Córdoba เมืองทางใต้ของสเปนในแคว้น Andalucía ที่ได้รับการบันทึกเป็นเมืองมรดกโลกนี้เป็นเมืองที่ร้อนที่สุดในยุโรป ในฤดูร้อนที่นี่อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 40 องศาเซลเซียสได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่วันที่ฉันไปนั้นฝนพรำฉ่ำเย็นทั้ง 2 วัน แต่เราก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีสถานที่ๆเราตั้งใจมาชมให้เห็นกับตารออยู่นั่นเอง
จาก Granada เราขับรถขึ้นเหนืออีกนิดโดยใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงเมืองกอร์โดบ้าพอมาถึงเพียงแค่ขับรถผ่านกลางเมืองเก่าก็บ้าสมชื่อไปเลยเพราะขนาดว่ากรานาด้าแม่ทับทิมน่ารักแล้วเชียว เมืองเก่าที่นี่น่ารักกว่าแม่ทับทิมอีก มันเหมือนเมืองในอเมริกากลางมากๆ (ลาตินอเมริกาคือศูนย์กลางของโลกสำหรับฉัน)ในสายตาของฉันก็เลยรู้สึกว่ามันน่ารักและตื่นเต้นสุดๆ พอเช็คอินที่โรงแรมซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเก่าเสร็จเราจึงไม่รีรอรีบวิ่งแจ้นออกไปเดินๆๆๆๆสำรวจเมืองเก่ากลางฝนพรำกันทันที
Córdoba เมืองหลวงของจังหวัดกอร์โดบ้าในแคว้น Andalucía นี้มีประวัติย้อนกลับไปไกลเลย มีหลักฐานพบว่าในบริเวณนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่ 30,000ถึง 40,000 ปีก่อนคริสตศักราชทีเดียว ต่อมาก็เจอหลักฐานความเจริญของมนุษยชาติในยุค Carthage และ Phoenician ก็ไม่แปลกเพราะตำแหน่งที่ตั้งนี้อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ำของอารยธรรมโบราณ Phoenicia ต่อมาเมื่อยุคโรมันรุ่งเรืองแผ่อาณานิคมออกไปทั่วยุโรป กอร์โดบ้าก็ตกอยู่ในการปกครองของโรมัน และในช่วงเวลาของ Julius Caesar ก็ได้เป็นเมืองหลวงของจังหวัดจักรวรรดิโรมันในบริเวณนี้ ต่อมาเมื่อถึงยุคที่แขกมัวร์ได้ปกครองทางใต้ของสเปน กอร์โดบ้าก็ได้เป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองในยุคนี้อีกเช่นกัน กลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลกที่เจริญก้าวหน้าไปด้วยเศรษฐกิจ การเมือง การเงิน วัฒนธรรม การศึกษาและการแพทย์ทีเดียว ได้กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในศตวรรษที่ 10 ทีเดียว ช่วงเวลานี้เองที่ Mezquita หรือมหามัสยิดแห่งกอร์โดบ้าได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่ และปัจจุบันเป็นหนึ่งในมรดกโลกยูเนสโกที่ฉันตั้งใจเดินทางเพื่อมาชมในครั้งนี้โดยเฉพาะนั่นเอง
