สำหรับฝรั่งยุโรปนี้ พอถึงสัปดาห์ปิดเทอมเล็กกลางฤดูหนาวหรือ Sports holiday เขาจะพาครอบครัวและเด็กๆไปฝึกสกีเป็นประจำกันทุกปี โดยที่แต่ละครอบครัวหรือแต่ละกลุ่มเพื่อนฝูงก็จะมีที่ประจำของตัวเอง มีบ้านประจำ หรือโรงแรมประจำที่จองล่วงหน้ากันไปเลยเป็นปี ทุกปีก็จะหอบหิ้วกันไปตามนัด แต่สำหรับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของฉันเรานิยมเปลี่ยนที่สกีไปเรื่อยๆ หาบรรยากาศใหม่ๆไปกัน ทั้งฝรั่งเศส ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์

ตอนเด็กๆยังเล็กก็จับเข้าคลาสเรียนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ตื่นเช้าทุกคนทานข้าวด้วยกันแล้วก็ส่งเด็กเข้าคลาส ผู้ใหญ่ก็ไปสกีของตัว ตกบ่าย 2 เด็กเรียนเสร็จผู้ปกครองก็ไปรับที่จุดนัดพบบนเขา เด็กจะกินอาหารกลางวันมาเรียบร้อยแล้วเพราะค่าเรียนรวมอาหารอยู่แล้ว หลังจากนั้นเราก็จะพากันไปสกีที่อื่นๆด้วยกัน เรามักจะเล่นจนถึงเวลาใกล้ปิดเลยคือ 4 โมงครึ่งหรือ 5 โมงเย็น เรียกว่าวันหนึ่งเล่นยาวจริงๆ หลังจากนั้นก็จะกลับโรงแรมหรือบ้านหลังใหญ่ที่เช่าเอาไว้ สองปีที่ผ่านมาเราไปกับเพื่อนอีกสองครอบครัวซึ่งมีเด็กอายุใกล้ๆกันรวมทั้งหมดสี่คน ตกเย็นทุกคนก็จะมาดื่มแล้วลง Hot tub ด้วยกันก่อนทำอาหารเย็นทานกัน หรือบางวันก็ออกไปทานร้านอาหาร เรื่องการเลือกที่พักนี้สิ่งที่สำคัญมากสำหรับฉันคือ จะต้องมี Hot tub ให้แช่น้ำร้อนจัดกลางอากาศที่หนาวเพื่อจะได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อขาที่ใช้งานหนักมาทั้งวัน ไม่อย่างนั้นวันรุ่งขึ้นจะสกีไม่ไหวเลย อีกอย่างที่สำคัญคือ ที่พักต้องอยู่ไม่ไกลลิฟท์หรือกระเช้าตัวใดตัวหนึ่ง เพราะขี้เกียจเดินใส่รองเท้าสกีเทอะทะแบกอุปกรณ์ไกล เก็บแรงไว้เล่นสกีดีกว่าแบกหามนะ

ปีนี้เราเลือกไปสกีที่ Dolomites อันเป็นสถานที่ที่ฉันอยากจะมามากๆ ส่วนมากเราจะเห็นภาพของ Dolomites ตอนหน้าร้อนทุ่งหญ้าเขียวชะอุ่ม มีภูเขารูปร่างเป็นเอกลักษณ์ที่ดูปุ๊บก็ต้องรู้เลยว่าเป็นที่นี่อยู่เบื้องหลัง แต่คราวนี้เรามาเห็นในมุมที่แตกต่างเพราะเป็นฤดูหนาว ทุกอย่างขาวโพลนเต็มไปด้วยหิมะ ภูเขาสีน้ำตาลสลับสีขาวจึงสวยแปลกตาไปจากเดิม แต่บังเอิญเพื่อนเราอีกสองครอบครัวไปไม่ได้ ฉันจึงเลือกพักโรงแรมแทนที่จะเช่าบ้าน เป็นโรงแรมขนาดสามดาวซึ่งคุณภาพสี่ดาวคับจอคุ้มเงินมากๆ เดินแค่ 2 นาทีก็ถึงกระเช้าเลย และขากลับสามารถสกีปรู๊ดลงมาจอดหน้าโรงแรมได้เลย ห้องพักกว้างขวางนอนได้ทั้งครอบครัว สองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น มีระเบียงที่เปิดออกไปจับหิมะของลานสกีที่แล่นผ่านด้านหน้าได้เลย

