Granada แปลว่าทับทิม วันนี้จะพาเที่ยวและเล่าเรื่องแม่ทับทิมแห่งแคว้น Andalucia ของสเปนให้ฟัง
ฉันเคยมาสเปนหลายหนมากๆ ไปมาหลายทิศแล้ว เกาะ Mallorca ก็ 2 หน แต่ยังไม่เคยลงไปถึงทางใต้สุดเสียที ทั้งๆที่ทางนี้มีสถานที่สำคัญขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก UNESCO World Heritage สองแห่งที่ฉันอยากจะมาเห็นเป็นบุญตาเหลือเกิน พอดี 2 เดือนก่อนสวิสแอร์มีโปรโมชั่นคว้าได้ไฟลท์ถูกในวันหยุดสัปดาห์ยาว 3 วันพอดี (มันน้อยไปหน่อยนะจะว่าไปแล้ว) เลยจัดเสียเลย ถึงวันน้อยก็กลั้นใจว่า เอาน่ะ ดีกว่าไม่ได้มาเสียที จึงจัดทริปแบบเจาะเฉพาะ 2 ที่สำคัญ ไม่ต้องเที่ยวให้ปรุนักก็ได้คราวนี้ เมืองแรกที่มาจึงเป็นกรานาด้า แม่ทับทิมนี้ เพราะฉันจะไปชม Alhambra มรดกโลก ที่บางสำนักถึงกับยกให้เป็น 1ใน 50 สถานที่ในโลกนี้ที่ต้องไปเยือนก่อนตายทีเดียว
แต่ก่อนไปชม Alhambra ขอพาเที่ยวในตัวเมืองทับทิมก่อน ฉันมีเวลาแค่ 7-8 ชั่วโมงในการชมเมือง แล้วในเมืองมันก็มีย่านให้เดินชมหลายย่านด้วยสิ ถ้างั้นก็จองโรงแรมที่อยู่ในเมืองกันเลย เช่ารถขับมาถึงโรงแรมแล้วให้เขาเอาไปจอดเก็บเลย 24 ชม. จากนี้ก็เตรียมลุยเดินด้วยสองเท้าเราที่สร้างโลกนี่แหละ จะได้เจาะเมืองให้มากสุดในเวลาจำกัด อากาศฤดูรอยต่อเข้าใบไม้ผลินี่ไม่เป็นใจเลยจริงๆ ฝนตกพรำๆตลอด แต่เราหยุดไม่ได้ เวลามีจำกัด จึงสวมเสื้อฝนพร้อมร่ม รองเท้าผ้าใบกันน้ำ กางแผนที่ แล้วลุยแบบรองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆเลย
โรงแรมเราอยู่ใจกลางเมือง โดยรอบผสมผสานอาคารเก่าและใหม่ เห็นว่าผู้คนใช้ชีวิตวิถีปัจจุบันกันย่านนี้ แต่ก็มีอาคารเก่าแทรกอยู่ตลอดและมีนักท่องเที่ยวเดินเล่นปนกันไปกับคนท้องถิ่น ตัวโรงแรมเราเองก็เหมือนจะเป็นวังเก่า เดินไม่กี่นาทีก็ถึง Cathedral โบสถ์ประจำเมือง ดีเลย…ขอเป็นที่หลบฝนไปในตัว ช่างโชคดีตอนที่เข้าไปชมเขามีการซ้อมร้องเพลงพอดี ท่าทางจะเป็นวงใหญ่งานสำคัญ เพราะมากๆ ให้อารมณ์ชมโบสถ์สำคัญแบบมีดนตรีประกอบบิลท์อารมณ์ไปด้วย ออร์แกนทองอร่ามแสนสวยเลยได้อวดเสียงกังวานให้เราฟังว่าทั้งสวยทั้งเพราะ โบสถ์นี้สร้างสวมทับมหามัสยิดเก่าของราชวงศ์ Nasrid มุสลิมที่เคยปกครองกรานาด้า และมอบแม่ทับทิมคืนให้ราชวงศ์สเปนในปี 1492ซึ่งต่อมาร่ำรวยจากการทรัพย์สมบัติที่ค้นพบในละตินอเมริกาและกลายเป็นจักรวรรดิที่ไพศาลมาก