ประเทศอะไรเอ่ยอยู่ในยุโรป ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ แต่ไม่ใช่เกาะอังกฤษและเกาะในช่องแคบอังกฤษ
บอกใบ้นิดนึงว่ามีอยู่สองประเทศ และฉันก็กำลังหนีหนาวมาเที่ยวสุดสัปดาห์อยู่ที่หนึ่งในสองประเทศนั้น ณ. ตอนนี้
ติ๊กต่อกๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งงงงง หมดเวลา เฉลยก็แล้วกัน ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่ Malta นั่นเอง
อันที่จริงประเทศมอลต้ามีภาษาประจำชาติสองภาษา คือภาษาอังกฤษและภาษา Maltese ซึ่งฟังดูแปลกหูและสะกิดความสงสัยชวนให้สนใจมาก เพราะได้ยินครั้งแรกแล้วเดาไม่ออกเลยว่ามันคือภาษาอะไร รู้แต่ว่ามีสำเนียงเหมือนภาษาอารบิก ซึ่งพอสืบดูแล้วก็จริง มันคือลูกครึ่งส่วนผสมของภาษาอารบิกและอิตาเลียนเข้าด้วยกัน คนประเทศนี้พูดภาษามอลตีสนี้เป็นหลักและประมาณ 80%พูดภาษาอังกฤษได้เนื่องจากเคยอยู่ในเครือจักรภพอังกฤษมาก่อน มาเที่ยวประเทศนี้จึงสะดวกตรงที่ว่าใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างสบาย
มอลต้าเป็นหนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดในโลกและมีพลเมืองไม่ถึงครึ่งล้านคนดี เมืองหลวงคือ Valletta ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในยุโรป แต่กลับเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่ขึ้นทะเบียนโดย UNESCO แน่นเอี้ยดเลยทีเดียว นั่นก็เพราะตำแหน่งที่ตั้งซึ่งนับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชนเผ่าอารยธรรมโบราณหลายกลุ่มเช่น Phoenicians, Carthaginians, Romans, Greeks, Byzantines ต้องเดินทางผ่าน โดยเฉพาะชาว Phoenicians ซึ่งคือบริเวณแถบประเทศเลบานอนในปัจจุบัน เดินทางสัญจรผ่านมาที่เกาะมอลต้านี้ และพบว่าเป็นจุดที่ดีในการพักเรือ จึงได้ทิ้งมรดกอารยธรรมเอาไว้ที่นี่มากมาย ประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณเกี่ยวกับประเทศนี้มีเรื่องเล่ามากมายจนคงต้องเขียนเป็นหนังสือสักหนึ่งบท เอาเป็นว่าใครมาเที่ยวบอกเลยว่าพลาดไม่ได้ที่จะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ Archeological Museum ในเมืองหลวง Valletta เขาจัดทำดีมากๆ ดูแล้วสนุกมากแล้วยังได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศนี้อีกด้วย ถือเป็นประเทศที่มาแล้วได้เปิดหูเปิดตาเปิดสมองให้ฉลาดขึ้นอีกมากมายแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ เป็นความประหลาดใจและประทับใจอย่างมากทีเดียว และ The Grandmaster’s Palace ก็สวยงามมากๆ อลังการคุ้มแก่การเข้าชม
