วันหนึ่งในฤดูร้อนฉันเกิดอยากเดินเขาแบบขอวิวสวยมากๆ เอาแบบมีทะเลสาบและมีต้นไม้หนาๆด้วยจะได้ไม่ร้อน แต่ขอไม่ไกลบ้าน และต้องเป็นที่ที่ยังไม่เคยไปด้วย พอเปรยๆเงื่อนไขความต้องการแบบไม่คาดหวังว่าจะเป็นไปได้ คุณสามีก็คว้าโทรศัพท์มาจิ้มๆแล้วบอกว่า จะพาไปเดินเขาเลียบทะเลสาบ Walensee เช็คอากาศแล้ว เสาร์อาทิตย์แดดจ้าฟ้าสว่าง ขับรถไปจากบ้านครึ่งชั่วโมงนิดๆเท่านั้น รับรองทุกอย่างตรงตามที่คุณขอมา ยกเว้นแต่ว่า…เดินโหดนิดนะ ใส่รองเท้าเดินเขาแบบหุ้มข้อดีๆไป และเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการเดิน 3-4 ชั่วโมง

เอาค่ะ เป็นไงเป็นกัน

ขับรถจากบ้านชานเมืองซูริค ครึ่งชั่วโมงนิดๆก็ถึงเมือง Weesen เมืองเล็กๆอันเป็นจุดหมายที่จะลงเรือของเรา แต่ว่าลานจอดรถนั้นอยู่ก่อนเข้าเมือง ดูเวลาแล้วเฉียดฉิวใกล้เวลาเรือออกมาก จึงรีบจอดรถแล้ววิ่งๆๆๆ มาตามถนนเข้าเมือง ข้ามสะพาน เข้าหมู่บ้าน พุ่งไปที่ท่าเรือที่อยู่ริมสวนสาธารณะ คนนั่งเล่นทอดอารมณ์ผึ่งแดดกันอย่างสบาย เด็ก หมา ครอบครัว มีเรากระหืดหระหอบวิ่งเข้าไปทำลายความสงบเขา ทันซื้อตั๋วก่อนเรือออกไม่กี่นาทีพอดี กระโดดขึ้นเรือได้ก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่ดาดฟ้า หอบแฮ่กๆ ยังไม่ทันเดินก็เหนื่อยเสียแล้ว

พอหายใจทันก็มองไปรอบๆ หมู่บ้านเล็กๆนี้มันน่ารักไม่เบา ตรงที่ท่าเรืออยู่เป็นอ่าวเล็กๆเว้าเข้าไป รอบๆอ่าวเป็นสวนสาธารณะเขียวสดไปด้วยหญ้าฤดูร้อนที่ได้แดดดี ดอกไม้ก็บานสะพรั่ง แถมตรงในน้ำที่กลางอ่าวมีน้ำพุเล็กๆพุ่งขึ้นมาเหมือนน้ำพุ Jet d’Eau ที่เจนีวาด้วย วิวสวยๆแบบนี้มันช่างทำให้ฮอร์โมนความสุขพุ่งกระฉูดได้ดีจริงๆ ฉันอารมณ์ดีอย่างประหลาด หายเหนื่อยไปเลย ทีนี้ก็ตื่นเต้นถ่ายรูปถ่ายคลิปสิ ไม่คิดว่าจะสวยแบบนี้ เลยไม่ได้เตรียมกล้องมา ต้องใช้โทรศัพท์ถ่ายทั้งรูปและคลิป

ยิ่งแล่นไกลออกมาวิวยิ่งสวย เห็นหมู่บ้าน Weesen เล็กๆน่ารักในอ้อมกอดของขุนเขา มีโค้งอ่าวและเรือลำเล็กๆจอดในท่าอยู่เต็ม อากาศดีคนก็ออกมาเล่นเรือกัน ทะเลสาบวาเลนเซนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ด้านหนึ่งมีถนนไฮเวย์แล่นผ่าน ก็คือเส้นที่เราแล่นมาจากบ้าน และผ่านไปเมืองทางตะวันออกประจำ ส่วนอีกด้านที่หมู่บ้านตั้งอยู่นี้ไม่มีถนนเลียบรอบ มีเพียงถนนเล็กๆเข้าไปตามบ้านจนถึงชายหมู่บ้านแล้วก็ด้วนอยู่แค่นั้น เพราะเลยออกไปจะเป็นเขาสูงและป่า ซึ่งก็คือเส้นทางเดินเขาที่เราจะไปเดินกันนั่นเอง เราจึงต้องนั่งเรือออกมาเพื่อไปขึ้นที่ท่าของอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปอีก เรือแล่นผ่านขุนเขาที่ตั้งเป็นกำแพงสูง มีน้ำตกไหลลงมาด้วยถึง 2 สายคู่กัน สวยจริงๆ สามีชี้ขึ้นไปบนเขาและน้ำตกแล้วบอกว่า นั่นแหละเส้นทางที่เราจะเดินกัน โอย เห็นแล้วตื่นเต้นๆ พนักงานเรือเดินมารับออร์เดอร์เครื่องดื่มถึงที่นั่ง เลยขอสั่งเบียร์และโพรเซโก้เย็นๆมาจิบเพิ่มอารมณ์ร่วมอีกหน่อย เฮ้อ มีความสุขมากๆ

