ประเทศเหนือฟ้าที่ฉันเพิ่งจะได้โอกาสไปเยือนหลังจากรอมานานๆๆๆๆๆ ทั้งที่ควรจะเป็นประเทศแรกๆในชีวิตที่ควรจะได้ไปเสียตั้งนานแล้ว คือประเทศตะวันตกประเทศแรกที่มีสัมพันธ์กับสยามนั่นเอง โปรตุเกสไงคะออเจ้า เรื่องมันยาวว่าทำไมจึงต้องรอมานานขนาดนี้จนใครๆเขาก็ได้ไปกันหมดแล้ว ดังนั้นเรื่องที่จะเล่าจึงไม่ขอเล่าเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเรื่องอื่น แต่ขอเล่าเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่จะเที่ยวลิสบอนและปอร์โตได้อย่างเจาะลึกคุ้มค่าขึ้นก็แล้วกัน
Lisbon
เห็นคนไปเที่ยวโปรตุเกสเยอะแต่ไม่เคยเห็นใครที่รู้จักพูดเรื่อง Fado เลย นี่เป็นอย่างแรกเลยที่ฉันตั้งใจว่าต้องไปสัมผัสให้ได้ ฟาโดคืออะไรมันคือดนตรีแบบเฉพาะตัวของลิสบอนร้องสดในอารมณ์โศกรันทดโหยหาตัดพ้อมีกีต้าร์โปร่งแบบโปรตุเกสคลอประกอบย่าน Alfama เมืองเก่าของลิสบอนนี้มีร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารแบบพื้นเมืองพร้อมบรรเลงฟาโดสดมากมายเรียกกันง่ายๆว่า Fado restaurant
ร้านที่เราไปชื่อ A Baiuca บรรยากาศบ้านๆอบอุ่นมากมีไม่กี่โต๊ะ ไม่จองไม่มีสิทธิ์เลย ดนตรีดีมากได้อารมณ์สุดๆ ฝีมือกีต้าร์เด็ดทุกคน สไตล์การร้องคล้ายฟลาเม็งโก้ของสเปน โหยหวนใส่อารมณ์กันสุดๆ ฟังแล้วเกร็งไปด้วยเลย มีคนร้องสลับกันหลายคนเสื้อผ้าหน้าผมธรรมดาไม่มีจัดแต่ง คือดูเป็นดนตรีและการร้องที่ใครๆก็ร้องได้ ขอให้เสียงดีอย่างเดียว แลดูเอื้อมถึงมากๆ ทีเด็ดคือแม่ครัวออกมาร้องโชว์ด้วยในชุดผ้ากันเปื้อนหมวกคลุมผมเลย ฝีมือป้าเด็ดมาก ไม่รู้ร้องเพลงเป็นหลักทำกับข้าวเป็นรองหรือเปล่า บรรยากาศครึกครื้นอบอุ่นและกันเองมาก แต่เขาห้ามเราพูดเสียงดังเลยเวลาเขาร้อง ซีเรียสมาก เราต้องเงียบและตั้งใจฟัง แต่สามารถตบมือมีส่วนร่วมได้ นับเป็นประสบการณ์แบบที่เหนือฟ้าบอกว่าต้องชมถ้ามาถึงลิสบอนแล้ว
ส่วนเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในลิสบอนนั้น จะบอกว่าในบรรดาจุดท่องเที่ยวหลักฉันว่าที่คุ้มค่าน่าตื่นตาตื่นใจสุดคือ Carmo Convent และ Carmo Archeological Museum วิหารที่เป็นซากไร้หลังคาใจกลางเมือง ซุ้มหลังคาโค้งที่เหลืออยู่ตัดกับท้องฟ้าสีสดสวยแปลกและกระตุ้นต่อมจินตนาการชวนให้อดนึกไม่ได้ว่าถ้าโบสถ์ยังสมบูรณ์ดีอยู่ก็คงไม่มีเสน่ห์เท่านี้