ตัวเมืองหลวง Valletta แม้จะเล็กมากโดยมีพื้นที่เพียงแค่ 1ตารางกิโลเมตร แต่ก็อัดแน่นไปด้วยตึกโบราณและบรรยากาศที่น่ารักมาก ตัวเมืองเก่าเป็นถนนคนเดิน ตึกรามโบราณเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ โบสถ์ สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ทั้งหลาย
มีอ่าวซึ่งทำให้เมืองมีน้ำล้อมรอบ จึงมีทัศนียภาพที่สวยงาม เดินเล่นในเมืองเก่าแล้วก็ยังเดินเล่นเลียบไปตามน้ำได้อีก มีเวลาหนึ่งวันก็แทบจะเดินทะลุตรอกซอกซอยได้ทั่วทั้งเมือง โรงแรมที่เราพักคือ The Phoenicia อยู่ตรงปากทางเข้าเมืองเก่าพอดี เป็นบูทีคโฮเทลขนาดใหญ่ที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ทั้งหมดไม่นาน จึงทำให้สามวันที่หนีหนาวจากสวิตเซอร์แลนด์มาพักใจชิลล์ๆนี้ตอบโจทย์อย่างยิ่ง เที่ยวแบบสบายๆไม่เหนื่อยมาก วันแรกที่มาเราจึงเจาะลุยอยู่ที่เมือง Valletta อย่างเดียว เป็นทริปหนีหนาวสุดสัปดาห์ที่เพอร์เฟคจริงๆ
วันต่อมาเราจะไปชมเมืองหลวงเก่า หลุมศพโบราณ และจุดเช็กอินของสาวก Game of Thrones กัน ซึ่งก็แอบมีเรื่องผจญภัยเล็กๆอีกจนได้หลังจากทึ่งกับความรู้ใหม่ไปแล้วว่าประเทศที่เล็กจ้อยบนเกาะจิ๋วของยุโรปอย่าง Malta นี้มีประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นและเก่าแก่ขนาดไหน ก็ถึงเวลาสำรวจเรื่องราวในอดีตและเยี่ยมเยือนโบราณสถานของมอลต้า เรามีเวลาน้อย หนึ่งวันเต็มที่เหลือจึงเช่ารถขับไปชม 3 เมืองที่อยู่ติดกันทางตะวันตกของเมืองหลวง Valletta นั่นคือ Mdina เมืองที่ขึ้นทะเบียนโดย UNESCO เมือง Rabat และ Dingli หมู่บ้านเล็ก ทั้งหมดนี้ขับรถไปเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึง สะดวกและเหมาะมากสำหรับ one-day trip
เราขับเลยไปทางตะวันตกจนถึงชายฝั่งอีกด้านของเกาะก่อน เพราะอยากไปชมวิวชายฝั่งจากจุดสูงสุดของมอลต้าที่ Dingli Cliffs ระยะทางไม่ไกลเลย และดูแผนที่แล้วเส้นทางไม่ซับซ้อน กะว่าขับไปอย่างชิลล์ๆไม่นานคงถึง ปรากฎแล่นไปๆทางกลายเป็นลูกรัง ปุเลงๆไปจนถึงจุดหน้าผาโล่ง วิวมองออกทะเลไปก็สวยดี แต่เราไม่รู้ว่าจะไปต่อให้ถึงเจ้า Dingli Cliffs อย่างไร ดู Google แล้วคงต้องเดินเท้าไต่ผาลงไป หรือไม่ก็ขับอ้อมไปอีกทาง ซึ่งน่าจะใกล้กว่า ตัดสินใจกลับออกไปเข้าเส้นทางใหม่ แต่ถนนเป็นดินหินขรุขระมากขึ้นและเป็นเลนเดียวแบบสวนกันไม่ได้ ยิ่งแล่นไปทางก็ขึ้นเนินสูงขึ้นๆ เป็นผาตัดดิ่งอยู่ข้างๆ สองข้างทางมีแต่ป้าย Private property ท่าจะลำบากแล้วเรา รถจิ๋วที่เช่ามาด้วยกะว่าคงใช้ขับแต่บนทางหลวงจะรอดไหม ล้อรถก็จิ๋วซะขนาดนั้น ปุเลงๆไปบนถนนดินแดงๆ ถ้ามีรถสวนมากลับไม่ได้แน่ ต้องถอยยาวอย่างเดียวซึ่งก็เสียวตกหน้าผามาก แต่สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนั้นคือเดินหน้าและลุ้น ปรากฎไปเจอรถหลายคันข้างหน้าจอดติดอุดทางกันอยู่ จะถอยจะกลับรถกันก็ไม่ได้ เอาละสิ พอดีตรงนั้นมีทางแยกเข้าที่ของใครไม่รู้แล้วมีไม้กั้นกับป้ายเขียนว่าที่ส่วนบุคคล ฉันเลยบอกคุณสามีให้เอาหัวรถปักเข้าไปคาหน้าไม้กั้นเพื่อจอดรอตั้งตัวก่อน เจ้าของที่คงไม่มาไล่เดี๋ยวนั้นหรอก แล้วสั่งนางเดินไปดูสถานการณ์ข้างหน้า ในขณะที่รถคันอื่นข้างหน้าพยายามกลับรถกันวุ่นวาย ทีแรกนางจะไม่ไปและจะพยายามกลับรถบ้าง ฉันลั่นบัญชาว่าไม่กลับ ไปดูให้รู้เรื่องก่อน ฉันจะเฝ้าอยู่ในรถเอง นางจึงเดินหายไป ไม่นานวิ่งยิ้มแป้นมาว่ารถมันแค่ติดเพราะมีบ้านหนึ่งหลังข้างหน้าตรงริมผาคงจะมีปาร์ตี้วันอาทิตย์ มีรถมาจอดเต็มเลย ทางเลยเหมือนปิดตันแต่จริงๆมันไปต่อได้ แต่ก็ต้องแล่นเบียดๆแทรกเข้าไป เราเลยลุยหน้าต่อโดยที่รถคันอื่นกลับไปกับหมด แต่ยิ่งขับทางก็ยิ่งแคบเหมือนแล่นอยู่บนสันเขา หวาดเสียวมาก ภาวนาอย่าให้มีรถสวน แต่ทันใดนั้นก็มีรถสวนมา กรี๊ด จะถอยยังไง บอกตรงๆไม่ไว้ใจฝีมือสามีตัวเองเลย (อุ๊ปส์) รถก็ไม่มีกำลังมากนัก ขณะจอดชั่งใจตะลึงตึงๆอยู่นั้น รถคันที่สวนมาเขาก็ถอย แบบถอยยาวเลยแล้วถอยเก่งด้วย ไปจนมีเนินหญ้าที่พอจะมีที่หน่อย เขาก็ถอยขึ้นเนินไปหลบห้อยอยู่สูงเชียว รอให้เราผ่านไป เธอเก่งมาก ฉันแทบจะยกมือไหว้ตอนรถเราแล่นผ่านไป แต่กลัวฝรั่งงงเลยยกนิ้วโป้งให้แทน
แล้วถนนนั้นก็มาสิ้นสุดตรงปากทางเข้าที่ใครไม่รู้ ไปต่อไม่ได้และเป็นหน้าผาสูง เราเลยไปยืนชะเง้อดูวิว มันก็สวยมาก เห็นชายฝั่งโล่งยาวและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกว้างไกลอยู่เบื้องหน้า ดูแล้วคิดว่าเจ้าบรรดาหน้าผาที่ตัดดิ่งลงไปข้างล่างเบื้องหน้านั่นแหละน่าจะเป็น Dingli Cliffs มันไม่มีป้ายอะไรบอกเลยนี่ตั้งแต่ขับลุยเข้ามา ปรึกษากันว่าจะ hike ลงไปไหม ตกลงว่าไม่ เพราะเราไม่ได้ใส่รองเท้า hiking มา และอันนี้กะว่าเป็นที่เที่ยวของแถม ขอชมหน้าผาอยู่เพียงแต่ข้างบนก็แล้วกัน เก็บเวลาไป Rabat Mdina ดีกว่า เลยเป็นอันว่าถ่ายรูปชื่นชมวิวจากข้างบนอยู่พักหนึ่ง ซึ่งก็สวยและอากาศดีมาก แล้วขึ้นรถขับย้อนกลับทางเดิม ลุ้นต่อว่าจะมีรถสวนมาอีกไหม หายใจไม่ทั่วท้องเลย คราวนี้โชคดีไม่มีรถสวน หลุดกลับเข้าถนนปกติได้สูดหายใจเข้าปอดยาวเลยเชียว