สัก 20 นาทีเรือก็มาเทียบท่าที่หมู่บ้าน Quinten มองจากเรือขึ้นไป น่ารักจังเลย บ้านเรือนไม่กี่หลัง มีเรือเล็กๆจอดเกยตลิ่งหลายลำ มีร้านอาหารนั่งชมวิวทะเลสาบอยู่ปลายทางหนึ่ง ดูดีมากๆ คนนั่งเต็ม หมายใจไว้แล้วว่าจะต้องพาแม่มาชิมและนั่งละเลียดชมวิว ร้านแบบนี้ผู้ใหญ่ชอบแน่ๆ ตรงท่าเรือนั้นคนรอขึ้นเรือกลับก็เยอะ ท่าทางเหมือนจะนั่งเรือมากินข้าวกันแล้วก็กลับ เพราะเส้นทางนี้เดินไม่ง่าย คนส่วนมากคงไม่ได้มาเดินเขาอย่างเรา หมู่บ้านนี้มาได้สองทางเท่านั้นคือเดินไต่เขามากับนั่งเรือมา ไหนๆมาถีงที่แล้วเราจึงขอเดินสำรวจหมู่บ้านสักนิดก่อนเริ่มออกเดินป่า

นอกจากร้านอาหารที่สุดปลายทางแล้วยังมีร้านเล็กๆอยู่ในบ้านเก่าประตูแคบๆ เป็นร้านขายไวน์และเครื่องดื่มแบบเทคอะเวย์ง่ายๆ มีแค่เคาน์เตอร์กับไวน์วางอยู่ไม่กี่ขวด แม้จะดูง่ายๆแต่ตัวอาคารกับความบ้านๆซื่อๆนี่แหละทำให้ดูน่ารักมากๆ พอไต่บันไดเดินขึ้นมาตามทางหินก็เจอร้านขายผลิตภัณฑ์ของกินพื้นบ้านทำเองต่างๆประมาณโอทอป พวกแยม น้ำผึ้ง เหล้าหวาน ผักผลไม้ดอง ไวน์ ขนมต่างๆ ดูลักษณะตัวบ้านเหมือนเขาอาศัยอยู่ข้างบนแล้วเปิดข้างล่างเป็นร้าน กำแพงหินดิบๆที่ปากประตูทางเข้ามีกระดานดำเขียนรายการของที่ขายวางพิงไว้ ปักธงชาติสวิสและมีดอกไม้ในกระถางบานสดใส น่ารักมากๆ

เราเดินไต่บันไดสูงขึ้นไปเพื่อเดินออกจากหมู่บ้านเข้าเส้นทางเดินป่า พอสูงขึ้นไปจำนวนบ้านก็น้อยลง ด้านบนเขากลายเป็นไร่ไวน์ เถาองุ่นใบเขียวชะอุ่มเรียงเป็นแถวๆ มีโขดเขาหินสูงใหญ่เป็นกำแพงหนุนหลัง ทางเดินเข้าป่าเริ่มจากตรงไร่องุ่น แค่วิวตรงนี้ก็จะขาดใจแล้ว ยืนในมุมสูงหันหลังให้ภูเขามองออกไปทางทะเลสาบ แนวเถาองุ่นเขียวเทลาดลงจรดน้ำสีฟ้า บ้านเรือนเล็กๆดูอบอุ่นอยู่ริมน้ำ มีเรือเล็กลอยในทะลสาบ ฝั่งตรงข้ามอีกฝั่งเป็นขุนเขาที่มีอีกหมู่บ้านหนึ่งริมน้ำเช่นกัน มันช่างเหมือนหมู่บ้านแสนสุขในนิทานจริงๆ

