เที่ยวยุโรปโดยการขับรถเองนี่นับว่าโรแมนติกมาก และยังสะดวกในการสำรวจเส้นทางสวยๆสายเล็กๆ เลียบทะเลสาบ ไต่ขึ้นยอดเขา อยากหยุดตรงไหนก็หยุดที่เห็นวิวสวย แถมถนนหนทางดี ปลอดภัย แต่ก็มีเรื่องควรรู้ควรระวังสำหรับคนที่ไม่ชินกับการขับรถในยุโรป ไม่ใช่เพราะขับยากหรืออะไร แต่เป็นเรื่องกฎกติกามารยาท เพราะค่าปรับแพงมากจนบางคนกลับบ้านไปแล้วเจอใบสั่งตามมา ต้องร้องไห้โอดเลยว่า ค่าปรับเกือบเท่าค่าตั๋วเครื่องบิน!
เอาเรื่องดีก่อน คือเครื่องหมายจราจรทั้งยุโรปนี้เป็นมาตรฐานเหมือนกันหมด รู้สัญลักษณ์แล้วไปได้หมดทุกประเทศไม่ปวดหัว ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ เพราะเครื่องหมายหลายอย่างเราไม่เคยสังเกตหรือให้ความสำคัญเลยที่บ้านเรา ต้องมาทำความรู้จักและปรับให้ชินกันใหม่ เช่นเครื่องหมายสามเหลี่ยมสีขาวเรียงเป็นแถวบนพื้นถนน อันนี้คือบอกให้หยุดตรงเส้นสามเหลี่ยมขาวนั้นและให้ทางเอกไปก่อน กฎจราจรทั่วไปคือรถทางขวามือจะได้ทางเอก แต่ถ้ามีสามเหลี่ยมขาวนี้ไม่ว่าจะอยู่ทางไหนก็ต้องหยุดเพราะเป็นทางรอง อันนี้บ้านเราไม่เคยใช้กันเลย แต่ในยุโรปถ้าใครฝ่าเส้นออกไปมีโดนฝรั่งโวยแบบแรงแน่ๆ
การเข้าวงเวียนเป็นอีกเรื่องที่คนไทยไม่ชินและทำไม่เป็น อันนี้ไม่ง่ายเพราะถ้าใครทำผิดคนหนึ่งมันจะรวนกันไปทั้งถนน ดังนั้นทุกคนต้องรู้กฎและจังหวะ พอถึงวงเวียนต้องหยุดที่เส้นสามเหลี่ยมขาว พอถนนว่างหรือเห็นว่ารถที่มาทางซ้ายมือ (หรือขวาในกรณีอังกฤษ) จะออกจากวงเวียนที่เรามีจังหวะเข้าไปได้ เราจึงเข้าในวงเวียน ทีนี้ต้องดูดีๆว่าวงเวียนนั้นใหญ่เล็กวุ่นวายประการใด เพราะต้องคอยดูให้อยู่ถูกเลนที่จะเบี่ยงออก จะไปปาดเอาในวงเวียนไม่ได้ พอจะออกก็ต้องยกไฟเลี้ยวขวาล่วงหน้าก่อนออก เพื่อให้รถคันที่ตามมาและรถคันที่รอเข้าวงเวียนรู้ เรื่องวงเวียนนี้ตอนสอบใบขับขี่ที่สวิตฯเป็นเรื่องสำคัญที่เขาจ้องดูมากเลยว่าเราทำถูกหรือไม่
เวลาขับในเมืองหรือหมู่บ้านที่มีตรอกซอกซอยเยอะๆต้องดูดีๆว่าทางไหนแล่นเข้าไปได้หรือไม่ได้ เพราะถนนเล็กๆพวกนี้เป็นวันเวย์เยอะ หรือบางเส้นห้ามรถเข้า ให้เข้าแต่จักรยาน โดยเฉพาะถนนในตัวเมืองเก่ามักเป็นถนนคนเดิน จะให้เข้าได้เฉพาะรถแท็กซี่หรือรถคนที่อยู่ในนั้นและมีใบอนุญาต อย่าเผลอขับเข้าไป
การเปิดไฟหน้ารถตอนกลางวันเป็นกฎที่ต้องทำ เพราะอุโมงค์เยอะ และถ้าอากาศมืดสลัวหิมะตกก็ต้องเปิด คนไทยเวลาเห็นใครเปิดไฟหน้าตอนกลางวันชอบเตือนให้ปิด แต่ที่ยุโรปนี้ไม่ได้ ถ้าไม่เปิดโดนตำรวจเรียกปรับแน่ ถ้ารถที่ขับตั้งอัตโนมัตให้ไฟติดเองเวลามืดได้ก็สะดวกหน่อย แต่ถ้ารถไม่มีโปรแกรมให้ตั้งก็ต้องคอยระวังว่าไม่ลืม