ทีนี้ก็ตั้ง Google ไปเมือง Rabat ปรากฎพอไปถึงทำไมมันไม่มีอะไรเลย เมืองธรรมดาเล็กๆ มีบ้านคนที่ไม่สวยและเงียบเชียบอยู่ไม่มาก เปิดดูสถานที่ๆตั้งใจไปชมอีกที ทุกที่บอกว่าอยู่เมือง Rabat แต่พอจิ้มตำแหน่งใน Google map มันอยู่ Mdina หมดเลย เอ๊ะยังไงกัน เลยตกลงว่าลืมเมืองRabat ตรงหน้าแล้วขับตรงไปสถานที่เที่ยวที่ Mdina เลยละกัน
ทีนี้ระหว่างทางฉันก็เกิดอยากจะเก็บสถานที่ทางผ่านอีกคือ Buskett Gardens เขาว่าเป็นที่คนมอลตีสมาปิคนิคกัน ธรรมชาติดี ปรากฎไปถึง ว้ายทำไมมันไม่มีอะไร มีเต๊นท์น่าเกลียดสกปรกอยู่หนึ่งหลังแล้วมีคนปูเสื่อปิคนิคกัน เสียงดังวุ่นวาย รอบๆก็สกปรก เราอุตส่าห์เดินไปรอบๆ ขึ้นบันไดไปเพราะเหมือนจะเป็นบันไดเดินเข้าสวนพฤกษชาติอะไรทำนองนั้น แต่มันไม่ใช่ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น งงอยู่ว่ารถที่จอดอยู่มากมายเขามาทำอะไรกัน แค่มานั่งในเต๊นท์เนี่ยนะ แล้วซื้อฮอทดอกขนมปังหน้าตาแย่ๆจากรถที่จอดขายอยู่เนี่ยนะ ตัดสินใจว่าถอยยยยดีกว่า ไม่อาววววดีกว่า เสียเวลา ขับรถตรงไป Mdina ดีกว่า เดี๋ยวเวลาหมดอดที่ตั้งใจมาเที่ยวจริงๆ
ทีนี้พอมาถึง Mdina จึงเข้าใจว่ามันเป็นดังนี้ Mdina คือส่วนเฉพาะเมืองเก่าโบราณที่มีกำแพงคูเมืองล้อมรอบ เล็กจิ๋วนิดเดียว มีพลเมืองแค่ 300 คน และเป็นถนนคนเดินทั้งเมือง รถอนุญาตให้เข้าเฉพาะคนที่อยู่ข้างในและกรณีพิเศษ ส่วนเมืองและตึกรามน่ารักรวมทั้งสถานที่เที่ยวสำคัญทั้งหลายที่อยู่นอกกำแพงเมืองนั้นคืออยู่ในเขตเมือง Rabat เราไปถึงก็ต้องจอดรถในที่จอดหรือข้างถนนซึ่งนับเป็นเมือง Rabat แหม ไอ้เราก็งง ไปกดกูเกิ้ลให้พาไป Rabat center กลายเป็นว่าตรงนั้นไม่มีอะไร ทีนี้ใครจะไปเที่ยวทราบแล้วนะคะ
ที่แรกที่เราแวะชมคือ Domus Romana เป็นบ้านโรมันที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดที่หลงเหลือมาให้เห็น ความงามของบ้านโรมันนี้คือกระเบื้องโมเสคจิ๋วที่นำมาเรียงกันบนพื้นเป็นรูปภาพ สวยงามละเอียดยิบอย่างกับพรม ฉันชอบโมเสคของโรมันมากๆ เคยเห็นที่อลังการที่สุดคือที่จอร์แดน กับที่ Sicily หลังจากนั้นที่ไหนมีให้ชมต้องเข้าชมเสมอ ที่บ้านนี้มีโมเสคให้ดู 3ห้อง ห้องคอร์ทยาร์ดในบ้านมีเสาโรมันรอบและเปิดหลังคาโล่งที่เรียกว่า Peristyle ห้องทานข้าวและห้องรับแขกทำธุรกิจ ถึงจะกร่อนพังและต้องบูรณะแต่ก็ยังเห็นหลักฐานของอารยธรรมและฝีมือโบราณอย่างชวนให้ทึ่ง เขาว่าโมเสคที่นี่คือหนึ่งที่สวยที่สุดในยุโรปทีเดียว บ้านนี้ขนาดไม่ใหญ่ ใช้เวลาชมไม่นาน ใครชอบพวกซากปรักหักพังอย่างฉันนี่แนะนำให้แวะเลย