ที่สำคัญมีเกร็ดมากระซิบว่า Museum of National Guard ที่อยู่ติดกันเลยนั้นเด็ดมากกกกก ข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงอุปกรณ์เครื่องเคราและเรื่องราวเกี่ยวกับตำรวจพวกอาวุธและประวัติต่างๆ แต่นั่นไม่ใช่ทีเด็ดที่จะบอก สิ่งที่เด็ดคือตัวอาคารที่ต้องเดินลึกเข้าไป มีกระเบื้องแบบโปรตุเกสวาดรูปนายตำรวจสำคัญในอดีตพร้อมชื่อ (ชอบมากเพราะแทนที่จะใช้รูปวาดหรือภาพถ่ายแบบที่อื่นเขาทำเป็นภาพวาดบนกระเบื้องสัญลักษณ์ของโปรตุเกส) และมีสถาปัตยกรรมการการตกแต่งสวยงาม ตัวตึกนี่ละที่น่าสนใจ เดินลึกเข้าไปมีตำรวจยืนเฝ้าเป็นระยะๆแต่ไม่ต้องกลัว เขาให้เราเดินเข้าชมได้ไปถึงบันไดขึ้นชั้นบน สองฝั่งปูกระเบื้องสีฟ้าแบบโปรตุเกสอย่างสวย เดินขึ้นไปเลยผ่านทางเดินสวยอีก
แต่ทีเด็ดแบบสุดๆไปเลยคือสุดทางเดินชั้นบนสุด มันคือระเบียงกว้างที่เปิดออกชมวิวเมืองลิสบอน มองเห็นบริเวณ Rossio และหลังคาสีส้มซ้อนๆกันของเมืองและเห็นลิฟท์ Santa Justa ที่คนนิยมขึ้นไปชมวิวด้วย คือมันเป็นจุดชมวิวที่ดีมากกกก ที่สำคัญมันไม่มีคนเลย เราถ่ายรูปแบบส่วนตัวอยู่ตั้งนานแถมคุณตำรวจมาถ่ายรูปคู่ให้เราด้วย แต่ที่เด็ดแบบจบข่าวเลยคือตึกนี้ไม่เสียค่าเข้าค่า!!! ทั้งเข้าชมพิพิธภัณฑ์ทั้งเดินชมทั้งตึกมาจนถึงจุดชมวิวฟรีโลด อันนี้คนคงไม่รู้กันเพราะแทบไม่มีคนเข้ามาเลย อย่าลืมปักหมุดไว้เลยทีเดียวเชียว
ทีนี้ในเมื่อเราเห็นวิวเด็ดจากในสำนักงานตำรวจแล้วเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขึ้นลิฟท์ Santa Justa ที่ต้องเสียเงินขึ้นและแย่งกับนักท่องเที่ยวคนอื่นอีก ประหยัดทั้งเงินและเวลา ฉันเดินเข้าไปชมลิฟท์เหมือนกันตามสะพานจากด้านบน แต่พอถึงจุดที่จะต้องจ่ายเงินขึ้นไปก็ตัดสินใจไม่จ่ายเงินดีกว่า เพราะเราเห็นวิวทีเด็ดแบบเดียวกันมาแล้ว อีกอย่างลิฟท์นี้ถ้าชมจากภายนอกเราก็จะเห็นตัวอาคารทำด้วยเหล็กที่น่าสนใจ แต่พอขึ้นไปข้างบนแล้วก็ไม่เห็นตัวอาคารอีกเห็นแต่วิว ถ้าใครอยากจะประหยัดและถ่ายรูปสวยโดยไม่ได้ต้องแย่งกับนักท่องเที่ยวอื่นก็เก็บเกร็ดอันนี้เอาไว้ใช้ได้เลย
มีโบสถ์แห่งหนึ่งในย่าน Rossio ที่ไม่อยู่ในไกด์บุ๊คแต่ฉันเข้าไปชมแล้วอยากจะแนะนำคือโบสถ์ Santo Domingo เพราะรูปแบบแตกต่างจากโบสถ์อื่นมากๆตรงที่โครงสร้างหลักเช่นเสาและคานนั้นเป็นหินสีเทาเก่ามอมแมมแลดูโบราณมากๆ แต่ส่วนหลังคากลับเป็นปูนทาสีชมพูซึ่งเห็นเลยว่าเป็นการบูรณะทีหลัง เป็นความขัดแย้งที่ลงตัวแลดูแปลกตาและไม่เหมือนโบสถ์ไหนที่เคยเห็นมาก่อน ขา off the beaten path หรือขาชอบของแปลกไม่เหมือนใครไม่ควรพลาดชม โบสถ์นี้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยมีแต่คนโปรตุเกสพื้นเมืองมากัน