พอได้กรานาด้ามาและพระราชวงศ์ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วจึงต้องสร้างโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่ให้สมฐานะ เดิมแบบจะสร้างแบบโกธิค แต่เปลี่ยนสถาปนิกไปหลายคน กลายมาเป็นเรอเนสซองส์ แล้วตอนหลังมีบาโร้คปนเข้าไปอีก แต่ก็สวยอลังการไม่ขัดเขิน จะว่าไปแล้วเรื่องความงามของโบสถ์นี้ฉันว่าอิตาลีกินสเปนขาด ทางนั้นงามแบบทุ่มสุดตัว
จากโบสถ์เราก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ มาถึงลาน Plaza Nueva (แปลว่าจตุรัสใหม่ แต่จริงๆเป็นจัตุรัสที่เก่าที่สุดของเมือง และถือเป็นใจกลางของแม่ทับทิม) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนน Carrera del Darro ที่เขาว่าสวยที่สุดในเมือง มันน่ารักจริงๆด้วย เป็นถนนคนเดินปูหินโบราณ (ที่เดี๋ยวๆก็มีรถแล่นเข้ามาให้กระโดดหลบ) เลียบแม่น้ำ Darro (ที่ดูเหมือนลำธารมากกว่า) อาคารตลอดถนนเป็นอาคารเก่าโบราณ บ้างเป็นร้านค้า บ้างเป็นพิพิธภัณฑ์ หรือบ้านคน ฉันอดสอดส่องสายตาเข้าไปชมไม่ได้ถ้าเขาเปิดไว้ให้ชม แม่น้ำดาโร่นี้ไหลกั้นระหว่าง Alhambra ที่อยู่บนเนินสูงกับย่าน Albaicín ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นกัน เดินไปตามถนนจึงเห็นทั้ง Alhambra สวยตระหง่านอยู่ทางขวา กับตรอกซอกซอยที่เห็นอาคารบ้านเรือนน่ารักของ Albaicín อยู่ทางซ้าย และยังมีสะพานหินโบราณข้ามแม่น้ำเชื่อมสองฝั่ง น่ารักสบายๆในสายฝน
พอเดินพ้นถนน Darro เราก็มุ่งหน้าเข้าสู่ย่าน Sacromonte ก่อน ย่านนี้เป็นย่านโบราณมานานเช่นกัน พวกยิปซีมาอยู่โดยขุดภูเขาเจาะเข้าไปเป็นถ้ำแล้วทำเป็นบ้าน บรรดาบ้านที่เรียงรายริมถนนนั้นเป็นสีขาวทั้งหมด บ้างแปลงมาเป็นร้านอาหาร บาร์ เพราะย่านนี้ถือเป็นถิ่นของระบำ Flamenco และดนตรี เดินไปก็จะได้ยินเสียงกีตาร์ เสียงดนตรี บ้านถ้ำสีขาวนี้ตกแต่งแบบยิปซี มีสีสันสดใสด้วยดอกไม้ กระถาง กระเบื้องประดับ ฯลฯ เพดานด้านในบ้านเป็นเหมือนเพดานถ้ำโค้งๆโบกปูนขาว ที่รู้เพราะมองเข้าไปเห็น และมีบาร์หนึ่งเปิดดนตรีคึกคักดังลั่นแต่หัววัน คนเข้าไปดื่มเต้นกันแน่น ฉันก็เลยเดินเข้าไปชมเสียหน่อยตามประสาคนสอดรู้สอดเห็น