จากนั้นเราก็เดินไปตามตรอกซอกซอยผ่านตึกรามที่น่ารักของ Rabat ไปสถานที่ๆฉันอยากมาชมที่สุดของที่สุดในวันนี้ นั่นคือหลุมฝังศพใต้ดินโบราณอันทั้งใหญ่โตทั้งลึก St.Paul’s Catacombs นั่นเอง นี่คือไฮไลท์ของทริปสำหรับฉันเลยเพราะว่าเป็นคนชอบสุสานและหลุมศพ (คุกด้วย) อย่างมากถึงมากที่สุด ไปเที่ยวไหนถ้าได้เยี่ยมชมสุสานไม่ว่าจะแบบสมัยใหม่อยู่บนดินหรือแบบโบราณที่ขุดเจาะลงไปใต้ดิน หรือจะเป็นปีระมิด หรือหอคอยแบบที่ซีเรีย ขอให้เป็นอะไรที่เกี่ยวกับหลุมศพและสุสานเถอะฉันเป็นตื่นเต้นคึกคักอยากจะไปทุกที ยิ่งเป็น Catacombs ซึ่งคือหลุมศพที่เขาขุดทะลวงลงไปในดินเป็นห้องต่อๆกันไปเหมือนรังมด เก็บศพสะสมกันไว้นานหลายปีหรือบางทีก็เป็นศตวรรษ รวมแล้วเป็นหมื่นเป็นแสนหลุม โอ้ยแบบนี้ยิ่งชอบมาก เคยไปเดินดูที่โรม อันนั้นลงไปลึกแคบและมืด เพราะคนโบราณเขาขุดเพิ่มเติมลึกลงไปๆ บรรยากาศแลดูลึกลับวังเวงมากเลย ติดใจจนอยากจะไปดู Catacombs เสียทุกที่เลย
ที่ St.Paul’s Catacombs นี่ถึงจะไม่ใหญ่เท่าที่โรมแต่ก็ใหญ่ที่สุดในมอลต้าเลยทีเดียว ฉันพยายามหาข้อมูลว่ามีทั้งหมดกี่หลุมแต่ก็หาไม่ได้เลย รู้แต่ว่าทั้งหมดกินพื้นที่ประมาณ 2000 ตารางเมตร มีทางลงใต้ดินทั้งหมดประมาณ 30 ทางลงซึ่งเหมือนเป็นถ้ำใต้ดินที่นำไปสู่หลุมฝังศพที่มีจำนวนมากน้อยต่างกันไป ดีไซน์การออกแบบก็ต่างกันไปด้วยเพราะมีทั้งที่ฝังศพของชาวโรมันที่เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 และต่อมามีของชาวยิวด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากภาพที่แกะอยู่ในผนังเป็นรูปเชิงเทียนเจ็ดก้านอันเป็นสัญลักษณ์ของศาสนายิว ลักษณะของหลุมก็มีทั้งแบบเจาะเข้าไปในผนัง แบบขุดลงไปในพื้น แต่ที่สวยดูโออ่ามากที่สุดน่าจะเป็นแบบที่มีเสาสี่เสาขึ้นมาเหมือนกับเตียงสี่เสา
วันที่เราไปนั้นเขาเปิดให้ชมไม่ครบทุกกลุ่มถ้ำ (ปกติจะเปิดประมาณแค่ 20 อยู่แล้ว) ไม่ได้เปิดทั้งหมดเพราะวันก่อนหน้าฝนตกหนัก บางถ้ำจึงมีน้ำท่วม เจ้าหน้าที่บอกว่าวันไหนจะเปิดให้ดูถ้ำไหนได้บ้างก็ต้องพิจารณากันเฉพาะวันไปเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ แต่แค่นี้ก็วิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดกันจนได้เหงื่อพอสมควรแล้ว