คงไม่มีใครไม่เห็นด้วยว่าอิตาลีนั้นสวยทุกซอกทุกมุมสวยทุกเมืองไม่ว่าจะเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ แต่ละคนอาจจะมีเมืองโปรดในอิตาลีที่ต่างกันไป คนชอบทะเลอาจชอบ Positano คนชอบศิลปะอาจชอบ Florence คนชอบธรรมชาติอาจเลือก Dolomite แต่สำหรับฉันสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมมาก่อน ดังนั้นเมืองอิตาลีเมืองโปรดอันดับหนึ่งนั้นคือนี่เลย Siena ในแคว้น Tuscany ที่ถือว่าสวยงามที่สุดในอิตาลีนั่นเอง
ที่ฟังธงเช่นนี้ได้ก็เพราะฉันได้ไปเยือนเมืองต่างๆในอิตาลีมามากพอสมควรแล้วก่อนที่จะได้มาชมเซียน่า ทั้งๆที่อยากมาเห็นเหลือเกินแต่กว่าจะมาได้เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนาน จนย่างเข้าต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้จึงได้โอกาสมาค้าง 3 คืน นับเป็นเวลากำลังดีที่จะใช้สำรวจเมืองใน Bucket list และเมืองเล็กใกล้เคียงอีก 2-3 เมือง
ชื่อเสียงของเซียน่าที่ทำให้ฉันอยากมาเยือนก็คือการเป็นเมืองที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกของ UNESCO มีมหาวิหารที่สวยงามเป็นเลิศขึ้นชื่อและมีการขี่ม้าแข่งที่ดังไปทั่วโลก นอกจากนี้แล้วเมืองนี้ยังตรงจริตเที่ยวเหนือฟ้ามากด้วยที่ว่ามีขนาดไม่ใหญ่ มีเสน่ห์แบบเมืองเล็ก นักท่องเที่ยวไม่มากเกิน สามารถเดินเล่นได้ทั่วในส่วนที่เป็นเมืองเก่ามรดกโลกและโรแมนติกเหมาะกับเที่ยวสบายๆ
โรงแรมที่ฉันเลือกพักคือ Hotel Palazzo Ravizza เป็นวังหรือ Palazzo เก่า อยู่ใจกลางเมืองเก่าตรงจุดเริ่มต้นถนนคนเดินพอดีจึงสะดวกสบายมาก แถมเป็นโรงแรมเดียวในเมืองเก่าที่มีที่จอดรถส่วนตัวโดยไม่ต้องเสียค่าจอดด้วย เซียน่านี้มีกฎหมายห้ามรถที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าในเขตตัวเมืองเก่า ถ้าเราเป็นแขกโรงแรมก็สามารถให้โรงแรมออกใบอนุญาตชั่วคราวได้ แต่หากใครไม่มีใบเผลอขับเข้าไปก็จะโดนกล้องจับรูปไว้แล้วส่งใบสั่งมาแน่นอน
เราจึงจอดรถทิ้งไว้ในที่จอดรถยาวสามวันเลยแล้วเดินเล่นจากโรงแรมชมสถานที่ต่างๆในเมืองอย่างสบายใจทุกวัน ตื่นเช้ามากินข้าวเช้าแสนอร่อยพร้อมกาแฟเข้มของอิตาเลียนแล้วก็ออกเดินชมเมือง สถานที่สำคัญแห่งแรกที่ต้องเข้าชมคือ Duomo วิหารประจำเมืองที่ขึ้นชื่อนั่นเองแค่ด้านนอกก็สวยโอ่อ่าตระการตาชวนให้ถ่ายรูปไม่หยุดแล้วทั้งหน้าบันและบานประตูใหญ่ทั้งสามจากศตวรรษที่ 13 คิวเข้าชมในวิหารยาวทีเดียวแต่ที่ยาวกว่าคือคิวซื้อตั๋วเข้าชมเคล็ดคือให้จองตั๋วออนไลน์ไปก่อนและควรซื้อตั๋วแบบใบเดียวที่ใช้เข้าได้หลายที่พอไปถึงก็สามารถไปรับตั๋วได้จากคิวที่สั้นกว่า