และที่หน้าโบสถ์มีร้านขาย Ginjinha ชื่อร้าน A Ginjinha do Largo de São Domingos เป็นร้านแรกที่คิดสูตรทำเหล้า Ginjinha ชนิดนี้ขึ้นมา มันคือเหล้าที่เอาเชอรี่หมักกับวิสกี้จนกลายเป็นเหล้าแรงรสผลไม้หวานอร่อย เวลาทานจะเสิร์ฟแค่ในถ้วยจิ๋วประมาณเป๊กเดียว มีขายหลายร้านที่ทั่วไปตามถนน เราเดินเข้าไปสั่งที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินประมาณ 1 ยูโรแล้วเขาก็จะเทออกจากไหแก้วที่เห็นเชอรี่อัดหมักอยู่เต็มลงถ้วยแล้วส่งให้ ร้านนี้เป็นร้านต้นตำรับที่ต้องไปชิมเลย ค้นพบอย่างบังเอิญมาก
อีกที่ในลิสบอนที่ได้ไปมาแล้วชอบมากก็คือ Mercado da Ribeira มันคือตลาดฟู๊ดคอร์ทรวมของกินที่อยู่ในโครงสร้างโกดังเก่าจัดทำโดย Time Out นิตยสารท่องเที่ยวประจำเมืองที่มีอยู่ทุกเมืองใหญ่ ตลาดนี้จึงมีชื่อเล่นว่า Time Out Market สายกินเดินเข้าไปแล้วต้องตื่นตาตื่นใจมาก เพราะมีร้านอาหารอยู่รอบๆสารพัดประเภท แลดูน่าทานทั้งนั้น เป็นแนวร้านอาหารโมเดิร์นกิ๊บเก๋แต่มาในรูปแบบฟู้ดคอร์ท ตรงกลางเป็นที่นั่งคนนั่งกันเต็มบรรยากาศคึกคักชวนเจริญอาหารเป็นที่สุด ที่จริงเราไม่ได้ทานอาหารที่นั่นหรอกเพราะจองมื้อทานอาหารเอาไว้หมดแล้ว เพิ่งมารู้จักตลาดนี้จากคนท้องถิ่นเมื่อมาถึงจึงเสียดายอยู่ แต่ก็ได้เดินชมอาหารทุกร้านและกินบรรยากาศไปด้วย คราวหน้าต้องกลับมาทานอาหารที่นี่แน่นอน
เดินต่อมาอีกนิดไม่ไกลเป็นถนนสายสั้นๆแต่เป็นสายปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยบาร์และจะมีชีวิตชีวายามกลางคืน พื้นถนนทาด้วยสีชมพูคนพื้นเมืองจึงเรียกกันว่า Pink street แต่จริงๆถนนสายนี้ชื่อว่า Rua Nova do Carvalho ใครเป็นคอปาร์ตี้คึกคักเที่ยวกันคืนต้องจดที่นี่เอาไว้เลย เพราะที่นี่จะเป็นที่ๆคนท้องถิ่นไปไม่เหมือนกับย่าน Bairro Alto ที่ถึงแม้จะคึกคักน่ารักและใหญ่กว่ามาก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเยอะกว่า
อีกที่หนึ่งซึ่งอยากไปแต่ไม่ได้โอกาสไป แต่ได้นั่งรถผ่านคือ LX Factory เป็นที่แฮงเอ้าท์พักผ่อนหย่อนใจยามเลิกงานของคนท้องถิ่น ได้ยินมาว่าแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มันเป็นโกดังเก่าที่เขาเอามาทำเป็นแหล่งปาร์ตี้ อันนี้อยู่นอกเมืองออกไปทางไป Belém ฉันปักหมุดเอาไว้แล้วว่าถ้ากลับมาคราวหน้าจะต้องไปสำรวจแน่นอน