จากนั้นก็เป็นการเดินเข้าป่าของจริง ทางเดินหลังแนวไร่องุ่นพาเรามุ่งสู่แนวป่าโดยตรงเลย ทางเดินช่วงแรกเป็นดินเรียบๆกว้างพอเดินสบายเลียบไปตามแนวผา มีร่มไม้จากต้นไม้ใหญ่พาดผ่านให้ชุ่มชื่นไม่ร้อนเกินไปเป็นระยะตลอด ในขณะเดียวกันฝั่งติดน้ำก็เปิดโล่งเห็นสีฟ้าจัดของทะเลสาบยามต้องแดด สวยงามสดชื่นเป็นที่สุด

แรกๆก็ยังพอเห็นหลังคาบ้านเรือนอยู่ต่ำลงไปริมน้ำบ้าง แต่ไม่นานทางก็กลายเป็นเดินในป่าของจริง ถนนดินเริ่มแคบลง ต้นไม้รกเยอะขึ้น และทางค่อนๆลาดชันเป็นการเดินไต่ขึ้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มได้ออกกำลังหน้าขากันแล้ว ยิ่งไต่สูงทางที่เรียบก็เริ่มยากขึ้นๆ มีก้อนหินให้หลบหลีกปีนป่าย จนถึงช่วงที่ยากๆจะมีราวลวดหรือเชือกปักขึงไว้ให้เหนี่ยวตัวขึ้นไป บางช่วงก็มีต้นไม้ล้มพาดขวางทาง บางช่วงเดินยากจริงๆเพราะดินก็ลื่นทางก็แคบแล้วยังมีเหวดิ่งลงไปอีก ช่วงที่เหนื่อยที่สุดคือทางที่ต้องไต่ก้าวเหยียบก้อนหินสูงขึ้นไปตามทาง บางทีต้องใช้มือช่วยปีน แต่วิวของน้ำในทะเลสาบสีฟ้าสดที่แย้มโผล่มาให้เห็นเป็นระยะก็ชวนให้ตื่นเต้นหยุดชมจนลืมความโหด และช่วงที่ลึกเข้าไปในป่านั้นบนพื้นมีใบไม้ทับถมเป็นสีแดงตัดกับใบไม้เขียว สวยสดชื่นมาก ทำให้ลืมความเหนื่อยของการปีนไต่ไปเลย

เห็นเป็นทางในป่าในเขาอย่างนี้ ตลอดทางเดินมีป้ายบอกทางและระยะทางที่เหลือเป็นช่วงๆ แถมมีป้ายบอกระบุว่ามีเส้นทางให้จักรยานภูเขาไปได้ด้วยทั้งๆที่ทางไม่น่าจะขี่จักรยานได้เลย แต่แล้วก็มีฝรั่งแบกจักรยานสวนมาจริงๆ ขนาดเดินเราก็แย่แล้ว ฝรั่งคู่นั้นต้องแบกจักรยานด้วยเพราะบางช่วงมันขับไม่ได้ ช่างอุตสาหะกันจริง คนสวิสเห็นว่านี่คือการพักผ่อนออกกำลัง เขาชอบกันมาก

ระหว่างทางต่อมามีบ่อน้ำเป็นหินติดกับเขาและมีอาคารไม้เล็กๆเหมือนยุ้งเก็บของ หลังจากลุยป่ามาเป็นชั่วโมงฉันจึงเริ่มได้กลิ่นว่าคงใกล้บริเวณที่เริ่มจะมีบ้านเรือนคนแล้ว ซึ่งก็จริง เดินมาอยู่ดีๆกลับมีประตูไม้กั้นขวางทางเสียอย่างนั้น แต่มีป้ายเขียนไว้ว่าให้ผลักเดินผ่านไปได้แต่ปิดให้เหมือนเดินด้วย พอเปิดเข้าไปก็เห็นว่าเป็นบริเวณบ้านคนซุกอยู่ในสวนป่าด้านหลัง แถมมีโต๊ะวางผลไม้ขายให้หยิบไปเองและหยอดเงินไว้ด้วย น่ารักจัง พ้นบ้านนั้นมาแล้วก็เริ่มมีบ้านอื่นๆอีกหลายหลัง น่ารักน่าอยู่ไม่ใช่กระต๊อบง่อยๆในป่า มีสวนตัดหญ้าเรียบสวยงามและมีวิวทะเลสาบ แลดูสุขสงบมาก แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าเข้ามาอยู่ลึกในป่าแบบนี้เวลาจะออกไปไหนทีต้องเดินกันเป็นชั่วโมงๆเลยนะ หากฉุกเฉินขึ้นมาทำอย่างไร และเขาออกไปซื้อของกินเข้าบ้านกันบ่อยแค่ไหนนี่