จากนั้นมาเข้าคิวเข้าวิหารพอก้าวเข้าไปด้านในก็ต้องตะลึง ทั้งใหญ่โตทั้งสวยอลังการจนบรรยายไม่ถูก ฉันชมโบสถ์และวิหารทั้งหลายที่ว่าใหญ่มากสำคัญมากมาเยอะแต่พอมาเห็นวิหารเซียน่าถึงกับอึ้งไปเลย เพดานผนังที่ว่าสวยมากนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาของโบสถ์ระดับนี้ แต่ที่พื้นนี่สิเป็นรูปภาพขนาดใหญ่ที่ใช้หินอ่อนมาตัดแล้วเรียงต่อกันเหมือนจิ๊กซอว์ สวยงามน่าทึ่งในฝีมือของช่างหินอ่อนอิตาเลียนโบราณ ศิลปะพื้นหินอ่อนนี้มีหลายชิ้นเรียงกัน แค่เดินชมซึมซับที่ละภาพก็เผลอตัวจนเวลาผ่านไปนานแล้ว บางช่วงของปีนี้เขาจะเอาพรมคลุมพื้นหินอ่อนนี้ ไว้ฉันช่างโชคดีจริงที่ได้มาชมอย่างจุใจในช่วงที่เขาเปิดให้ชมเต็มๆต าแต่ที่โชคดีน้อยไปนิดคือ pulpit เขาล้อมปิดซ่อม ได้แต่มองลอดที่กั้นเข้าไปก็ยังได้เห็นรูปปั้นและไม้แกะอันวิจิตรอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีอะไรหลายอย่างให้ชม เช่นรูปปั้นเซ้นต์ปีเตอร์ พอล เกรกอ รี่และพีอุส โดยไมเคิลแอนเจโล ที่วางประดับอยู่โดยไม่มีป้ายบอกชื่อศิลปินอันอุโฆษใดๆ เราต้องเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่ารูปปั้นไหนหรือ จึงได้คำตอบว่าอยู่ที่ผนังหน้า Piccolomini Library อันเป็นห้องที่สวยสุดๆในวิหารนี้ สวยจนบอกไม่ถูก เพดานสีจัดจ้านเข้มข้นจนตะลึง มีรูปวาดงดงามอัดแน่นทุกตารางนิ้วของเพดานโดย Pinturicchio จากปี 1509 โดยเฉพาะรูปวาดการอภิเษกของ Frederik III และ Eleonora แห่งโปรตุเกสซึ่งโป๊ป Picolomini เป็นองค์ผู้ประกอบพิธีให้ ห้องนี้สวยมากๆและสมควรใช้เวลาพินิจนานๆทุกซอกมุม ตรงประตูทางเข้ามีป้าหน้าดุคอยกำกับให้คนเดินเป็นระเบียบทางเดียววนเข้าแล้วออก แต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะจำกัดเวลาชมของเรา เราเดินตามๆคนเข้าไปพอถึงด้านในเราก็หาที่ยืนที่ไม่เกะกะใครแล้วใช้เวลาชื่นชมได้นานเท่าที่ต้องการ
แค่เข้าไปยืนมองเฉยๆก็อยู่ได้นานไม่เบื่อเลย เพราะจะพินิจพิจารณาตรงไหนก็งามไปหมดช่างชวนอัศจรรย์ใจแท้เรื่องความสวยงามโอ่อ่าเข้มข้นมากเยอะนี่ต้องยกให้อิตาลีแต่เป็นความมากที่ไม่ล้นเกิน
ใกล้ๆโบสถ์ยังมีสถานที่น่าชมอีกหลายจุดเช่น crypt ใต้ดินที่ก็สวยห้อง Baptistry ที่ก็อลังการไม่แพ้กันคืออยู่ในนั้นเป็นชั่วโมงๆดูแบบฮูฮาตลอดทุกจุดแล้วยังพิพิธภัณฑ์ dell’Opera del Duomo ที่ขึ้นไปชมวิวเมืองบนดาดฟ้าได้แม้ต้องเข้าคิวรอเกือบ 2 ชั่วโมงก็ยังคุ้ม
ส่วนที่อื่นๆในเมืองก็งามไม่แพ้กันเช่น Palazzo Pubblico Basilica of San Francesco ที่สำคัญคือลานกว้างซึ่งเสมือนเป็นหัวใจของเมือง Piazza del Campo อันนี้สวยมากๆเพราะเป็นลานรูปเหมือนพัดหรือเปลือกหอยและลาดลงไปสู่จุดกลางคล้ายโรงละครโรมันอันเป็นที่ตั้งของ Palazzo Pubblico นั่นเองมีน้ำพุ Fonte Gaia ที่สวยงามด้วยหินอ่อนรอบ 3 ด้านน้ำในนี้มาจาก aqueduct ทดน้ำที่มีอายุใช้งานมายาวนานถึง 500 ปีลานนี้ยังเป็นจุดหลักของการแข่งม้าหรือ Palio ที่มีปีละ 2 วันโอยมีรายละเอียดอีกเยอะมากๆถ้าเล่าหมดคงกลายเป็นหนังสือได้เล่มหนึ่งสบายๆเลย