ความเร็วที่จำกัดในแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน ในสวิตฯนั้นในเมืองจำกัดที่ 50 กม.ต่อชม. บนไฮเวย์จะเป็น 100 และสูงสุดที่ 120 ซึ่งบางทีจะไม่มีป้ายบอกว่าแล่น 120 ได้แล้ว แต่จะมีป้ายวงกลมขาวและมีเส้นดำคาดเฉียงแทน แปลว่าที่จำกัดไว้เมื่อกี้ที่ 100 หรือ 80 นั้นตอนนี้ไม่จำกัดแล้ว ดังนั้นแล่นเร็วขึ้นได้เลย แต่เนื่องจากความเร็วสูงสุดที่สวิตฯอนุญาตคือ 120 จึงแปลว่าความเร็วจำกัดอยู่ที่ 120 นั่นเอง ในฝรั่งเศสและอิตาลีให้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 130 ดังนั้นป้ายนั้นก็จะแปลว่ายกเลิกจำกัดความเร็วเก่าและให้ขึ้นได้ถึง 130 นั่นเอง
ความเร็วนั้นถ้าเกินจะโดนปรับเพิ่มแบบรุนแรงตามระดับที่เกิน ถ้าเกินกว่าที่จำกัดไป 20 กม.ต่อชม.นี่เจอหนักแล้ว อันนี้หมายรวมหมดทั้งความเร็วไม่ว่าจะต่ำหรือสูง เช่นถ้าในเมืองจำกัดที่ 30 แต่เราไปแล่น 50 ก็โดนอย่างหนักเช่นกันกับขับ 100 ที่จำกัด 80 การจับความเร็วที่สวิตฯใช้กล้องถ่ายรูปจับ ซ่อนเก่งมากและหาที่ตั้งกล้องได้แสบมากๆด้วย เพราะจะอยู่ในจุดที่คนชอบเร่งความเร็ว หรือเลี่ยงไม่ได้ เช่นจุดลงเนิน ดังนั้นตั้ง cruise control ปลอดภัยที่สุด มีรถที่บ้านคันหนึ่งตั้งล็อคจำกัดความเร็วได้ จะเร่งอย่างไรก็ไม่ขึ้นเกินความเร็วที่ตั้งไว้ อันนั้นปลอดภัยหน่อย ประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีใช้ทั้งกล้องและเรดาห์ บางทีก็มีตำรวจซุ่ม แต่ที่สวิตฯไม่มี สำหรับเยอรมันที่หลายคนหมายมั่นปั้นมือว่าจะมาขับออโต้บาห์นเหยียบให้มิดเพราะไม่จำกัดความเร็วนั้น บอกเลยสนุกมาก และฝรั่งขับกันเร็วจริง ประมาณว่าเราเหยียบที่ 160 นี่ถูกแซงไปวิ้วๆตลอดค่ะ แต่…ระวังให้ดีเพราะความเร็วที่ว่าไม่จำกัดนั้นใช่ทุกเส้นถนนและทุกช่วงถนน บางช่วงที่เข้าเขตเมืองใหญ่ หรือมีถนนเชื่อมกันวุ่นวาย หรือมีเหตุอะไรบางอย่าง ก็สามารถมีการกำหนดความเร็วสูงสุดได้เช่นกัน ดังนั้นอย่าเหยียบเพลิน คอยดูป้ายด้วยค่ะ
เรื่องความเร็วเป็นเรื่องที่หลายคนกลัวเพราะค่าปรับแพง แต่ที่แพงกว่าคือขับฝ่าไฟแดง อันนี้แพงจริงๆ ดังนั้นจะรีบร้อนอย่างไรก็ห้ามเผลอตัวเหยียบคันเร่งเวลาเห็นไฟเหลืองเด็ดขาด! เคยเจอไปแล้ว ฝ่าไปแค่ 0.8 วินาทีเจอไปเกือบหมื่นบาทค่ะ