ทุกอย่างใหม่กริ๊บสะอาด ตกแต่งแบบชาเล่ต์บนเขา น่ารักทีเดียว ราคาที่จ่ายจะรวมอาหารสองมื้อคือเช้าและเย็นไว้ด้วย เห็นอาหารแล้วตะลึงมากเพราะจัดหนักจัดเต็มทุกวัน มื้อเช้ามีครบทุกอย่าง ใครชอบกินอะไรมีหมด ที่สำคัญมีเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้ที่ใครอยากกินก็ไปทำเองสดๆตามชอบใจได้ด้วย อันนี้ถูกใจฉันมากเพราะปกติทำทานเองที่บ้านทุกวันอยู่แล้ว และมี Parma ham แท้จากเมืองพาร์ม่าให้ตักไม่อั้นถูกใจสุดๆ ตกเย็นเป็นมื้ออลังการห้าคอร์สทุกวัน โดยเริ่มที่บุฟเฟ่ต์สลัดและอาหารเรียกน้ำย่อยที่อร่อยและน่ากินทุกอย่าง จะว่าไปแค่บุฟเฟ่ต์เริ่มต้นก็อิ่มมากแล้ว ต้องอดใจไว้เพราะจะมีตามมาอีกหลายจาน การตกแต่งโต๊ะก็เปลี่ยน Themeไปทุกวัน ทำให้ได้เปลี่ยนบรรยากาศไม่ซ้ำซาก บางวันมีดนตรีสดมาเล่นให้ฟังด้วย บางวันมีบุฟเฟ่ต์อาหารทะเลเอิกเกริกมาก ที่นี่คือเขต Tyrol ซึ่งเสมือนเป็นลูกครึ่งของอิตาลีและออสเตรีย แต่อาหารส่วนใหญ่จะออกแนวออสเตรียมากกว่าอิตาเลียน เช่นมีขาหมูเยอรมัน เสิร์ฟมาเลยคนละหนึ่งขา มี Knödel หรือแป้งปั้นแบบออสเตรีย พาสต้าไม่ได้มีทุกวัน อันนี้เป็นเรื่องแปลกใจเพราะเตรียมดีใจเอาไว้ว่าคงจะได้กินอิตาเลียนทุกวันแน่ๆแต่กลับไม่ใช่ ต้องบอกว่าอาหารอร่อยและคุณภาพดีมากๆ ใช้ของคุณภาพดีเช่นเนื้อสเต็กจากกาลิเซีย หมูดำพอคชอปจากสเปน กุ้งกั้งตัวโตๆ ไม่คาดเลยว่าจ่ายค่าห้องแบบเหมารวมอาหารแล้วเขาจะจัดมาหรูหราเหมือนสั่งกินเองแบบนี้ คุ้มจริงๆ

ที่เด็ดอีกอย่างคือโรงแรมมี Wellness ด้วย ขนาดไม่ใหญ่แต่มีครบ ทั้งซาวน่า สตีม บ่อจากุซซี่ มีห้องนอนผ่อนคลายบนเตียงน้ำ มีสปานวด ทุกอย่างใหม่เอี่ยมและทำดีมาก แต่ที่นี่เขามีกฎว่าห้ามใส่เสื้อผ้าชุดว่ายน้ำ ทุกคนต้องเปลือยหมด เขาว่าเพื่อความสะอาดและเพื่อให้ได้ผลทางสุขภาพที่ดี เหงื่อระบายออกได้เต็มที่ ฉันชอบเวลเนสมากก็ต้องยอมโป๊ไปกับเขา คิดว่าทุกคนโป๊หมดก็จะเป็นไร น่าเกลียดเหมือนกันทุกคน

