปดอกไม้บนกะโหลกและเขียนชื่อเจ้าของเหล่านั้นแล้วนำมาเก็บรวมกันในห้องนี้ ปัจจุบันเลิกการนำหัวกระโหลกและกระดูกใหม่ใหม่เข้ามาเก็บไว้ในห้องนี้แล้วยกเว้นแต่ว่าหากจะมีผู้ใดระบุไว้เป็นพิเศษในพินัยกรรม
จากนั้นเราก็มองเสาะหาทางเดินสำรวจหมู่บ้านที่ไม่มีนักท่องเที่ยวอื่น เดินไล่ไต่ไปขึ้นไปบนทางเดินเล็กๆเลาะหน้าผาสูงขึ้นไประหว่างบ้านเรือนคน ยิ่งสูงยิ่งเห็นวิวทะเลสาบชัดแปลกไปและได้เห็นบ้านเรือนของชาวบ้านที่อยู่กันจริงๆ ได้ทั้งออกกำลังกายและได้เห็นมุมสวยงามของทะเลสาบ Hallstätter โดยที่ไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นเลยค่ะ ใครไปเที่ยวที่นี่และอยากสัมผัสมุมที่ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวอื่น แนะนำให้เดินไต่ขึ้นไปแบบนี้เลย คุ้มมากๆ
แต่การมาเยือน Hallstatt ก็ทำให้เห็นและคิดถึงปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่งที่กวนใจนักท่องเที่ยวอย่างฉันมาตลอด ปัญหานั้นก็คือทำอย่างไรที่เราจะเข้าไปเจาะลึกท่องเที่ยวชมบรรยากาศความเป็นอยู่แท้ๆของชาวบ้านได้โดยที่ไม่ทำลายและทำร้ายบรรยากาศดังเดิมนั้นไม่ว่าจะด้วยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
ใครที่ไปเที่ยวเมือง Hallstatt ทุกคนตอนนี้คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน จริงๆอันนี้ก็จริงอยู่ในทุกหลายหลายเมืองจนไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกแล้ว แต่ที่สะดุดตามากจนต้องเก็บมาคิดก็คือบรรดาป้ายที่เต็มไปทั้งเมืองและมีกำกับเป็นภาษาจีนด้วยว่า ห้ามเสียงดังบ้าง ห้ามรบกวนและควรเคารพเจ้าของบ้านที่ยังอาศัยอยู่ในเมืองบ้าง ห้ามวางกระเป๋าขวางหน้าประตูบ้านบ้าง และที่เห็นเยอะมากก็คือห้ามใช้ Drone ซึ่งเป็นปัญหาใหม่แต่ก็น่าแปลกใจว่ามันมากมายจนกระทั่งชาวบ้านต้องปิดป้ายห้ามแล้วหรือ เคยคิดอยากจะซื้อโดรนมาถ่ายรูปท่องเที่ยวบ้างจะได้มีมุมสวยสวยแต่ก็ยังไม่แน่ใจเรื่องผลกระทบต่อคนอื่นจึงยังไม่ได้ทำเสียที ตอนนี้คงไม่กล้าซื้อแล้ว
และก็กลับมาปัญหาโลกแตกเดิมที่ว่า ทำอย่างไรเราจะเที่ยวได้โดยที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้คนในท้องถิ่น ทำอย่างไรที่เราจะเที่ยวได้โดยที่เป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและประสบการณ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ของทั้งสองฝ่าย ทำอย่างไรที่เราจะเก็บบรรยากาศน่ารักดั้งเดิมของแต่ละท้องถิ่นนั้นได้โดยที่การไปเยือนของเราไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นให้ความสวยงามนั้นหมดไป สำหรับตัวเองแล้ว