ทีนี้มาเรื่องการจอด ส่วนตัวแล้วนี่คือเรื่องน่ากังวลยิ่งกว่าการขับเสียอีก เพราะค่าจอดแพงและมักจะจำกัดเวลาจอดแค่ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างมาก จะคอยกลับมาหยอดเหรียญเพิ่มก็ไม่ได้ ต้องย้ายที่จอด (เคยคุยกับตำรวจ เธอบอกว่าที่ถูกคือคุณจะต้องออกรถไปจากในตัวเมืองเลย แค่ขยับจุดจอดก็ไม่ได้!) ถ้าจะจอดยาวก็ต้องไปจอดในที่จอดรถหรือ Parkhaus ซึ่งราคาแพง อาจจะราคาถึงชั่วโมงละสามร้อยบาท ปกติถ้าจะเข้าเมืองทำธุระนานๆจะไม่เอารถไป แต่นั่งรถไฟรถเมล์แทน สะดวกและตรงเวลาที่สุด ทีนี้การขับรถเที่ยวเองจึงต้องเผื่อเวลาและงบประมาณในการจอดรถไว้ด้วย ส่วนมากเวลาระหว่างหนึ่งทุ่ม (หรือบางที่ก็ 2 หรือ 4 ทุ่มแล้วแต่เขต) ถึงแปดโมงเช้าจะจอดได้ฟรี ดังนั้นจอดค้างคืนตอนพักนอนได้ ในสวิตฯปลอดภัยจอดรถริมถนนข้ามคืนได้ไม่มีปัญหา แต่อิตาลีหรือฝรั่งเศสนี่ไม่แนะนำ บางทีที่อิตาลีไปจอดในลานค้างคืนไว้ จ่ายค่าจอดถูกต้อง แต่มีมาเฟียคุม ก็ต้องคุยดีๆแล้วตกลงค่าจ้างให้ดูแลรถด้วย เหมือนบ้านเราเลย ไม่อย่างนั้นไม่แน่ตื่นเช้ามารถอาจโดนอะไรสักอย่าง
ส่วนที่ที่จอดได้นั้นต้องดูว่าเส้นถนนทาสีฟ้าหรือขาวเท่านั้น สีฟ้าจอดฟรี แต่ต้องวางป้ายวงกลมสีฟ้าไว้หลังกระจกรถรถบอกว่าเราจอดตั้งแต่เวลาไหน เวลาที่อนุญาตให้จอดคือมากสุด 2 ชั่วโมง (มีรายละเอียดปลีกย่อยอีก ขอละไว้เบื้องต้น) ถ้าสีขาวต้องดูว่าจ่ายเงินอย่างไร แต่ละเครื่องแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน บางทีจ่ายแล้วต้องใบเสร็จที่เครื่องออกให้และมีเวลาที่แสตมป์เอาไว้มาวางหน้ารถ แต่บางทีก็ไม่ต้องเพราะจะแสดงที่มิเตอร์จอดเลย ส่วนถ้าพื้นทาสีเหลืองห้ามจอดเด็ดขาดเพราะเป็นที่จอดส่วนบุคคลหรือสำหรับคนพิการ ถ้าไปจอดอาจโดนยกได้หรือเจอค่าปรับแพงๆ
สุดท้ายเรื่องค่าไฮเวย์ อังกฤษแทบไม่มีต้องจ่ายค่าใช้ทางเลย หลายประเทศในสแกนดิเนเวียเช่นเดนมาร์ค ไอซ์แลนด์ก็เช่นกัน มีเฉพาะไม่กี่สายที่ต้องจ่าย ที่สวิตฯก็ไม่ต้องจ่าย ถนนดีมากแต่ไม่เก็บเงินจุกจิกกวนใจ รถทุกคันซื้อสติกเกอร์ติดหน้ากระจกปีละครั้งพอ ราคาประมาณ 1,300 บาทใช้ได้หนึ่งปี ถ้าเช่ารถบริษัทรถควรมีติดรถไว้ให้แล้ว เยอรมันไม่ต้องจ่าย สำหรับออสเตรียและเชคพับลิกต้องซื้อ Vignette หรือสติกเกอร์ติดเช่นกัน (มีแบบ 10 วันขายสำหรับรถนักท่องเที่ยว) สโลวีเนียก็ต้องใช้สติกเกอร์ อิตาลีฝรั่งเศสและโครเอเชียใช้จ่ายค่าผ่านทางตามด่านเหมือนบ้านเรา ซึ่งน่ารำคาญเล็กน้อยเพราะราคาไม่แน่นอน แล้วแต่ระยะทาง และบางด่านแค่หยิบตั๋วเฉยๆ ไปจ่ายตอนขาออก บางด่านต้องจ่ายเลย แล้วต้องคอยดูเข้าช่องให้ถูก ที่สะดวกสุดคือเล็งเข้าช่องที่มีรูปเครดิตการ์ด พอเข้าไปถ้ามีตั๋วอยู่ที่ช่องก็ดึงออกมา ที่กั้นเปิดก็ขับผ่านไปได้ แต่ถ้ามีช่องให้จ่ายเงินก็เสียบบัตรเครดิตเข้าไปเลย พอดึงบัตรออกที่กั้นจะเปิด บางทีไม่มีใบเสร็จให้ก็ต้องคอยจำเอาเอง และค่าไฮเวย์ที่ฝรั่งเศสนี้แพงจริงๆ น่าจะแพงที่สุดแล้ว ขับแล้วห้ามหลงเด็ดขาดไม่อย่างนั้นต้องออกไปกลับรถจ่ายเงินแล้วกลับขึ้นมารับตั๋วอีกรอบ เส้นทางที่หลงไปเป็นเงินเยอะอยู่
เกร็ดเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติมก็คือ รถในยุโรปยังมีนิยมใช้เกียร์แมนวลกันอยู่มาก ซึ่งคนไทยเราชินกับเกียร์ออโต้แทบจะทั้งนั้นมานาน เวลาไปเช่ารถอยากแนะนำให้จ่ายแพงหน่อยเลือกเอาเกียร์ออโต้ที่เคยชินดีกว่า เพราะต้องปรับมาขับฝั่งซ้ายด้วย ปรับหลายอย่างจะงงเกิน และถนนหนทางที่ขึ้นๆลงๆเนินอาจจะไม่ถนัดเวลาติดไฟแดงบนเนิน
การขับรถในประเทศที่ไม่คุ้นเคยต้องใช้เวลาปรับตัว เพราะมันจะมีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของเขา อันนี้อธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่าแต่ละที่พอขับไปเราจะจับทางได้ ว่าจังหวะไหนต้องเข้าเลนไหนอย่างไร เช่นที่สวิตฯนี้อย่ามาเปลี่ยนเลนกระชั้น หรือพยายามเปลี่ยนเลนเข้าไปเลนเลี้ยวตรงจุดที่ใกล้จะเลี้ยวแล้ว เพราะคนเขารู้ตัวกันว่าจะต้องเข้าเลนไหนกันตั้งแต่โน่น 2 กิโลที่แล้วโน่นค่ะ มาเบี่ยงเข้าใกล้ๆเขาไม่ยอมและว่าเอาด้วยว่าไม่รู้จักสังเกตป้าย
ขับในเมืองยิ่งปวดหัวตรงที่ถนนบางเส้นแล่นร่วมกับรถรางรถเมล์ ต้องคอยดูว่าจังหวะไหนให้แล่นด้วยกัน จังหวะไหนแล่นแยก เผลอเข้าเลนผิดไม่ได้ วันเวย์ก็เยอะ วนๆๆกว่าจะถึงที่หมายทั้งๆที่อยู่ใกล้นิดเดียว ที่สวิตฯเขาออกแบบมาให้การขับรถเข้าเมืองเป็นเรื่องยากและแพง กักไฟแดงนานๆไม่ให้เข้าเมืองงี้ แกล้งให้วนอ้อมไกลๆงี้ เพราะเขาสนับสนุนให้คนใช้รถสาธารณะเข้าเมืองเพื่อลดมลภาวะและการจราจร
ขับรถเที่ยวยุโรปยังเป็นเรื่องน่าทำ เป็นทางเลือกท่องเที่ยวที่อิสระและได้เห็นอะไรที่แตกต่าง และบางประเทศกลับเป็นทางเลือกที่ถูกมากๆด้วย เช่นสเปนเพราะค่าเช่ารถถูกมากๆ แต่ก็ต้องศึกษาและระวัง หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เราไม่รู้ไม่เคยทำในบ้านเรา เพราะกฎหมายเราไม่บังคับใช้ คนส่วนมากจึงไปพลาดที่ยุโรป ต้องจ่ายเงินเกือบเท่าค่าเครื่องบิน แต่การได้เรียนรู้จากท้องถนนนี่ล่ะที่เป็นอีกอย่างหนึ่งให้เราได้เข้าใจวัฒนธรรมของเขา ก็แค่คอยระวังค่ะ ไปช้าๆอย่างมีสติ และอย่าลืมทำงบประมาณค่าจอดกับค่าผ่านทางไว้ด้วยนะคะ