วันอังคาร พฤหัส และอาทิตย์โรงแรมจะมีรายการพิเศษ คือเขาจะแปลงห้องซาวน่าปกติให้เป็น Finnish sauna โดยที่ความพิเศษคือสามีภรรยาเจ้าของโรงแรม (อายุไม่มาก น่าจะเป็นลูกหรือน้องของครอบครัว ทั้งโรงแรมเห็นคนในครอบครัวเดินช่วยกันบริหารตามแผนกต่างๆทุกวัน น่าจะเป็นเคล็ดลับของความใส่ใจที่ทำให้รายละเอียดทุกอย่างของโรงแรมนี้เนี้ยบไปหมด) ทั้งสองคนจะสลับกันบริการในซาวน่าให้แขก คือมันแปลกมาก ฉันไม่เคยเจอมาก่อน ไม่รู้จะเรียกอย่างไร ขอเรียกมันว่า “ระบำผ้าเช็ดตัว”ก็แล้วกัน คืออย่างนี้ พอถึง 6 โมงเย็นเป๊งเขามาเชิญเราซึ่งรออยู่แล้วแถวจากุซซี่ไปเข้าห้องซาวน่า จัดที่นั่งให้ทุกคนนั่งกระจายกันแล้วอธิบายให้ฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็เริ่มกิจกรรมซาวน่าคือ เขาเปิดเพลง (มีลำโพงระบบเสียงอย่างดีอยู่ในซาวน่า) แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นโบกสะบัดร่ายรำตามจังหวะเพลง โดยมีจังหวะปัดผ้าเช็ดตัวนั้นผ่านพัดเอาลมร้อนสะบัดมาให้โดนตัวแขกอย่างถ้วนทั่วทุกคน ยิ่งนั่งนานเราก็รู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ และลมจากผ้าเช็ดตัวที่เขาแดนซ์สะบัดผ่านมาก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่รำอยู่นั้นมีบางช่วงเขาหยิบเอาลูกน้ำแข็งที่ปั้นเตรียมไว้กลมๆโยนลงไปในบ่อหินร้อนที่ระคุอยู่ ซึ่งพอเจอน้ำแข็งเข้าไปก็เกิดเสียงซู่ซ่าบิลท์อารมณ์ขึ้นไปอีก ไอน้ำจากน้ำแข็งพุ่งพวยขึ้นให้ห้องร้อนยิ่งขึ้น เขาก็รีบเอาผ้าเช็ดตัวรำสะบัดปัดไอร้อนนั้นผ่านวูบมาอาบรดตัวเราตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 8 นาที ยิ่งช่วงท้ายๆยิ่งฟาดน้ำแข็งลงไปในหินเสียงฟู่ฟ่าฉู่ฉี่แล้วมีการเร่งดนตรีให้โหมกระหน่ำดังยิ่งขึ้น พร้อมกับโบกสะบัดผ้าเช็ดตัวอย่างรวดเร็วร้อนแรงมากขึ้น ทุกคนเหงื่อออกกันพลั่กๆ ร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว ก็พอดีดนตรีโหมถึงโน๊ตสูงสุดแล้วจบฟาดลงแบบพีคสุดๆ พร้อมกับผู้แสดงรวบผ้าเช็ดตัวแล้วโค้งคำนับรับเสียงปรบมือ สำหรับเรารีบวิ่งออกจากห้องไปเปิดน้ำเย็นจัดราดตัวจนทั่วแล้วทยอยเดินกันออกไปยืนสูดอากาศกลางหิมะด้านนอก ขณะที่ดวงอาทิตย์ยอแสงเป็นสีส้มสาดรับลงหลังเทือกเขาที่คลุมด้วยหิมะ สวยและฟินสุดๆ บางคนก็ออกไปเดินเท้าเปล่าย่ำหิมะก่อนที่จะกลับเข้ามาพร้อมที่ห้องซาวน่าเพื่อรับบริการระบำผ้าเช็ดตัวอีกหนึ่งครั้ง ฉันเข้าซาวน่ามาเยอะ ทั้งแบบฟินนิชนี่ก็เคยเข้ามาหลายครั้งแต่ไม่เคยเจอระบำผ้าเช็ดตัวแบบนี้เลย สงสัยจนต้องเขียนไปถามเพื่อนที่อาศัยอยู่ในฟินแลนด์ว่าเคยเจอหรือไม่ เพื่อนบอกว่าไม่เคยเห็น แถมไปถามสามีชาวฟินนิชนางก็หัวเราะใหญ่แล้วบอกว่าไม่มีหรอก สงสัยโรงแรมนี้เค้าจะคิดขึ้นมาเอง ฉันเลยไปถามเขาก็บอกว่าเอามาดัดแปลงคิดขึ้นเอง เออช่างคิดจริงๆ ทั้งสบายตัวและได้ความบันเทิงไปด้วย ชอบมากๆ