ในปี 1492 หลังจากสู้รบกับสเปนมานาน พวกแขกมัวร์ก็ยอมแพ้และคืนดินแดนทางใต้นี้ให้กับราชวงศ์สเปนซึ่งเผยแพร่ศาสนาแคทอลิกไปทั่วโลก กอร์โดบ้าก็โดนหางเลขไปด้วยเช่นกัน เพราะสถานที่สำคัญหลายแห่งของมุสลิมถูกเปลี่ยนไปเป็นแคทอลิก รวมทั้ง Mezquitaด้วย หลังจากนั้นพอถึงยุคเรอเนสซองส์ น่าเศร้าที่กอร์โดบ้าก็เริ่มหมดความสำคัญลง ที่เคยมีพลเมืองเป็นแสนก็เหลือเพียง 20,000 กว่าคน จนถึงในยุคปัจจุบันนี่เองที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง และด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เหลืออยู่จึงทำให้กอร์โดบ้าได้รับการมอบให้เป็นเมืองมรดกโลกโดยยูเนสโก้นั่นเอง
ฉันมีเวลาอยู่กอร์โดบ้าเพียงแค่สองวันเอง ถึงจะได้เดินซอกซอนไปทั่วในย่าน Jewish Quarter ได้ชม Mezquita ชม Roman Bridge และเดินสำรวจเมืองจนเกือบปรุ แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอไม่เต็มอิ่มเลย ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่อยากเข้าชม สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะต้องกลับไปเก็บตกและดื่มด่ำบรรยากาศของเมืองน่ารักนี้อีกครั้งแน่นอน
แต่สาเหตุอันแท้จริงที่ชวนให้ฉันมากอร์โดบ้านั้นฉันไม่พลาดแน่ นั่นคือสถานที่อันเป็นหัวใจของเมืองนี้ Mezquita หรือ The Mosque–Cathedral of Córdoba มรดกโลกยูเนสโก้นั่นเอง ฉันเคยเห็นแต่ในรูป ตั้งใจมานานหลายปีแล้วว่าจะต้องมาเห็นของจริงด้วยตาตนเองให้ได้สักวัน เพราะสถาปัตยกรรมของ Mezquita นั้นมันกระแทกโดนใจคนรักสถาปัตยกรรมแขกเช่นฉันอย่างแรง
ตัวอาคารด้านนอกของ Mezquita สร้างด้วยหินสีทรายก้อนโตๆแลดูทึบสูงใหญ่โต เรียบง่ายไม่มีอะไรโดดเด่น แต่พอโผล่เข้าข้างในปุ๊บ นั่นเลย…ภาพที่อยากเห็นกับตาตัวเองปรากฏชวนตะลึงอยู่ตรงหน้า บรรดาเสานับร้อยๆเรียงติดๆกัน ที่ระหว่างเสามีซุ้มโค้งทรงเกือกม้าสลับสีแดงและขาวสองชั้นซ้อนกัน (ซุ้มหลังคาโค้งสองชั้นนี้ก็เพื่อดันให้เพดานมีความสูงมากขึ้น) มันเรียงรายมากมายซ้อนทับๆกันไป เป็นมิติพุ่งลึกหายเข้าไปในเงาดำเหมือนจะไม่รู้จบ สวย แปลก ลึกลับ และมีพลังประหลาด สะกดให้ยืนนิ่งตะลึงอยู่อย่างนั้นเป็นนาน
พอได้สติจึงกางแผนที่แล้วเดินชมตามจุดสำคัญ ตรงกลางเป็นส่วนของพื้นที่โบสถ์โล่งกว้างสำหรับการร่วมพิธีและสวดมนต์แบบแคทอลิก ตรงนี้มีหลังคาโดมที่สวยมากๆ ฉันแหงนคอตั้งชมอยู่นานทีเดียว ส่วนรอบๆวนไปทั้งสี่ด้านก็จะมีแท่นสวดมนต์หลายแห่ง มีส่วนที่จัดแสดงเครื่องเคราที่ใช้ศาสนาคริสต์ทั้งที่ทำด้วยทองและเงิน มี Royal Chapel แต่ที่สวยที่สุดคือ Mihrab ดั้งเดิมของมุสลิมซึ่งปกติจะต้องสร้างให้หันไปทางเมืองเมกกะ แต่ที่นี่แปลกเพราะหันไปทางทิศใต้ อันนี้เราเข้าไปชมข้างในไม่ได้ เขากั้นเอาไว้ให้ชมแต่ความอลังการหยดย้อยของด้านหน้า แค่นี้ก็สวยจนตะลึงแล้ว