เท่าที่ทำได้ดีที่สุดก็คือไม่ก่อให้เกิดมลภาวะด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดเสียงดัง ถ่ายรูปชาวบ้านโดยไม่ขออนุญาตก่อน หรือสนับสนุนการค้าที่ไม่น่ารัก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องปวดหัวใจทุกครั้งที่ต้องคิดว่าอะไรคือจุดสมดุลย์ระหว่างการพัฒนาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของการนำนักท่องเที่ยวเข้าไปในท้องถิ่น และการที่จะทำให้ความเจริญและเม็ดเงินทำให้ท้องถิ่นเปลี่ยนไป
กลับจากเรื่องเครียดมาเรื่องเที่ยวต่อ
Salzburg เมืองแห่งดนตรี บ้านของ Mozart และ The Sound of Music
ตั้งใจว่าจะโฉบผ่านไปเมือง Salzburg เที่ยวเล่นๆแบบไม่มีโปรแกรม ปรากฏว่าถึงเมืองตอนบ่าย 4 โมงเย็น เดินเข้าไปกลายเป็นว่าทั้งเมืองกำลังฉลอง Octoberfest กันอย่างครึกครื้นมีการออกร้านตั้งโต๊ะดื่มเบียร์มีเครื่องเล่น ทั้งผู้หญิงผู้ชายใส่ชุดแบบบาวาเรียเดินกันทั้งเมือง ได้การเลยทีนี้ ได้เที่ยวทั้งชมเมืองและร่วมฉลองเทศกาลดื่มเบียร์ไปด้วยในตัว
จริงๆเมืองนี้มีอะไรให้เที่ยวชมมากมายทั้งพิพิธภัณฑ์และโบสถ์ต่างๆ แต่อย่างที่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปเที่ยวอะไรมากและไปถึงก็เย็นแล้วจึงได้เพียงแค่ไปชมสองที่ ที่แรกคือเดินเข้าไปในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์
และเดินไต่ขึ้นไปชม catacomb ที่เก็บศพเก่าที่เจาะฝังอยู่ในเขา น่าสนใจมาก
เสร็จแล้วเดินขึ้นไปบนป้อมปราการ Festung Hohensalzburg ซึ่งอยู่ด้านบนสูง จริงๆสามารถนั่งรถ funicular ขึ้นไปได้คนละ 12 ยูโรแต่เราเป็นพวกนิยมชอบเดินออกกำลังและได้สำรวจสิ่งต่างๆข้างเส้นทางไปด้วยจึงเดินขึ้น ถ้าใครไม่ค่อยฟิตก็คงจะเหนื่อยอยู่เพราะทางค่อนข้างชันแต่ว่าสำหรับเราสบายๆค่ะแป๊บเดียวก็ถึง ด้านบนมีห้องหับและส่วนต่างๆในป้อมให้ชมมากมาย แต่ที่เด็ดคือจุดชมวิวที่ระเบียงด้านหน้ามองลงมาเห็นวิวทั้งเมืองทั้งทางด้านเมืองเก่าสายแม่น้ำที่โค้งคดเคี้ยวและอีกฝั่งหนึ่งของเมืองสวยงามมากๆโดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตก
พอเราชมพิพิธภัณฑ์ข้างบนเสร็จเดินลงมา ก็พอดีกับที่เค้ายิงปืนใหญ่เป็นสลุดยาวนานตอนหนึ่งทุ่มตรงอันนี้ไม่ทราบว่ายิงเป็นประจำหรือเฉพาะช่วงที่ฉลองเทศกาลเบียร์
ทีนี้ก็ลงมาเดินชิมเบียร์ชมบรรยากาศ เบียร์สดของท้องถิ่น Steiger อร่อยมากๆ อันนี้ได้รับการชมและยืนยันจากคนเบลเยียมผู้เชี่ยวชาญเรื่องเบียร์ ส่วนฉันได้ชิมเครื่องดื่มใหม่ที่ชาวเมืองนิยมกันเรียกว่า Sturm เป็นไวน์อายุน้อยเอามาหมักหวานๆซ่าๆอร่อยชื่นใจมากๆ
ตกค่ำไปทานอาหารที่ร้านเก่าแก่ที่สุดของเมือง คือร้านอาหารในโรงแรม Goldener Kirsch ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองและขึ้นชื่อว่าอาหารอร่อยมาก