นอกจากนั้นเราก็เดินสำรวจไปทั่วย่านหลักๆ Alfama หรือ Rossio หรือ Chiado หรือย่าน Bairro Alto ที่โรงแรมอยู่ เวลาเดินผ่านเห็นอะไรน่าสนใจก็โผล่เข้าไปชมได้เห็นแกลเลอรี่แสดงงานศิลป์ ได้เห็นโบสถ์ซึ่งไม่ใช่สถานที่สำคัญในไกด์บุ๊ค แต่พอเข้าไปแล้วก็ได้ชมบรรยากาศ ใครช่างซอกแซกอยากรู้อยากเห็นแบบเหนือฟ้าขอเชิญตั้งใจเดินหลงทางเข้าไปในหลืบลับของตรอกเล็กซอยน้อยเลย
Belém
อีกย่านที่ต้องกล่าวถึงคือ Belém เพราะเชื่อได้เลยว่าคนไทยเกือบ 100% ที่ไป Lisbon จะต้องไปเข้าคิวชิมทาร์ตไข่หรือ Pasteis de Nata ที่ร้าน Pasteis de Belém ต้นตำรับสูตรออริจินัลขนานแท้ของโลก ที่ขายมาตั้งแต่ปี1837 ก็จะแปลกอะไรเราชาติกินนี่นา ไปไหนก็ต้องตามไปกินของอร่อย ฉันก็ต้องไปพิสูจน์เช่นกัน แต่อยากจะบอกว่า Belém มีอะไรมากกว่าทาร์ตไข่นะค้า และฉันพบว่าการจะไป Belém จากตัวเมืองเก่าลิสบอนนั้นมันไม่ได้ใกล้ขนาดนั้น ดังนั้นไปทั้งทีก็ต้องเที่ยวชมย่านนั้นให้คุ้มกว่าแค่ไปทานขนมอย่างเดียว
เราไป Belém มา2 ครั้งๆแรกเรียกตุ๊กๆจากแถวเมืองเก่าตรง Praça do Comericio ไป ตุ๊กๆพวกนี้เขารับทัวร์ชมเมืองราคาก็จะแพงหน่อย ครึ่งชั่วโมงเริ่มที่ 30 ยูโรขึ้นกับว่าจะไปไหนบ้าง เขาขับพาไปและบรรยายไปด้วยและจอดให้ถ่ายรูปตามจุดต่างๆ จึงต้องให้ราคาเขา แต่เราลองเรียกเพื่อให้ไปส่งเฉยๆแบบแท็กซี่ดูเพราะนั่งรถรางโบราณประจำเมืองไปไม่ไหว ทีแรกก็ว่าจะนั่งเอาบรรยากาศอย่างคนอื่นเขาแต่มันแน่นเหลือเกินรอไม่ไหว จะเรียกแท็กซี่ราคาก็ไม่ได้ถูกเท่าไร เลยลองเรียกตุ๊กๆคันที่เป็นเปิดประทุนเป็นผู้หญิงขับ นางขอที่ 20 ยูโร เลยตกลง อย่างน้อยได้นั่งตุ๊กๆเปิดประทุนกินบรรยากาศไปตั้งไกล น่ารักออก นางอธิบายให้เกร็ดเที่ยวมาหลายอย่างด้วย
ครั้งแรกนี้เราไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยของเมืองคือ MAAT ปกติฉันชอบงานศิลปะร่วมสมัยอยู่แล้ว เพื่อนบอกว่าดีเลยอยากไปชม อีกสาเหตุคือฉันชอบสถาปัตยกรรมมากๆ ตึก MAAT นี้เป็นแนวตึกสมัยใหม่แบบตามรอยเท้า Zaha Hadid คือเส้นสายโค้งกลืนต่อเนื่องทั้งอาคารกลืนกันเป็นชิ้นเดียว งานแบบนี้มีที่สเปนมาก แถม MAAT ตั้งอยู่ริมน้ำเห็นวิวสะพาน Ponte 25 de Abril ที่คล้าย Golden Gate และรูปปั้นพระเยซู Cristo Rei แบบเดียวกับที่ริโอเดอจาเนโรของขวัญจากบราซิล วิวริมน้ำและอาคารสวยจริงๆ ชอบมากๆ ยิ่งไปตอนเย็นได้บรรยากาศแดดร่มลมตกคนมานั่งชิลล์กันดีจังเลย แต่จะบอกว่างานแสดงใน MAAT นั้นน่าผิดหวังมากๆ คอนเซ็ปท์คือการใช้ทรัพยากรอย่างมีจิตสำนึกและการอนุรักษ์ เป็นเรื่องที่ดีแต่ศิลปินที่เอางานมาแสดงไม่ได้บอกอะไรใหม่หรือกระตุ้นต่อมอะไรเราให้มากกว่าเดิมเลย น่าเสียดายหวังว่างานต่อๆไปจะดีกว่านี้ เราจึงดูผ่านๆแล้วออกมาเดินเล่นกินบรรยากาศริมน้ำแทน