จากย่านยิปซีนี้เดินต่อไปย่าน Albaicín หรือ Albayzín ที่ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้เลย ทีนี้เริ่มตื่นเต้นแล้ว เพราะมันเป็นแบบที่แนวเหนือฟ้าชอบเลย ย่านนี้เป็นบริเวณที่เก่าแก่โบราณที่สุดของเมืองทับทิม โดยเป็นที่อยู่ของพวกอาหรับเก่า ทั้งย่านอยู่บนเนินเขา จึงต้องเดินไต่บันไดปูด้วยหินโบราณขึ้นๆลงๆ ใครเดินไม่อึดจะยากนิด ถนนเล็กลัดเลาะวกวนไปมาระหว่างบ้านคน มีร้านอาหารบ้างนิดหน่อย มีโบสถ์ เดินไปคอด๊อกแด๊กหันไปมาเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวาเพราะว่ามันตื่นตาตื่นใจน่าชมไปหมด แล้วยิ่งพอมาถึงจุดชมวิวที่เป็นลานข้างบน คือ Mirador San Nicolás ว้าว คุ้มที่เหนื่อยเดินไต่ขึ้นมาอย่างมาก มองข้ามแม่น้ำและเมืองที่อยู่ด้านล่างไปฝั่งโน้นเห็น Alhambra สวยงามตั้งตระหง่าน ยั่วยวนใจให้เข้าไปชมข้างในในวันพรุ่งนี้จริงๆ และยังเห็นเทือกเขาที่มีหิมะขาวปกคลุมเป็นทิวเหมือนฉากหลัง นี่คือ Sierra Nevada อาณาบริเวณทางตอนใต้ของสเปนที่เป็นเทือกเขาสูงและเป็นบริเวณที่สกีได้ทั้งๆที่อยู่ไม่ไกลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ภูมิประเทศแถวนี้ช่างแปลกและโดดเด่นจริง สุลต่านอาหรับในสมัยโบราณจึงเลือกมาตั้งเมืองหลวงอยู่ที่นี่เพื่อปกครองอาณาจักรนั่นเอง
ได้ชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวแล้วก็เดินสำรวจย่านนี้ต่ออีกหน่อยเพราะตรอกเล็กซอยน้อยนี้มันช่างน่าเดินสำรวจไปทุกมุม ผ่านไปชมกำแพงโบราณแล้วทะลุออกไป Plaza Larga เป็นลานขนาดเล็กกะทัดรัดล้อมรอบด้วยตึกจุ๋มจิ๋มแล้วมีร้านอาหารอยู่ด้านหนึ่ง เห็นแล้วหลงรักเลย ไม่แปลกที่บางคนว่านี่คือลานที่น่ารักที่สุดในย่าน Albaicín นี้ เห็นว่าทุกเช้าวันเสาร์ตรงนี้มีตลาดของเก่าด้วย
เราเดินลัดเลาะต่อไปอีก ฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมามากขึ้น ก็พอดีกับที่เราเดินผ่านหน้าร้านอาหารร้านหนึ่งแล้วผู้หญิงหน้าร้านพูดเชิญชวนให้เข้าไปในร้าน บอกว่ากำลังมีการแสดงระบำ Flamenco เพิ่งเริ่มแสดงแต่ยังมีที่นั่งเหลือ ราคาค่าชมหัวละ 20 ยูโร ให้เราเข้าไปดูก่อนได้ ถ้าไม่ชอบก็ออกมาไม่ต้องจ่ายเงิน ไหนๆข้างนอกก็เปียกปอนขนาดนี้ แล้วก็ได้เวลากิน Tapas เรียกน้ำย่อยก่อนอาหารเย็นพอดี เราจึงตกลงใจเข้าไปชม และก็ไม่ผิดหวัง วงนี้แสดงได้ดีมากทีเดียว
วันต่อมาเป็นวันที่ตื่นเต้นเพราะจะได้เข้าชมสถานที่อันน่าตะลึงตึงตึงและมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของแม่ทับทิม Granada นั่นก็คือ Alhambra มรดกโลกโดย UNESCO และสถานที่ๆใครบางคนบอกว่าต้องไปเห็นให้ได้ก่อนตายนั่นเอง