ส่วนเรื่องสกีนั้น สองวันแรกอากาศยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ วันแรกเกล็ดหิมะและฝนโปรยลงมาตลอดโดนหน้าเจ็บมาก ยิ่งแล่นเร็วก็ยิ่งเจ็บ และทัศนวิสัยไม่ค่อยดี วันที่สองแดดออกฟ้ากระจ่างหน่อยแต่ลมก็แรงมาก พัดเอาหิมะฟุ้งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้มองไม่ค่อยเห็นทางข้างหน้าเท่าไหร่นัก บางจุดลมก็หมุนวนเหมือนพายุทอร์นาโด ดูดเอาผงหิมะม้วนขึ้นไปเป็นกรวยเลย ลมแรงมากๆชนิดที่เวลาเราสกีลงเนินแบบดิ่งลงมาซึ่งปกติจะต้องเร็วมากนั้นกลับช้าหนืดกว่าเดิมหลายเท่าเลย เป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ สกีสนุกอยู่ถึง 6 ชั่วโมง เขาที่นี่ถูกจริตฉันมากๆเลย

สกีไปได้ 3 วัน สนุกมากๆ สำรวจหลายภูเขามาได้สักครึ่งนึงแล้ว ที่สำคัญได้ค้นพบเส้นทางสกีที่ถูกจริตการสกีของฉันที่สุด จากโรงแรมที่พักขึ้นกระเช้าไปแค่สองต่อ มาถึงเส้นทางหมายเลข 2 ถูกใจจริงๆ มันยาวมาก ซิ่งได้ยาวโลดเลย และเป็นเส้นที่สลับกันทั้งแบบที่เป็นเนินชันกับทางที่ยาวเป็นไฮเวย์ ซึ่งลดเลี้ยวคดเคี้ยวไปตามป่าสนและภูเขาหิน เรียกว่าเป็นเส้นทางที่ทำความเร็วได้ระทึกใจแบบไม่ต้องเบรค แล้วยังได้ชมวิวสองข้างทางอย่างงดงามไปด้วยในตัว ติดใจมากๆ วันถัดมาเลยแล่นเส้น 2 นี้ซ้ำๆมันเส้นเดียวเลย 4-5 ชั่วโมง เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเส้นทางนี้มาให้ดูมากนัก สารภาพเลยว่าเพราะไม่อยากจอดถ่ายรูป อยากจะซิ่งอย่างเดียวแบบไม่เหยียบเบรกเลย

ส่วนภูเขาหินผาสูงอันเป็นสัญลักษณ์ของ Dolomites นี้ อยู่คนละฝั่งของโรงแรมที่ฉันอยู่ ซึ่งสามารถขึ้นรถไฟลอดใต้อุโมงค์ไปได้ หรือจะเดินต่อจากเส้นทางหมายเลข 2 ผ่านหมู่บ้าน St. Ulrich (หรืออีกชื่อ Ortisei) ไปก็ได้ และเราก็ได้ไปสกีตรงภูเขาหินผาตรงนั้นมาแล้วด้วย ไม่น่าเชื่อว่าวิวที่เคยเห็นไกลๆในรูป พอมาด้วยสกีแล้วเรามาอยู่ใกล้ชิดได้แบบถึงเนื้อถึงตัวเลย แม้ว่าลานสกีตรงนี้ไม่ค่อยกระตุ้นอะดรีนาลินมากเท่าจุดอื่นเพราะเป็นลานกว้างๆโล่งๆและความชันไม่มาก เล่นง่ายๆสบายๆเหมาะกับเด็กๆ