ต้องบอกว่าอร่อยจริงๆและร้านน่ารักมากด้วย เมนูอาหารไม่ใหญ่เกินไปและมีเมนูพิเศษในช่วงที่เราไปแน่นอนจะต้องเป็นเมนูอาหารสัตว์ป่าซึ่งนิยมกินกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นเนื้อกวางหรือไก่ฟ้าเป็นต้น และนิยมทานคู่กับกะหล่ำปลีแดงดอง เห็ดป่าและเกาลัด ราคาก็ไม่แพงจนเกินไปอันนี้เป็นร้านที่ต้องแนะนำเลย
ว่าด้วยเรื่องอาหารการกินของออสเตรีย
ส่วนอาหารอื่นๆของออสเตรียที่ใครใครก็ต้องรู้จักก็คือ Wiener Schnitzel เนื้อลูกวัวหั่นบางๆชุบเกล็ดขนมปังทอด บีบมะนาวทานกับมันฝรั่ง อีกอย่างที่เป็นที่นิยมก็คือ Knödel ซึ่งเป็นขนมปังหรือแป้งปั้นเป็นก้อนกลมยักษ์เอาไปต้มแล้วกินแกล้มกับอาหารหรืออาจจะเอาไปใส่ซุปก็ได้
ออสเตรียมีทะเลสาบอยู่เยอะดังนั้นในเมืองหลายแห่งก็มักจะมีปลาเทร้าท์หรือว่าพันธุ์ผสมระหว่างเทร้าท์กับซาลมอน ทอดขายทานกับสลัด อาหารออสเตรียคล้ายกับอาหารเยอรมันแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว และก็นิยมดื่มเบียร์มากไม่แพ้กันเลย
ความน่ารักระหว่างทางในออสเตรีย
จากเส้นทางระหว่างเมือง Salzburg ไป Hallstatt เราเลือกขับเส้นทางที่เลียบผ่านทะเลสาบหลายแห่งเช่น Mondsee มีอะไรน่ารักหลายอย่างเช่นอยู่ดีดีก็เจอทะเลสาบเล็กๆอยู่ท่ามกลางภูเขา สวยเสียจนต้องขอจอดรถเดินลงไปชม ปรากฏว่ามีป้ายปักเอาไว้ว่าเป็นทะเลสาบส่วนตัวแต่เราสามารถไปเดินในสนามหญ้าชมได้ แต่ถ้าว่ายน้ำแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาเจ้าของไม่รับผิดชอบนะคะ
ตรงริมทะเลสาบมีคุณลุงเปิดเพิ่งขายปลาเทร้าท์และซาลมอนรมควัน จะซื้อกลับบ้านก็ได้หรือซื้อแล้วนั่งที่โต๊ะบนสนามหญ้าทานเล่นจิบพร้อมแชมเปญที่คุณลุงมีขายก็ได้เหมือนกัน ฟ้าซื้อปลาลูกผสมระหว่างเทร้าท์กับซาลมอนมา ตัวขนาดกลางรมควันชั่งน้ำหนักขายตกตัวละ 5 ยูโรกว่าๆ
นอกจากวิวสองข้างทางจะเต็มไปด้วยทั้งภูเขาสูงตระหง่านและทะเลสาบขนาบ ถนนเล็กๆคดเคี้ยวขับรถเปิดประทุนอยากได้อารมณ์และชื่นใจที่ 15 องศาเซลเซียสแล้ว ยังมีเมืองเล็กๆให้แวะหลายเมืองเช่น St. Gilgen ถึงแม้จะขนาดเล็กมากก็มีสถาปัตยกรรมสีสันสวยงามและน่ารักน่าถ่ายรูปทุกมุมไม่แปลกใจที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจีนเดินถ่ายรูปกันเต็ม แต่ก็แปลกใจอยู่ว่าทัวร์เดี๋ยวนี้เค้าพากรุ๊ปมาลงหมู่บ้านเล็กที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักแบบนี้กันด้วยเหรอ
สุดสัปดาห์สั้นๆที่สองเมืองน่ารักของออสเตรีย เป็นเส้นทางที่น่าขับรถเองสบายๆ วิวสวย อาหารอร่อย ได้ทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรม ถูกใจจริงๆ