Alhambra ถูกสร้างแต่ครั้งแรกในศตวรรษที่เก้าเพื่อเป็นป้อมปราการขนาดไม่ใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงศตวรรษที่ 13 กษัตริย์ของ Nasrid หรือแขกมัวร์ที่ปกครองสเปนในช่วงนั้นมาสร้างพระราชวังประทับ ขยายทั้งบริเวณจนใหญ่โต และยังมีส่วนบริเวณให้ทหารข้าราชการผู้ใหญ่อาศัยอยู่ด้วย และใช้เป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันดูแลเมืองกรานาด้าอย่างขึงขังน่าเกรง
อันที่จริงก่อนไปเที่ยวสเปนทริปนี้ฉันเคยสงสัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสเปนมาพักหนึ่งแล้วแต่ไม่ได้หาคำตอบ คือฉันสงสัยว่า สเปนเคยถูกปกครองด้วยแขกมัวร์อยู่ถึง 800 กว่าปี มีมรดกโลกให้เราเห็นและมีร่องรอยวัฒนธรรมหลงเหลือมาให้เห็นในสถาปัตยกรรมหลายแห่งจนทุกวันนี้ แต่ที่เรารู้กันดีก็คือสเปนได้แผ่อำนาจไพศาลไปยึดละตินอเมริกาทั้งทวีปเป็นเมืองขึ้น จนแทบจะทั้งทวีปพูดภาษาสเปนกันมาจนถึงบัดนี้ ทำไมการที่สเปนยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนั้นแต่กลับถูกปกครองด้วยแขกมัวร์ในอดีตโดยที่แขกมัวร์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองขึ้นต่างๆที่สเปนไปยึดมาเลย ได้มาเที่ยวเมืองแม่ทับทิมครั้งนี้จึงได้คำตอบไขข้อข้องใจจนหมดเปลือกเลย
ในสมัยโบราณนั้นประเทศยังไม่ได้แบ่งเป็นประเทศอย่างเช่นปัจจุบันนี้ พวกแขกมัวร์หรือราชวงศ์ Nasrid ได้ปกครองทางตอนใต้ของสเปนอย่างกว้างขวางและก็ได้มีสงครามต่อสู้กับพวกเจ้าของสเปนผู้ซึ่งอยากจะแย่งชิงดินแดนแห่งนี้มาตลอดยาวนาน จนในที่สุดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 1492 สุลต่านของนาสริดก็ยอมแพ้มอบทางดินแดนทางใต้ทั้งหมดให้กษัตริย์ของสเปน ซึ่งตอนนั้นคือพระราชินีอิซาเบลล่าและพระราชาเฟอร์ดินานด์ แล้วพวกแขกมัวร์ก็อพยพออกไปจากนอกคาบสมุทรไอบีเรีย พระราชาพระราชินีมาเห็นความยิ่งใหญ่และสวยงามของ Alhambra ก็ตัดสินใจย้ายวังมาประทับอยู่เป็นหลักที่นี่ ทีนี้เมื่อหมดปัญหาการต่อสู้รบฟันภายในราชอาณาจักรบนคาบสมุทรไอบีเรียแล้ว สเปนก็มีเรี่ยวแรงและกำลังที่จะขยายอำนาจกว้างขวางออกไปนอกยุโรป ถ้าจำกันได้ ปีที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสได้ค้นพบอเมริกาก็คือปี 1492 ปีเดียวกันนั้นเอง ใช่แล้ว โคลัมบัสมีความฝันอยากจะสำรวจโลกและวางแผนมานานแล้ว และก็ในปี 1492 นั้นเองที่เขาได้เข้าเฝ้าอิซาเบลล่าและเฟอร์ดินานด์เพื่อขอพระราชทานการสนับสนุนการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเขา ซึ่งได้กลายมาเป็นเดินทางอันยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกจากการที่เขาค้นพบอเมริกา สถานที่ที่โคลัมบัสได้เข้าเฝ้าและได้รับพระราชทานการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากพระราชาเฟอร์ดินานด์และพระราชินีอิซาเบลล่านั่นก็คือ Alhambra แห่งนี้นี่เอง
ว้าว นอกจากจะได้รู้ความสำคัญของ Alhambra เพิ่มขึ้นอีกอย่างแล้ว ฉันยังกระจ่างใจเลยด้วยว่า ที่แท้แขกมัวร์ได้มอบแผ่นดินคืนให้สเปนแล้วนั่นเองก่อนที่สเปนจะโล้สำเภาออกไปยึดโลก นี่ถ้าสงครามกับแขกมัวร์จะยังไม่จบสิ้น ประวัติศาสตร์โลกและพื้นแผ่นดินละตินอเมริกาในปัจจุบันนี้จะเป็นอย่างไรหนอ น่าสงสัยจริงๆ
กลับมาชม Alhambra อันน่าอัศจรรย์กันต่อ ใครวางแผนไปเที่ยวบอกเลยว่าควรเผื่อเวลาชมไว้อย่างต่ำ 3 ชั่วโมง ด้านในเป็นพื้นที่ที่กว้างขวางมากๆและมีอะไรให้ชมมากมาย ส่วนแรกที่สวยจนได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลกเลยก็คือ Generalife เป็นบริเวณพักผ่อนของราชวงศ์นาสริด จึงมีสวนที่สร้างโดยมีอิทธิพลอารมณ์ของความเป็นแขกอยู่เยอะเลย มีบ่อน้ำและน้ำพุไหลทั่วไปในพื้นที่ การตัดแต่งต้นไม้ก็สวยงามมาก มีทั้งส่วนที่เป็นสวนด้านนอกและส่วนที่เป็นสวนในคอร์ทยาร์ดของวัง อันนี้ฉันชอบมากเพราะเป็นคนคลั่งสถาปัตยกรรมแขกอยู่แล้ว และโดยเฉพาะอาคารอะไรที่มีคอร์ทยาร์ดและมีสวนพร้อมน้ำอยู่ด้วยนี้โดนสุดๆเลย ก็เลยเพลิดเพลินเจริญใจกับ Generalife มากๆ และประทับใจมากกับการทดน้ำให้ไหลลงมาตามขั้นบันไดและราวบันไดปูนในสวน เห็นแล้วอยากจะกลับมาทำสวนแบบนี้ที่บ้านบ้างจริงๆ
จากสวนซึ่งใหญ่และวกวนคดเคี้ยวมากมาย ต้องเดินมาอีกไกลพอสมควรจึงถึงส่วนที่เป็นตัววังและป้อมปราการ เราเข้าไปดูในตัวป้อมหรือ Alcazaba ก่อน ตรงนี้จำเป็นต้องจะมองเห็นไปกว้างไกลด้วยวัตถุประสงค์ในการป้องกันเมืองในสมัยก่อน แต่สำหรับวันนี้ มันกลายเป็นจุดชมวิวที่เห็นวิวเมืองแม่ทับทิมทั้งเมืองอย่างสวยงามอยู่หลายจุดเลย และยังสามารถมองออกไปไกลเห็น Sierra Nevada ที่มีบรรดาเทือกเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวอยู่บนยอดด้วย แนะนำให้เดินไปบันไดขึ้นหอคอยไปจนถึงจุดสูงสุดที่มีธงปลิวไสวอยู่ ไหนๆมาแล้วต้องไปให้สุดไปเลย
ในบริเวณนี้ยังมีวังอีกแห่งหนึ่งคือ Palace of Charles V เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ที่จักรพรรดิชาร์ลส์ที่ห้าแห่งโรมันมาสร้างเอาไว้ในภายหลังด้วยอยากจะมีวังที่โอ่อาอลังการของตัวเอง ความสวยงามอยู่ตรงที่ลานรูปทรงกลมขนาดใหญ่ซึ่งมีเสา Doric เรียงรายโค้งรับระเบียงสองชั้นอยู่เป็นแถว ภายในอาคารมีพิพิธภัณฑ์แต่เราไม่ได้เข้าชม ต้องตัดใจเพราะถึงเวลาที่เราจองไว้เพื่อจะเข้าชมพระราชวัง Nasrid เขาเคร่งครัดมากว่าจะต้องไปเข้าคิวที่ประตูก่อนเวลา 5 นาทีและจะไม่ยอมให้เข้าชมผิดเวลาไปจากที่จองมาเลย
ภายในวังนี้แห่งเดียวก็ควรมีเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงครึ่งแล้วเพราะห้องหับนั้นมากมายเหลือเกิน และแต่ละห้องก็มีรายละเอียดมากมาย ทั้งกระเบื้องสีบนกำแพง ทั้งรายละเอียดบนเพดาน ไหนจะยังหน้าต่างประตูทางเดิน โอ้ยบรรยายไม่ถูก แล้วแต่ละห้องมีเรื่องราวอีก เราเช่า Audio guide กดปุ่มฟังบรรยายมาตั้งแต่หน้าประตูไล่มาตั้งแต่ในสวน Generalife แล้ว มาถึงตรงนี้ทั้งฟังทั้งส่องรายละเอียดทุกห้อง ข้อมูลเยอะมาก เอาเป็นว่าบริเวณที่ฉันชอบที่สุดนั้นกลับไม่ใช่ห้องของพระราชาหรือพระราชินีที่อลังการ แต่กลับเป็นคอร์ทยาร์ดที่ล้อมรอบไปด้วยระเบียงทางเดินและมีน้ำพุอยู่ตรงกลาง มันคือ Court of the Lions and Fountain ที่ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่าตรงฐานน้ำพุนั้นมีรูปปั้นสิงโตล้อมอยู่โดยรอบ เป็นสิงโตที่แลดูน่ารักกว่าน่าเกรงขาม ทั้งบริเวณตรงนี้สวยงามมากๆ มีน้ำพุและร่องน้ำที่เซาะไปบนพื้นคอร์ทยาร์ดให้น้ำไหลเย็นมาบรรเทาความร้อน และมีเสียงน้ำไหลจ๊อกๆกล่อมเกลาอารมณ์ได้สุนทรีย์มาก สวนแขกนี่มันถูกใจฉันจริงๆ
Alhambra มรดกโลกที่น่าตะลึง ในที่สุดก็ได้มาเห็น ถึงฝนตกเราก็ไม่ย่อท้อ นอกจากที่บรรยายมายังมีซากปรักหักพัง มีสวนและอาคารอื่นๆอีกมากมายซึ่งสามารถเข้าชมและฟังคำบรรยายจาก Audio guide ได้ทั้งหมด ขอแถมเกร็ดนิดหนึ่งก็แล้วกันว่า ตั๋วเข้าชม Alhambra ราคา 14 ยูโรนี้ต้องจองออนไลน์กันล่วงหน้านานถึง 2-3 เดือนทีเดียว ถ้าไม่จองล่วงหน้าเอาไว้มีสิทธิ์อดเข้าชม ตอนแรกฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เกือบอดเสียแล้วเพราะตอนจะไปตั๋วมันหมดไปแล้ว ดีที่มีน้องที่อยู่สเปนบอกมาว่าให้ซื้อ Granada Card แทนได้ การ์ดนี้จะราคาแพงหน่อยขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะเข้าชมอะไรบ้าง ของฉันซื้อแบบราคา 40 ยูโร ได้เข้าชมทุกสถานที่ใน Alhambra และยังเข้าโบสถ์ต่างๆในเมืองและใช้ขึ้นรถเมล์ในเมืองได้ด้วย
ในที่สุดก็ได้มาชมสมใจ Alhambra สุดยอดมรดกโลกของแม่ทับทิมแห่งสเปน