ขากลับเราลองนั่งรถไฟกลับเข้าเมืองเก่าดู จริงๆนับว่าสะดวกมากเพราะสถานีอยู่ไม่ไกลริมน้ำตรงนั้นเลยและแล่นเข้ามาสุดที่สถานีในเมืองตรง Bairro Alto ที่เราพักพอดี แต่การซื้อตั๋วรถไฟนี่สิวุ่นวายมาก มีเครื่องอัตโนมัติที่ชานชาลาเครื่องเดียว คนเข้าคิวกันยาว แต่ละคนใช้เวลานานมากๆ เพราะแดดส่องจอทำให้มองไม่เห็น และแต่ละคนเจอปัญหาต่างกันไป ไม่รับแบงค์บ้าง ไม่รับบัตรบ้าง สารพัด เราเข้าคิวอยู่ 15 นาที ทุกคนในคิวต้องมาช่วยกันซื้อและแก้ปัญหาเพราะรถไฟก็ใกล้จะมา ถ้าคนหน้ายังซื้อไม่ได้คนหลังๆก็จะตกรถกันหมด เราโชคดีมากป้าคนหน้าซื้อเท่าไรก็ไม่สำเร็จเลยสละคิวให้เราซื้อก่อน ของเราผ่านโลดไร้ปัญหา ได้ตั๋วปุ๊บรถไฟมาพอดี คนอื่นข้างหลังอดขึ้นกันหมด บทเรียนคืออย่าไว้ใจรถไฟโปรตุเกส เครื่องขายตั๋วอาจรวน อีกวันเราเจอเปลี่ยนชานชาลาไม่บอกไม่กล่าววิ่งกันแทบตาย ให้เผื่อเวลาไปถึงสถานีก่อนนานๆ และซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้ดีที่สุด อะไรก็เกิดขึ้นได้
วันหลังกลับไป Belém อีกรอบ ทีนี้ใช้บริการ Uber อยากจะร้องดังๆว่านี่คือทางเลือกการเดินทางในลิสบอนที่ดีสุด มาไว รถเยอะ คนขับดีทุกคนและราคาถูกมากๆ จากระยะทางเท่าเดิมไป Belém คราวนี้ราคา11 ยูโร ถูกกว่าตุ๊กๆตั้งเกือบครึ่ง และเราได้ลองใช้เรียกไปโน่นนี่ในเมืองอีกหลายครั้งราคา 2-4 ยูโรเท่านั้น เทียบกับราคารถรางหรือแท็กซี่แล้วยิ่งถ้าไปกันหลายคนนี่คือคุ้มสุดๆ เตรียมแอพไว้ให้พร้อมกดได้เลย
ทีนี้สำหรับการเที่ยวชมย่าน Belém เราไปเยี่ยมแลนด์มาร์ค Torre de Belém หอคอยป้อมปราการกลางน้ำจากศตวรรษที่16 ในศิลปะแบบแขกมัวร์ผสมกับโกธิค ปรากฎว่าแป่วเพราะเขาปิดวันจันทร์แต่ได้ชมข้างนอกก็โอเคแล้ว เพราะความงามนี่ต้องดูข้างนอก
ชมเสร็จจะเดินไปชมวิหาร Mosteiro dos Jeronimos ที่อยู่ไม่ไกลคุณสามีบอกว่าจะไม่เดินไปตามถนนธรรมดาแต่จะพาเดินผ่านไปเข้าไปในศูนย์ประชุมและศูนย์วัฒนธรรมที่เขาเคยมา conference หลายปีก่อน ปรากฎว่ามันเลิศมาก แนะนำให้เดินผ่านเข้าไปในตึกเลย มันเป็นอาคารใหญ่มาก มีแกลเลอรี่แสดงงานมีส่วนประชุมส่วนจัดงาน ประมาณว่าศูนย์สิริกิติ์เราแต่ใหญ่กว่ามากๆ บนชั้น 2 ให้เดินทะลุออกมาด้านริมน้ำ จะมองในมุมสูงออกไปเห็น Monument to the Discoveries เห็นสะพาน Ponte 25 de Abril ถ่ายรูปตรงนี้ได้มุมดีอีกมุม แบบที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แถมตึกนี้มีห้องน้ำสะอาดให้เข้าฟรีด้วยตรงใกล้ๆร้านอาหารบนระเบียงกว้าง