อย่าเพิ่งงงกันว่าทำไมสถานที่นี้ถึงมีชื่อเรียกว่า Mosque-Cathedral หรือมัสยิด-โบสถ์ และข้างในจึงมีทั้งส่วนที่เป็น Mihrab ของมุสลิมและแท่นสวดบูชาของคริสต์ เรื่องราวมีอยู่ว่าในสมัยโบราณนานมาแล้ว สถานที่นี้เดิมทีเป็นโบสถ์คริสต์เล็กๆ และได้มีการแบ่งส่วนกันใช้สำหรับคริสเตียนและมุสลิม จนต่อมาเมื่อแถบทางใต้ของสเปนถูกปกครองด้วยแขกมัวร์ พอในปี 784 เจ้าชายแขกองค์หนึ่งคือ Abd al-Rahman I ก็ขอซื้อส่วนที่เป็นของคริสเตียนแล้วรื้อโบสถ์เดิมทิ้งเพื่อจะสร้างใหม่เป็นมัสยิดอย่างเดียว ออกแบบโดยช่างจากซีเรียและว่ากันว่าได้แรงบันดาลใจของแบบมาจากมหามัสยิดในเมือง Damascus โดยตั้งใจว่าจะให้สวยโลกตะลึงยิ่งกว่ามัสยิดที่ดามัสกัส แบกแดดและเยรูซาเลมทีเดียว ตอนนั้นแขกมัวร์ร่ำรวยมากจากทรัพยากรที่ได้จากสเปน เช่นหินอ่อน จึงทุ่มไม่อั้นในการสร้าง สร้างไปต่อเติมไปอยู่ร่วม 200 ปี จากมัสยิดดั้งเดิมตรงกลางก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีการสร้างหอ Minaret ซึ่งปัจจุบันเป็นหอระฆัง สามารถปีนขึ้นไปได้ แต่ตอนที่ฉันไปเขาไม่ให้ขึ้นเพราะฝนตก ต่อมาภายหลังเมื่อแขกมัวร์แพ้ต้องมอบแผ่นดินทางใต้ของสเปนให้กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ มัสยิดก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโบสถ์ ส่วนต่างๆถูกเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้จากมุสลิมมาเป็นคริสเตียน Minaret ถูกเปลี่ยนเป็นหอระฆัง และมีการสร้างส่วนสวดมนต์และเข้าร่วมพิธีมิซซาอยู่ตรงกลางในแบบเรอเนสซองส์ ภาพที่เห็นวันนี้จึงเป็นส่วนผสมของสถาปัตยกรรมแขกและคริสต์อยู่ด้วยกัน แม้ว่าปัจจุบันที่นี่จะคือโบสถ์แคทอลิกเต็มตัวแต่สถาปัตยกรรมโดยรอบนั้นมันแบบแขกมัวร์เต็มๆ ให้อารมณ์แปลกอย่างมาก และมีเรื่องเล่าว่าตั้งแต่ปี 2000 มานี้กลุ่มคนสเปนที่เป็นมุสลิมได้เรียกร้องไปทางสำนักวาติกันเพื่อขอให้เขาได้เข้ามาสวดมนต์ทำละหมาดในสถานที่นี้ มีการเคลื่อนไหวกันยาวนานแต่จนบัดนี้ทางศาสนาคริสต์ก็ยังไม่อนุญาต เคยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวมุสลิมมาคุกเข่าทำละหมาดพร้อมกันก็โดนยามออกมาห้ามไม่ให้ทำ เป็นเรื่องเป็นราวชกต่อยกันทีเดียว
เดินชมครบทุกจุดด้านในแล้วฉันก็ยังไม่สามารถจากออกมาได้ เพราะบรรดาเสา 800 กว่าเสาและซุ้มโค้งสีแดงขาวที่มันแลดูสุดลูกหูลูกตานั้นช่างสวยงามประทับใจจนต้องเดินวนดูแล้วถ่ายรูปอยู่หลายรอบทีเดียว เป็นมิติที่ตรึงตาตึงใจอย่างประหลาด ชอบมากๆ ชมด้านในแล้วก็ต้องออกมาเดินวนด้านนอกรอบๆด้วยเพราะมีประตูสวยๆที่แบบไม่เหมือนกันเลยอยู่โดยรอบทั้งสี่ด้าน
ถึงแม้ฉันจะมีเวลาอยู่ Córdoba แค่สองวัน มีอีกหลายสถานที่ที่ต้องมาเก็บตก แต่ก็ได้มา Mezquita อย่างชุ่มฉ่ำเต็มที่สมใจที่เฝ้ารอมานาน เข้าโบสถ์ฝรั่งมาเยอะ เข้ามัสยิดแขกมาก็เยอะ เข้าที่ผสมกันระหว่างฝรั่งกับแขกมาก็เยอะอีก แต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ต้องมาเยือนก่อนตาย และสมแล้วที่ควรจะได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก