จุดหมายไม่แปลกแต่เส้นทางไม่คุ้นเคยได้เริ่มขึ้นแล้ว
กลางเดือนพฤศจิกายน 2017 ต้องบินไปทำงานที่ฮ่องกงโดยบินออกจากซูริค แวะเปลี่ยนเครื่องที่สต็อคโฮม ด้วยสายการบิน SAS จึงเป็นที่มาของจุดหมายไม่แปลกแต่เส้นทางไม่คุ้นเคย แต่ก็นึกสนุกดีที่จะได้ทดสอบเส้นทางใหม่ๆ สนามบินใหม่ๆ และสายการบินที่ไม่ได้บินมานานมากๆแล้ว เลยคิดว่ารีวิวเล็กๆมาเล่าสู่กันฟังดีกว่าเรื่องของเรื่องคือเพิ่งกลับจากกรุงเทพมาซูริคเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนเอง ถ้าเลื่อนตั๋วอยู่กรุงเทพต่อแล้วบินไปฮ่องกงก็จะไม่ต้องบินไปบินมา ไม่สร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้โลกเท่านี้ (เสียใจ) แต่แบบนั้นคือจะเป็นการทิ้งบ้านที่สวิตฯมาเป็นเดือน เป็นเรื่องแน่ๆ เลยต้องหาตั๋วที่ไปกลับฮ่องกงในเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุด ลงเครื่องแล้วทำงานเลย เสร็จปุ๊บแล้วกลับเลย และราคาต้องดี หาตั๋วได้สายการบิน SAS ตอบโจทย์เป๊ะ ราคาใช้ได้ จึงเป็นที่มาของการกลับมาบินสายการบินนี้หลังจากจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายบินเมื่อไหร่ เลยอยากรู้มากว่าจะเป็นอย่างไร
SAS เป็นสายการบินของสแกนดิเนเวีย 3 ประเทศรวมตัวกัน คือ เดนมาร์ค สวีเดน นอร์เวย์ จึงมี Hub อยู่ 3 ที่ๆ Copenhagen Stockholm และ Oslo แต่เส้นทางบินไม่เยอะเท่าไหร่และน่าจะเล็กลงกว่าสมัยก่อน (SAS เคยมาช่วยเซ็ตอัพการบินไทยสมัยก่อตั้ง) ไม่ค่อยเห็นโปรปล่อยออกมาและไม่ค่อยได้ยินว่ามีใครที่รู้จักบินเท่าไรยกเว้นเพื่อนๆที่อยู่สแกนดิเนเวีย คราวนี้ล่ะจะได้รู้กัน
ขาแรกซูริค-สต็อคโฮม ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที เครื่องว่างมากๆ นั่งบิสสิเนสเหมาคนเดียว 3 เก้าอี้เลย ปกติบินในยุโรปก็จะเป็นเครื่องเล็ก เก้าอี้แคบ แต่สำหรับบิสสิเนสเขาจะบล็อคไม่ให้คนนั่งเก้าอี้ตัวกลาง จองที่นั่งเอาไว้แถวแรกเลยเพราะมีเวลาเปลี่ยนเครื่องแค่ 55 นาที แล้วต้องผ่านตรวจคนขาออกที่นี่ด้วย เลยตัองวิ่งทันทีที่ประตูเครื่องเปิด (ไม่ได้ผ่านตรวจพาสปอร์ตขาออกเพราะจากสวิตฯมาสวีเดนเป็นเชงเก้น) จะรีวิวขานี้ว่าดีไหมก็เลยพูดไม่ถูกเพราะไม่มีอะไรให้รีวิวมาก มีแต่อาหาร ซึ่งก็ถูกใจตรงวิธีการแพคมานี่แหละ