วันสุดท้ายในเซียน่าเรายังติดใจจนสุดจะตัดใจได้เลยไม่ยอมกลับบ้านเสียดื้อๆจากแผนเดิมที่ต้องออกจากเมืองหลังอาหารเช้าเปลี่ยนเป็นเถลไถลกลายเป็นเกือบเย็นตอนสายๆเราเข้าไปชม The Complex of Santa Maria della Scala ซึ่งอยู่ตรงข้ามดูโอโมเลยจริงๆเราซื้อตั๋วไว้แล้วตั้งแต่สองวันก่อนแต่มาไม่ทันเป็นตั๋วรวมที่เข้าได้หลายสถานที่ในวันเดียววันนี้ลองเสี่ยงมาดูปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ให้ใช้ตั๋วเดิมเข้าไปได้และไม่ต้องต่อคิวเลยแม้แต่นาทีเดียวโชคดีจริงๆตึกนี้เคยเป็นโรงพยาบาลเก่าในยุคกลางพวกภาพวาดบนผนังและเพดานจึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรงพยาบาลสีสันสวยแจ่มใสชวนตะลึงไม่แพ้ภาพวาดเพดานและผนังของสถานที่อื่นๆในเมืองนี้เลยเมืองนี้ต้องมีอะไรกับเพดานแน่ๆส่วนพื้นที่ข้างในใหญ่มากๆใหญ่จนไม่รู้จะพูดอย่างไรเดินเท่าไหร่ก็ทะลุต่อไปได้เรื่อยๆไม่จบเสียทีมีทั้งโบสถ์เล็กๆที่บูชาของคนในโรงพยาบาลอยู่ข้างในตัวตึกเลยและมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของโบราณต่างๆกระจายกันไปหลายชั้นหลายห้องที่เด็ดที่สุดคือใต้ดินขุดลงไปไม่รู้กี่ชั้นและเปิดเป็นทางเดินให้เราเดินไปสำรวจได้มีช่องเปิดให้เห็นชั้นล่างกระดูกคนโบราณกองติดกันแน่นอยู่ในดินเพราะเคยเป็นสุสานฝังศพอยู่ในโรงพยาบาลเองด้วยทุกสิ่งอย่างที่นี่ตื่นตาตื่นใจมากที่นี่จะเป็นที่ที่นึกว่าจะเก็บตกเท่านั้นกลับกลายเป็นน่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กับดูโอโมเลยทีเดียว
ก่อนกลับแวะเข้าที่ Sanctuary of Santa Caterina ซึ่งเดินผ่านไม่รู้กี่รอบแล้วแต่ไม่ได้เข้าไปข้างในเสียทีด้านในเป็นบ้านเก่าของเซ้นต์คาตารีน่ามีไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยตัวบ้านและโบสถ์ในบริเวณขนาดไม่ใหญ่แต่ก็สวยงามและดูเก่าแก่มากเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ต้องมาเยือนเมื่อมาถึงเซียน่า
ต้องบอกว่าไปเที่ยวอิตาลีมาเยอะมากจนเกือบจะครบทุกแคว้นแล้วฉันต้องยกให้แคว้นทัสคานี่เป็นที่หนึ่งด้วยคะแนนรวมสูงสุดจริงๆทั้งธรรมชาติบรรยากาศประวัติศาสตร์อาหารและศิลปะวัฒนธรรมโดยเฉพาะเมืองเซียน่านี้ต้องนับว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่งของอิตาลีจริงๆแนะนำเลยว่าถ้ามาเที่ยวแถวนี้ควรใช้เวลาเยอะๆสำรวจเมืองเล็กเมืองน้อยและให้เวลากับเซียน่าให้จุใจจะได้ไม่เสียดายจนต้องเกเรไม่ยอมกลับบ้านเหมือนฉันนั่นไง