พอถึงวันที่ห้าก็เป็นกิจกรรมใหญ่ของทริป คือการสกีชมวิวโดยใช้เส้นทางที่เป็นที่นิยมที่สุดและขึ้นชื่อว่าเด็ดที่สุดของที่นี่ นั่นคือ Sella Ronda เส้นทางที่วนเป็นวงกลมรอบกลุ่มภูเขา Ronda group นั่นเอง ฉันใช้เวลาไป 4 ชั่วโมงจึงครบรอบ ไม่นับเวลาที่สกีไปและกลับจากโรงแรมอีก เพราะเราพักอยู่ที่เมือง Santa Cristina จึงต้องสกีบ้าง นั่งรถกระเช้าบ้าง นั่งรถไฟบ้างไปเริ่มเข้าเส้นทางนี้ที่เมือง Wolkenstein เส้นทางนี้จะสกีในทิศตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้ แต่เพื่อนเราที่เคยมาที่นี่หลายปีติดๆกันแนะนำให้สกีตามเข็มนาฬิกา เราจึงมุ่งหน้าไปทางเมือง Colfosco แล้วไป Corvara ไป Arabba วนมาที่ Pass Pordoi แล้วจึงปิดเส้นวงกลมที่เมือง Wolkenstein เช่นเดิม สรุปวันนี้สกีไปทั้งหมด 5 ชั่วโมงนิดๆ

สำหรับเส้นทางชมวิวเป็นวงกลม Sella Ronda นี้ ถ้าถามฉันก็จะบอกว่าชอบน้อยกว่าเส้นทางหมายเลข 2 เยอะเลย เพราะมันไม่ได้เป็นการสกีตลอดทางแต่จะต้องเปลี่ยนขึ้นกอนโดล่าบ้างกระเช้าเก้าอี้บ้าง สรุปคือสกีประมาณแค่ครึ่งทาง อีกครึ่งหนึ่งเป็นการนั่งลิฟท์แล้วก็ต้องถอดๆใส่ๆสกีแล้วแต่สภาพของลิฟต์ มันก็เลยไม่ได้ซิ่งยาวเท่าไหร่ เส้นทางส่วนมากเป็นเส้นสีแดงหรือระดับความยากปานกลาง และคนมาสำรวจเล่นที่เส้นทางนี้กันเยอะ ฉันก็เลยจะรำคาญต้องคอยหลบคนนิดหนึ่ง ไม่เหมือนเส้นทางหมายเลข 2 ที่ซิ่งยาวได้สะใจเพราะคนน้อย ส่วนวิวนั้นได้คะแนนไปสมราคาโฆษณา เพราะเราได้เห็นกลุ่มภูเขา Sella ครบทุกมุม 360 องศาเลย แล้ววันนี้ยังแดดดีวิวก็ยิ่งดี ได้เก็บรูปสวยๆมาเยอะ

ชีวิตสกีทั้งสัปดาห์มันก็จะซ้ำๆกันแบบนี้ ตื่นเช้าทานข้าว สกีจนเย็น กลับมาเข้าเวลล์เนส ดริ้งค์ ทานข้าวเย็น เม้าท์มอยคุยกับเพื่อนครอบครัว อ่านหนังสือนอน สำหรับเด็กๆเรียนไม่กี่ปีก็เก่ง ตอนหลังไม่ต้องเข้าคลาสแล้วก็จะไปด้วยกันได้ทั้งวัน ระหว่างวันก็มีการแยกกันบ้าง ใครชอบสกีตรงเขาลูกไหนก็ไปตามใจแล้วนัดเจอกันเป็นช่วงๆ กลางวันทานข้าวบนเขา ซึ่งมีร้านอาหารในกระท่อมอยู่มากมายทั้งแบบบริการตัวเองและแบบมีคนเสิร์ฟอย่างหรูหรา ส่วนช่วงบ่ายถ้าเหนื่อยก็พักดื่มกลูไวน์ร้อนๆ นั่งพักใจบนเก้าอี้เอนนอนชมวิวกลางหิมะ สำหรับคนที่ชอบปาร์ตี้ ช่วงบ่ายร้านอาหารและบาร์หลายที่ก็จะมี Apres Ski คือเปิดเพลงดังๆดื่มดริ้งค์แฮปปี้อาวร์ มีคนมารวมตัวกันปาร์ตี้ครึกครื้นมากมาย สำหรับคนโสดอันนี้ก็เป็นปาร์ตี้นัดพบเอาไว้ให้ปิ๊งกันได้อีก