เดี๋ยวนี้บินในยุโรปสายการบินไหนๆก็แทบจะเหมือน low-cost airline ไปกันหมดแล้ว เพราะเลือกเก้าอี้ไม่ได้ โหลดกระเป๋าไม่ได้ (ต้องจ่ายเงินเพิ่ม) และไม่มีอาหารเสิร์ฟ บางทีแม้แต่เครื่องดื่มยังต้องจ่าย แต่ไฟลท์นี้แอบเห็นว่าชั้นประหยัดมีเครื่องดื่มบริการฟรีด้วย ส่วนอาหารต้องจ่าย สำหรับชั้นธุรกิจมีอาหารเสิร์ฟ เนื่องจากบินเวลา 11 โมง จึงเสิร์ฟเป็นจานอาหารกลางวันแบบเย็น พออาหารมาวาง ชอบมากๆเลย มาเป็นกล่องสี่เหลี่ยมลูกเต๋า น่ารักจัง กับมัฟฟินร้อนๆอีกกล่อง รีบเปิดสำรวจดูอย่างตื่นเต้น (ไม่ต้องเก็บอาการเพราะไม่มีคนนั่งข้างๆ ฮาๆๆๆ) เพราะเป็นคนชอบแพคเกจจิ้งที่ออกแบบมาอย่างฉลาดๆ ดึงฝาลูกเต๋าออก เจอซองน้ำสลัดกับเม็ดธัญพืชวางลงล็อคเป๊ะบนถาดพลาสติกที่วางอยู่ชั้นบน บนถาดมีกระดาษเขียนอธิบายเมนู เป็นอกไก่ตัวผู้รมควันจาก Bjare (มันอยู่ตรงไหนของขั้วโลกเหรอ) มากับผัก Kale หมักในซอสแครอทและธัญพืชบดคลุกซอสแครอท (หน้าตารสชาติเหมือนคุสคุสมากกว่า) พอดึงถาดออกก็เห็นอาหารจัดอยู่อย่างน่ารักสวยงามในกล่อง แต่เอ ช้อนส้อมอยู่ไหน หรือแอร์ลืมให้ บอกตัวเองว่าไม่น่าจะลืม และการเสิร์ฟแบบนี้เน้นความเร็วจึงน่าจะแพคมาสำเร็จรูป อีกอย่างเรื่องงานดีไซน์นี้คือความเป็นเลิศของสแกนดิเนเวียอยู่แล้ว หาสิหาๆ พลิกๆดู นั่นไง! ใต้ฝาลูกเต๋านั่นเอง มีกระดาษพับเป็นชั้นซ่อนอยู่ เปิดออกก็พบช้อนส้อมเกลือและไม้จิ้มฟันแพคอยู่อย่างดีข้างใน ช้อนส้อมเป็นพลาสติกเล็กๆเบาๆ แต่ดีไซน์สวยได้ใจ อาหารรสชาติทานได้ ไก่ดีเลยทีเดียว แต่ที่บรรยายไว้อย่างหรูว่าหมักซอสอย่างนั้นรมควันกลิ่นหอมอย่างนี้ไม่ได้รสได้กลิ่นเลยค่ะ ผักเคลก็เหมือนดิบๆธรรมดา ธัญพืชก็จืดๆแข็งๆ แต่ไม่เป็นไรยังไม่หิวและจะรอไปทานบนไฟล์ยาว สรุปคืออาหาร เก้าอี้และบริการได้มาตรฐานที่ไม่มีอะไรมากอยู่แล้วสำหรับการบินในยุโรปสั้นๆ และไฟล์ทก็โล่งๆ จึงบอกไม่ได้ว่าดีหรือแย่ แต่ที่แน่ๆคือชอบแพ็คเกจจิ้งและวิธีการคิดเมนูอาหารที่สามารถแพคมาในกล่องลูกเต๋านี้มากๆ
เรื่องสายการบิน สแกนดิเนเวียอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงมากเท่าไร แต่เรื่องงานดีไซน์นี้ ต้องค้อมคารวะให้หลายๆจอก และ SAS ก็โชว์ให้เห็นความเป็นหนึ่งในโลกแล้วแม้แต่กล่องอาหารกระดาษธรรมดาๆสำหรับไฟลท์ยาวจากสตอกโฮล์มมาฮ่องกง พอขึ้นเครื่องมาเห็นที่นั่งก็รีบดีใจเพราะเก้าอี้นั่งใหม่ดูไฮเทคมาก ทีวีจอใหญ่สัมผัสทันสมัย ที่เก็บของเยอะสะดวกสบายเหมาะมือ เก็บของเสร็จนั่งลงใช้งานจริง เอาละทีนี้…เก้าอี้นอกจากจะปรับเอนได้หลายแบบแล้วยังมีปรับระดับความแข็งนิ่มเสียด้วย
แต่…..ปรับยังไงก็ไม่เห็นจะมีความแตกต่างเลย (หรือประสาทสัมผัสเราจะไม่ละเอียดพอ?) และทำไมปรับเท่าไหร่มันก็นั่งไม่สบายทั้งๆที่เก้าอี้ก็ตัวใหญ่ขนาดนั้น
เข็มขัดรัดแปลกกว่าทุกเก้าอี้เครื่องบินที่เคยเห็นมา แลดูไฮเท็คมากเพราะเป็นเข็มขัดนิรภัยสามจุดแบบในรถยนต์แทนที่จะเป็นแบบสองจุดเหมือนสายการบินอื่น
แต่……. มันคาดนอนไม่ได้ค่ะเพราะถ้าคาดแล้วนอนจะเหมือนโดนมัดตราสัง!! จึงจำต้องนอนแบบไม่คาดเข็มขัดด้วยความกังวลว่าเครื่องจะตกหลุมอากาศตอนที่หลับอยู่หรือไม่ โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชุด Amenity kit มาในถุงผ้าสีดำสวย อันนี้ตื่นเต้นอยากเปิดเพราะอยากรู้ว่าจะมีแบรนด์เก๋ๆดีไซน์ดีๆอะไรของสแกนดิเนเวียอยู่ข้างใน อย่างฟินแอร์เป็นของ Merimeko เชียวนะ SAS จะเป็นแบรนด์อะไร
แต่……. เปิดออกมามันมีอยู่แค่นี้อะ ลิปมันกับโลชั่นหลอดจิ๋วของ Ren แปรงสีฟันยาสีฟัน ผ้าปิดตาและที่อุดหู จบ! ทำไมขี้เหนียวจังอ่ะ (แต่สักพักแอร์เดินถือรองเท้าสลิปเปอร์มา ถามว่ารับไหมคะ….ค่ะ)
ที่ตื่นเต้นมากก็ตรงที่ผ้าห่มเครื่องนอนเป็นของยี่ห้อ Hasten หนึ่งในที่นอนยี่ห้อที่แพงที่สุดในโลก และที่สำคัญที่ถูกใจมากคือ นอกจากผ้าห่มและหมอนแล้วเค้ายังให้เบาะปูนอนมาด้วย อันนี้ชอบมากเพราะเคยมีการสำรวจแล้วว่าเก้าอี้ที่นั่งบนเครื่องบินนี้สกปรกที่สุด มีผ้าปูมารองชั้นหนึ่งจึงสบายใจ แต่ก็ไม่เคยเห็นสายการบินอื่นในชั้นธุรกิจมีให้นอกจากบริติชแอร์เวย์ส อันนี้จึงได้ใจไปเต็ม
แต่……. แอร์เค้าไม่ปูเตียงให้ค่ะ ให้ผู้โดยสารปูกันเอาเอง จึงต้องยงโย่ยงหยกทำเตียงกันเองเหมือนนักเรียนประจำ!
ทีนี้อาหาร สจ๊วตเดินเอาเมนูมาแจก เห็นปกแล้วก็สวยจนต้องรีบถ่ายรูป วาดโดยศิลปินญี่ปุ่นที่อยู่ในลอนดอน Natsko Seki อาร์ตได้ใจ แต่สงสัยอยู่ว่าทำไมไม่ใช้ศิลปินสแกนดิเนเวีย เปิดดูเมนู มีคำบรรยายสรรพคุณปรัชญาเรื่องอาหารและความภูมิใจของครัวสแกนดิเนเวียถึงเต็มหนึ่งหน้า รีบเลือกอาหารเอาไว้ในใจรอชิมเลย ทั้งจานแรกจานหลักและของหวานมีให้เลือกชุดละสามถึงสี่อย่าง แถมเครื่องดื่มก็มีแปลกๆน่าชิม และมีค็อกเทลสูตรพิเศษด้วย เอาหละ อย่างน้อยจะได้เอ็นจอยอาหารนอร์ดิคของโปรดแน่ๆ
แต่…… จานแรกที่เรียกว่าคาเวียร์นั้นคือคาเวียร์แดงซึ่งเป็นคาเวียร์ที่ถูกที่สุด ประมาณว่าเรียกว่าไข่ปลาก็ได้มั้ง (จริงๆทานกับครีมชีสและขนมปังกรอบของสแกนที่ให้มาก็นับว่าอร่อยใช้ได้ เพียงแค่คาดหวังสูงไปนิดว่าจะเป็นคาเวียร์เบลูก้า ฮาๆๆ)วิธีการเสิร์ฟเข็นรถมาอย่างโก้ ประหนึ่งเหมือนจะมาปรุงให้จานต่อจาน
แต่….. เขาก็แค่มาตักผักซึ่งมีแค่ rocket กับ radish ใส่ถ้วยให้ แล้วก็บดพริกไทยลงในจานอาหารให้แค่นั้น กิมมิคไปไหมและที่ตกใจคือจานหลัก บรรยายเสียโก้ แก้มหมูตุ๋นกับบลอคโคลี่ แครอท และมันฝรั่ง Daphnoise แต่เสิร์ฟมาโดยทุกอย่างอัดอยู่ในถ้วยๆเดียว (เหมือนสายการบินประจำชาติบางแห่ง อุ๊บส์) คือสมัยนี้สายการบินส่วนมากเขาเสิร์ฟโดยอุ่นอาหารทีละอย่างแล้วจัดใส่จานอย่างสวยงามเหมือนร้านอาหารกันแล้ว ไม่ใช่ครัวล่างอัดทุกอย่างมาในถ้วยเดียว แล้วแอร์ก็มาอุ่นทั้งถ้วยบนเครื่อง รสชาติเนื้อผักมันไหลคลุกเคล้าปนกันไปหมดอย่างนี้ส่วนขนมอร่อยค่ะ และอยากทานอะไรชี้ได้หมดจะเอากี่อย่างก็ได้ อันนี้ผ่าน และเครื่องดื่มก็นับว่าผ่าน (ไม่ได้ชิมไวน์เพราะไม่ดื่มไวน์) เพราะมีเมนูค็อกเทลสูตรพิเศษ กับบรรดาคราฟเบียร์ซึ่งนับว่าทันสมัยมากในยุคคราฟเบียร์กำลังฮิตทั่วโลก ได้ชิม Ginger Forest ไปหลายแก้ว และ Apple Must ซึ่งเป็นน้ำแอปเปิ้ลจากฟาร์มในนอร์เวย์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ด้วย
จอทีวีไฮเทคที่น่าตื่นเต้น แต่……พอเอาเข้าจริงก็มีอาการแฮงค์ต้องปล้ำกันพอควร หนังแลดูเหมือนจะมีเยอะ แต่ก็ยังมีเรื่องเด็ดๆให้ดูไม่มาก เอาเถอะอันนี้ยังยอมเพราะว่าสายการบินแขกที่โปรดทั้งหลายก็นับว่าไม่ได้มีรายการเอ็นเทอร์เทนเม้นท์ดีเท่าไหร่
ก่อนนอนแอร์มาถามว่าจะให้ปลุกรับอาหารเช้าไหม ตอบไปว่าไม่ต้องปลุก แต่ถ้าตื่นและหิวก็จะบอกตอนนั้น ตอนเช้าได้ยินเสียงแอร์เข็นรถเข็นมาเสิร์ฟอาหารเช้าที่นั่งข้างๆ แต่บังเอิญไม่หิวจึงนอนเล่นต่อ จนอีก 1 ชั่วโมงเครื่องจะลงจึงลุกขึ้นมาขอคาปูชิโนหนึ่งแก้ว ปรากฏแอร์คุณป้าชักสีหน้าบอกว่าไม่มีแล้วปิดเครื่องแล้ว มีแค่กาแฟใส่นมธรรมดา แล้วนางก็เอากาแฟใส่ถ้วยกระดาษมากระแทกวางให้โดยที่ไม่ได้ถามเลยว่าจะรับน้ำตาลนมหรือไม่ อันนี้ตกใจมากเพราะสายการบินแขกนั้น ขนาดอีก 15 นาทีเครื่องจะลงแล้ว ผู้โดยสารปรับเก้าอี้นั่งตรงเก็บของกันหมดแล้ว แอร์ยังเดินยิ้มถามทุกคนเลยว่ารับเครื่องดื่มอะไรก่อนลงไหมคะ
สรุป สายการบินยุโรปนั้นไม่ควรคาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว (ยกเว้นบริติชแอร์เวย์สที่ยังมีทีเด็ดหลายอย่างอยู่แม้แอร์ส่วนมากจะโหดและเคยตวาดว่า “ไอไม่ยกกระเป๋าให้ยูนะ ไม่ใช่หน้าที่”) ที่เขียนมานี้จึงไม่ได้เป็นการบ่นว่า เพราะถึงอย่างไรส่วนตัวก็คิดว่ายังดีกว่าลุฟทันซ่าหรือแอร์ฟรานซ์ที่ชั้นธุรกิจนั่งอัดกันเป็นปลากระป๋องอยู่ดี ว่ากันไปตามเนื้อผ้าและเปรียบเทียบให้เห็นว่าเหตุใดสายการบินแขกและเอเชียจึงแย่งมาร์เก็ตแชร์ฝรั่งหมด
แต่…….ถ้าเลือกได้ขอแต่สายแขกค่ะ ถูกและดีมีจริง สายยุโรปขอบ๊ายบาย