ฉันสนุกมากเลย บางถ้ำลงไปมากกว่าหนึ่งครั้งเพราะว่าครั้งแรกลงไปไม่เห็นจุดที่เขาจะให้ชม เช่นภาพวาดหรือรอยแกะสลัก น่าแปลกใจที่คนที่ไปเที่ยวชมที่นี่มีไม่มากเลย น้อยขนาดที่ว่าส่วนมากในหนึ่งถ้ำจะมีฉันเดินลงไปชมอยู่คนเดียวไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยเลย (สามีเดินดูได้ครึ่งเดียวก็เริ่มลงบ้างไม่ลงบ้างแล้วเพราะเบื่อ) บังเอิญว่าฉันเป็นคนไม่กลัวอะไรและจิตแข็งมากๆเลยไม่เดือดร้อน ตอนนั้นสนุกอย่างเดียวไม่ได้คิดกลัวอะไรเลย แถมบางทีลงไปอยู่นานเกิน ไฟซึ่งจะเปิดปิดอัตโนมัติก็ดับลง ต้องคลำหาทางเดินออกมาแล้วเดินลงไปใหม่ แถมในถ้ำหนึ่งอยู่ดีๆมีแมวดำกระโดดข้ามหลุมศพออกมาเสียอีก นี่ถ้าเป็นเพื่อนฉันบางคนคงจะร้องกรี๊ดลั่นไปแล้ว
คลิป เดินชมสุสานใต้ดินโบราณ St.Paul’s Catacombs ที่ Malta 1
เดินชมสุสานใต้ดินโบราณ St.Paul’s Catacombs ที่ Malta 2
สำรวจโลกใต้พิภพจนฉ่ำใจแล้วก็เดินมาสำรวจ Mdina เมืองที่เก่าแก่ย้อนไปถึงช่วง 8 ศตวรรษก่อนคริสตศักราช และเป็นเมืองหลวงของมอลต้ามาจนถึงยุคกลาง ด้วยความที่มีอายุเก่าแก่ถึง 3000 ปีนี่เอง เมืองนี้จึงผ่านการปกครองมาหลายอารยธรรม นับตั้งแต่ที่เมืองถูกก่อตั้งโดยชาว Phoenicianมาถึงโรมันและอาหรับซึ่งชื่อเมือง Mdina ปัจจุบันก็เป็นชื่อที่ตั้งจากคำว่า Medina ในภาษาอาหรับนั่นเอง หลังจากยุคกลางแล้วเมืองนี้ก็เริ่มเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ แล้วเมืองหลวงก็ย้ายไปอยู่ที่ Valletta แทน แต่ว่าตระกูลคนชั้นสูงทั้งหลายก็ยังคงอยู่ในเมืองนี้สืบต่อกันมา บางทีจึงเรียกเมืองนี้ว่า Città Notabile และด้วยพลเมืองที่น้อยเพียงแค่ 300 คนจึงทำให้เมืองดูเรียบโก้สะอาดและเงียบเชียบจนได้ชื่อเล่นว่า Silent City
Mdina นี้รอขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกโดยยูเนสโก้อยู่ แต่ที่ทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียงโด่งดังและมีนักท่องเที่ยวมามากขึ้นก็คงเป็นเพราะใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรี่ย์เรื่อง Game of Thrones นั่นเอง