พอเริ่มพ้นกลุ่มบ้านนั้นก็ได้ยินเสียงน้ำซู่ๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เราคงเดินเข้าใกล้น้ำตกแล้ว ที่มองเห็นสูงลิบๆๆๆๆตอนที่อยู่ในเรือ ในที่สุดเราก็เดินมาจนถึง ฉันรีบสาวเท้าเร่งเร็วขึ้นด้วยความอยากรู้

พอถึงก็ต้องอุทาน มันเป็นน้ำตกที่ไม่ใหญ่แต่แรงมาก เทน้ำไหลยาวจากยอดเขาดิ่งซู่ผ่านลงไปในป่าเบื้องล่างที่ลึกและแน่นไปด้วยต้นไม้จนมองไม่เห็นว่าพื้นจะลึกไปเท่าใด คาดว่าเราคงอยู่สูงขึ้นมาจากระดับน้ำในทะเลสาบมากแน่ๆ มีสะพานไม้อย่างดีแลดูใหม่และแน่นหนาให้เดินข้ามน้ำตกไปอย่างใกล้ชิด พอข้ามสะพานมาถึงอีกฝั่ง ทางเดินเป็นหินเปียกชุ่มน้ำมีราวไม้ให้เกาะ เพียงพ้นโค้งมา ก็ต้องร้องอุทานเพราะเห็นว่ามีน้ำตกอีกสายหนึ่ง สายนี้ใหญ่กว่า สะพานไม้ที่ข้ามก็ยาวกว่า ไปยืนตรงกลางแหงนดูสายน้ำที่หลั่งเทลงมาจากด้านบนจากหน้าผาหิน ไหลซู่แรงมากๆเสียงดังจนกลบเสียงพูดเรา แล้วไหลพาดผ่านใต้สะพานลงต่อไปตามหินเป็นชั้นๆ สวยมากๆ สวยกว่าที่คิดเอาไว้ คุ้มค่าแก่การเดินมาอย่างเหนื่อยถึงชั่วโมงครึ่งเป็นที่สุด

คลิปน้ำตก

จากนั้นทางก็เดินง่ายขึ้นเรื่อยๆ และพาเราออกจากป่ามาในที่สุด

พอถึงชายป่าเราก็เห็นว่าตรงริมทางเดินมีกล่องอันหนึ่งตั้งอยู่พร้อมป้ายเขียนเชิญชวนให้เล่นเกม เปิดฝากล่องดูมีช่องให้เอามือล้วงลงไปได้สามช่อง คำสั่งบอกว่าให้ล้วงแล้วทายดูว่าที่มือสัมผัสได้นั้นคืออะไร ฉันต้องลองเล่นแน่นอน จะอะไรยังไงลองดูในคลิปดีกว่า คนสวิสนี่น่ารักจริงๆ คลิปWhat’s Inside?

พ้นชายป่าอาคารแรกที่เห็นคือฟาร์มเฮาส์หลังใหญ่ ด้านหน้าเปืดประตูไว้ ด้านในเป็นห้องเล็กๆมีชั้นวางของแบบในครัวสีเขียวปี๋ตั้งอยู่ มีข้าวของวางและป้ายเขียนรายการของต่างๆที่เราสามารถซื้อได้โดยหยิบไปแล้วหยอดเงินไว้ เช่นน้ำแอปเปิ้ลสดราคา 2 ฟรังก์ให้เทใส่แก้วดื่มแก้กระหาย เกลือ น้ำหวาน และอื่นๆ น่ารักจริงๆ คลิปฟาร์มเฮ้าส์

จากฟาร์มนี้เห็นได้ชัดว่ามีถนนให้รถแล่นเข้ามาได้แล้ว และมาสิ้นสุดที่นี่เองก่อนจะต้องเดินเท้าเข้าป่าไป ถัดมามีโบสถ์น้อยยอดโดมหลังคาแดงแสนจะน่ารักตั้งอยู่ริมน้ำ จากนั้นมีร้านอาหารบ้านๆอยู่ริมน้้ำคือ Restaurant Burg-Strahlegg เราจึงนั่งพักดื่มน้ำเพราะแม้จะออกจากป่าแล้วเรายังต้องเดินต่อไปอีกชั่วโมงกว่าจึงจะถึงตัวหมู่บ้าน Weesen ร้านมีโต๊ะหลายโต๊ะตั้งอยู่ในสวน มีห้องพักด้วย คงจะเหมาะกับคนที่ต้องการปลีกวิเวกจริงๆ