เดินให้มาจนสุดตึกก็จะถึงสวนสาธารณะ Praça do Império ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวิหาร Jerenimos พอดีเป๊ะเลย เป็นเส้นทางเดินที่แจ๋วมาก วิหารนี้มีซุ้มประตูด้านหน้าที่สวยมากแต่มันปิดวันจันทร์อีกแล้ว แล้วไม่เขียนไว้ในไกด์บุคด้วย อดเข้าอีกแต่ไม่เป็นไรเพราะข้างนอกคือที่สวยควรชม ข้างในมีที่เสียดายก็แค่ตรงศาลารายที่อยากเห็น ไม่เป็นไรเป็นเหตุผลอ้างไว้กลับมาใหม่
จากตรงวิหารนี้เดินไปนิดเดียวก็ถึงร้าน Pasteis de Belém อันเลื่องชื่อ เดินไปดูหน่อยว่าคิวยาวไหม เห็นใครๆว่าให้มาเช้าๆคิวจะสั้น พอไปถึงอ้าวคิวไม่เห็นยาวเลย แถมเดินเร็วด้วย จ่ายเงินแล้วเอาใบเสร็จไปรับกับอีกคน เราสั่ง6 อันแพ็คมาในกล่องอย่างดี เขาหยิบกล่องใส่ถุงให้เลยไม่ต้องรอ ถ้าใครจะนั่งทานในร้านเขาก็มีที่นั่งตั้ง 400 ที่ เดินเข้าไปดูลึกๆข้างในมีห้องต่อไปอีกหลายห้อง คนนั่งเต็มและมีคิวรอโต๊ะ แต่ฉันว่าซื้อเดินออกมากินที่ม้านั่งในสวนสาธารณะตรงข้ามได้บรรยากาศดีกว่า แดดดีได้อารมณ์ปิคนิค และไม่ต้องรอโต๊ะ ฉันว่าบรรยากาศนั่งในร้านมันไม่น่ารักด้วยแหละ ดูเป็นอุตสาหกรรมไปหน่อย
ทีนี้ถามว่าอร่อยไหมฟันธงค่ะว่าอร่อยที่สุดที่ชิมมา คือก็ไม่ได้ชิมเจ้าคู่แข่งอื่นๆ แต่ชิมหลายๆร้านตามแต่จะไปเจอที่ไหนมาหลายวันแล้ว ฉันว่าของต้นตำรับเขาไม่หวานเกินและแป้งรอบๆกรอบบางอร่อยมากๆ เด็ดที่สุดก็ตรงนี้ ฉะนั้นซื้อแล้วต้องทานเลยก่อนที่แป้งจะเริ่มนิ่ม แป๊บเดียวฉันหมดไป 3 ชิ้น
ทานเสร็จอยากให้เดินเล่นชมอาคารสีสันน่ารักที่เป็นร้านอาหารตรงถนน Rua de Belém น่ารักมากเหมือนบ้านตึกแถวในเมืองเก่าที่หลังจิ๋วๆ วนมาด้านหลังเข้าชม Palacio de Belém และสวนต้นไม้ Jardim Botanico Tropical ได้ ทีแรกเราว่าจะไปชมกันแต่ผ่านร้านอาหารตรงนั้นเกิดอาการอยากทานให้เรียบร้อยก่อนมาขึ้นรถไฟ เลยต้องสละ
สรุปคือถ้ามาลิสบอนก็แพลนไป Belém ให้เต็มวันสักวัน นั่งรถไฟหรือ Uber ไปได้ดีที่สุด ใช้เวลาย่านนั้นให้ทั่วแบบช้าๆละเลียดกินทาร์ตแล้วเดินย่อยให้เกลี้ยงตรงริมน้ำ ถ้ามาจบวันที่ MAAT ก็น่าจะได้บรรยากาศยามเย็นที่ดีมาก เป็นการจบวันในลิสบอนอย่างสมบูรณ์