สำหรับฉันไม่ใช่สาวก Game of Thrones จึงชื่นชมเมืองนี้ในแบบที่มันเป็นเมืองเก่าของตัวมันเอง ไม่มีจุดอ้างอิงอะไรจากหนังซีรี่ย์ แค่ทางเดินที่พาดคูเมืองเข้าไปสู่ประตูเมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการที่ล้อมเมืองเอาไว้ทั้งเมืองก็สวยโก้อลังการจนต้องรีบสาวเท้าเดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว ถนนหนทางตึกอาคารแลดูเป็นสีบลอนด์ไปหมด แดดยามเย็นที่ทอดมาสะท้อนให้เป็นสีทองไปหมดทุกตึกทุกกำแพงสวยมากจริงๆ สถาปัตยกรรมที่เห็นปัจจุบันผสมปนกันระหว่าง Norman และ Baroque และยังมีกลิ่นอายของความเป็นยุคกลางอยู่ สถานที่หลักที่ต้องไปเยือนก็คือโบสถ์ St. Paul’s Cathedral ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์อยู่ติดกัน แค่ก้าวเข้าไปในโบสถ์ก็ต้องอึ้งตะลึงงันแล้วค่ะด้วยความอลังการอย่างสุดๆของสถาปัตยกรรมและสีสัน โดยเฉพาะพื้นที่เต็มไปด้วยหินฝังศพโดยนำหินอ่อนมาปูเป็นลวดลายและแกะสลักชื่อและประวัติเอาไว้ เป็นแบบเดียวกับที่โบสถ์ St. John Co-Cathedral ใน Valletta แต่ไม่ได้สวยน้อยกว่ากันเลย โบสถ์นี้พลาดไม่ได้จริงๆ
นอกจากนี้ก็มี St. Agatha’s Chapel เสียดายที่เราไม่ได้เข้าเพราะตอนที่ไปนั้นเขาปิด แต่เนื่องจากเราหลงรักสถาปัตยกรรมของเมืองนี้เข้าอย่างมากมายจึงใช้เวลาเดินวนไปตามตรอกซอกเล็กซอกน้อยแทบจะครบทั่วทั้งเมืองจิ๋วในกำแพงป้อมปราการนี้ แค่เดินไปชมสถาปัตยกรรมไปก็อิ่มใจแล้ว ถึงฝนตกเราก็ไม่ย่นย่อ จนกระทั่งอาทิตย์อัสดงทาเมืองทั้งเมืองให้เป็นสีส้มแดง และในที่สุดเมื่อความมืดมาเยือน ไฟสีเหลืองที่จุดไว้ตามอาคารบ้านเรือนและถนนก็ยิ่งทาอาบให้เมืองทั้งเมืองเป็นสีทองสวยขลังมลังเมลืองไปอีกแบบ เราไม่อยากกลับเลย แวะทานอาหารเย็นที่ร้านในกำแพงเมืองนั่นเอง เป็นร้านที่อ่านเจอมาว่าอร่อย แล้วก็ถูกใจจริงๆ ร้านเล็กเมนูไม่เยอะแต่สมควรไปทาน
มาเยือนประเทศมอลต้าสั้นๆและได้ชมเมืองในเกาะใต้นี้ไม่กี่เมือง สำหรับเรา ลงความเห็นกันว่าเราชอบ Mdina ที่สุด โดยที่เราไม่รู้เลยว่าภาพที่เห็นนั้นมันไปปรากฏใน Game of Thrones อย่างไร เราหลงรักความเก่า สถาปัตยกรรมที่สวยงาม และความเข้มข้นของประวัติศาสตร์ด้วยตัวมันเอง
หมายเหตุ ลืมเล่าเกี่ยวกับ St. John Co-Cathedral เอาเป็นว่านี่คือโบสถ์แคทอลิกที่โอ่อ่าอลังการและสวยที่สุดในมอลต้า เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโร้คที่งามที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป วิจิตรหยดย้อยสุดบรรยาย สร้างอุทิศให้ Saint John the Baptist นอกจากความงามของสถาปัตยกรรมแล้ว ยังมีรูปวาด The Beheading of Saint John the Baptist โดยศิลปินเอก Caravaggio อยู่ด้วย เป็นภาพเดียวที่เขาเซ็นต์ชื่อ ใหญ่มาก ชมภาพเลยแล้วกัน
อ่านต่อเรื่องอาหารการกินว่าที่มอลต้าเขากินอะไรกันได้ที่นี่