เจ็ดวันผ่านไปไวเหมือนโกหก วันสุดท้ายทานข้าวเช้าเสร็จทุกคนก็เก็บของร่ำลาแล้วแยกย้ายกันเดินทางกลับบ้านของตัว นับวันรอว่าปีหน้าจะมารวมตัวเจอกันใหม่ สำหรับฉันปีนี้มีความพิเศษคือติดใจโรงแรมและสกีที่ Dolomites นี้มากจนเดินเข้าไปจองโรงแรมสำหรับปีหน้าเอาไว้เลย ชนะเลิศ

สรุปหลังจากสกีที่ Dolomites มาทั้งสัปดาห์ฟันธงเลยว่า Dolomites อิตาลีนี่แหละ ที่สกีที่ถูกจริตเหนือฟ้าที่สุด ยิ่งกว่าฝรั่งเศส ออสเตรีย หรือสวิตเซอร์แลนด์เสียอีก และไม่แน่…หน้าร้อนนี้ฉันอาจจะกลับมาเดินเขาชมความงามของ Dolomites ในหน้าร้อนก็ได้

บทแถม: St. Johann church โบสถ์น้อยที่ถูกถ่ายรูปลง Instagram มากที่สุดของ Dolomites

ระหว่างทางที่เราต้องขับรถกลับบ้านจาก Dolomites ไปซูริก เราจะต้อง (ไม่เชิง) ผ่านหมู่บ้านจิ๋วน่ารัก Santa Magdalena และเมือง Innsbruck เราจึงถือโอกาสแวะเที่ยวทั้งสองแห่งนี้เสียเลย

Santa Magdalena เป็นหมู่บ้านเล็กซึ่งไม่น่าจะมีอะไรมากเมื่อเทียบกับหมู่บ้านที่ใหญ่กว่าอื่นๆของ Dolomites แต่บังเอิญว่ามันมีโบสถ์จิ๋ว St. Johann church (หรือ San Giovanni ในภาษาอิตาเลียน) ที่ตั้งอยู่ตรงกลางลานกว้าง โดยมีป่าสนเขียวทึบและยอดเขาสีเทาของ Dolomites เป็นฉากหลัง ทำให้จุดนี้เหมือนฉากนิยายในฝันและถ่ายรูปขึ้นเป็นที่สุด โดยเฉพาะในหน้าร้อนที่สีสันของป่าเขียวเป็นเขียวและท้องฟ้าสีฟ้าเป็นฟ้าสด แต่เหนือฟ้าขอมาชมโลเคชั่นในฝันนี้ในฤดูที่แตกต่าง คือหน้าหนาวที่พื้นดินเป็นสีขาวโพลน และแทนที่จะขับรถมาจอดและเดินเข้ามาดูง่ายๆ ฉันเลือกจอดรถแล้วเดิน hiking พอเหงื่อออกเบาๆในเวลาครึ่งชั่วโมง จากลานจอดรถเดินผ่านเส้นทางถนนโลคอลที่ขึ้นไปที่โบสถ์ Santa Magdalena แล้ว hike ทางเท้าคนเดินฝ่าหิมะผ่านหมู่บ้านตัดอ้อมมาถึงโบสถ์ St. Johann แทน มันต้องมีความยากลำบากและพยายามนิดหน่อยเพื่อที่จะมาถึงจุดเช็กอินในฝันถึงจะเรียกว่าเที่ยวเหนือฟ้าค่ะ

แล้วผลก็ออกมาสวยงามตามท้องเรื่องอย่างที่เห็น มันเป็นฉากถ่ายรูปในฝันจริงๆ ฉันยังค้นพบอีกว่าในบริเวณนี้มีโรงแรมเล็กๆมากมายสำหรับคนที่อยากเที่ยวแบบธรรมชาติ จึงตั้งใจว่าหน้าร้อนคงจะต้องวางแผนมาพักแถวนี้แล้วเดิน hiking เข้าป่าเสียหน่อย เชื่อว่าถ้ากลับมาที่โบสถ์ St. Johann นี้อีกในหน้าร้อนคงจะได้ภาพที่สดใสคมชัดสีจัดจ้านยิ่งกว่านี้แน่นอน

NO COMMENTS