จากนั้นทางเดินก็ผ่านบ้านคนในหมู่บ้านจิ๋วที่ชื่อว่า Amden นี้ จากทางเดินป่ามาเป็นถนนดิน และในที่สุดกลายเป็นถนนราดยางเลียบน้ำ ถนนนี้น่าสนใจแบบที่ฉันไม่เคยเห็นคือ มันเป็นถนนเลนเดียวที่แคบมากๆรถไม่สามารถสวนกันได้เลย และเลาะเลียบติดน้ำไปโดยอิงผากำแพงของภูเขาใหญ่ แถมตรงกลางยังเจาะทะลุ กำแพงหินนั้นเป็นถ้ำมุดออกไปถึงชายหมู่บ้าน Weesen ด้วย วิธีการให้รถไปได้ทั้งสองทางก็คือ ตรงร้านอาหารที่เราจากมากับตรงปากทางเข้าอุโมงค์ฝั่งหมู่บ้านเวเซ่นนั้นมีป้ายบอกกฎกติกาเอาไว้ ว่ารถที่จะแล่นในช่วงถนนเลนเดียวนี้จะใช้เวลา 7 นาที ดังนั้นทุกๆนาทีที่ 00 20 และ 40 ของแต่ละชั่วโมงจึงให้รถทางฝั่งหนึ่งไปได้ และรถอีกทางก็จะเริ่มแล่นได้ตอนนาทีที่ 10 30และ 50 ช่างเป็นการตกลงที่น่ารักจริง และมันจะต้องเวิร์คเมื่อทุกคนปฏิบัติตาม ฉันว่ากฎแบบนี้คงมีใช้ได้แค่สวิตฯกับประเทศทางสแกนดิเนเวียหรือญี่ปุ่นเท่านั้น

ระหว่างที่เราเดินก็มีรถแล่นตามกฎทั้งเข้าและออก และเราต้องเดินเข้าไปในอุโมงค์มืดๆนั้นด้วย แต่ตรงกลางมีช่องเจาะไว้เหมือนเป็นหน้าต่างให้แสงเข้า มองออกไปเห็นน้ำในทะเลสาบ สวยอีกแล้ว ช่างเป็นการเดินที่ได้ประสบการณ์หลากหลายรูปแบบจริงๆ

พอพ้นอุโมงค์มาก็เป็นสนามหญ้าริมน้ำที่มีคนมานั่งๆนอนๆปิคนิคมื้อเย็นกัน เอาเตามาปิ้งไส้กรอกนั่งๆนอนๆกันอย่างมีความสุข ริมน้ำทำเป็นอ่าวเล็กๆและขั้นบันไดหินให้เดินลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบเล่นได้อย่างสะดวก มองออกไปเห็นภูเขาและแผ่นน้ำที่แดดยอแสงยามเย็นเริ่มจะทาบทอเป็นสีส้มไล่มา โอย มันช่างสวย สงบ และเป็นธรรมชาติ

ชีวิตในสวิตเซอร์แลนด์จริงๆเป็นเช่นนี้ อยู่กับสายน้ำและป่าเขา ทุกอย่างง่ายๆ ติดดิน เขาไม่ลงทุนกับความหรูหราที่ไร้ความหมาย แต่ให้ความสำคัญกับการสร้างสะพานทางเดินในป่าที่ดี ให้คนสามารถเข้าไปตักตวงเติมชีวิตจากธรรมชาติ และเขาอยู่กันด้วยความเป็นระเบียบและเคารพกฎกติกาที่ตกลงกัน ทุกอย่างจึงเป็นไปด้วยความเป็นระเบียบและเรียบง่าย เดินเขาวันนี้ฉันได้หลายอย่าง ทั้งการได้อยู่กับธรมชาติ การเดินค่อนข้างโหดที่ถือเป็นการออกกำลังที่ดี และยังได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบสวิสที่เตือนให้เห็นค่าของความซื่อสัตย์ ความเรียบง่าย และความมีระเบียบ เราจบวันนี้ที่ร้านอาหารในหมู่บ้านเวเซ่น เรียบง่ายและสบายๆตามแบบหมู่บ้านเล็กๆเช่นกัน เส้นทางเดินเขาจาก Quinten เลียบทะเลสาบWalensee มา Weesenนี้กลายเป็นเส้นทางโปรดที่ไร้นักท่องเที่ยวไปแล้วสำหรับฉัน เป็นความรู้สึกที่ประทับลงไปในความทรงจำและในใจฉันอย่างแนบแน่น และจะต้องกลับมาอีกแน่นอน

NO COMMENTS