ฝันเป็นจริงหลังจากรอมา 4 ปี ได้กินแล้ว… ร้าน Osteria Francescana ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก!

เคยเล่าให้ฟังมาก่อนแล้วว่า ได้ไปกินอาหารร้าน The Jane ที่เมือง Antwerp ซึ่งต้องจองไปถึง 4 ปีกว่าจะได้กิน วันนี้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกแล้ว และร้านนี้ฉันพยายามมากกว่าร้าน The Jane อีกด้วยซ้ำ เพราะจองเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้เลย เขาเปิดให้จองล่วงหน้า 3 เดือน แต่เปิดเว็บไซต์มาวันแรกของอีกสามเดือนข้างหน้าก็เต็มแบบหมดหวังแล้วทุกที ทุกครั้งที่เฉียดมาแถวเมือง Modena ที่ตั้งของร้านอาหารนี้ก็จะพยายามจองมาทุกครั้ง แต่ไม่เคยมีวี่แววว่าจะได้เลย บอกตรงๆว่าเกือบถอดใจไปแล้ว สาเหตุที่อยากจะมากินนักมันก็มีดังนี้

ร้าน Osteria Francescana นี้เปิดมา 20 กว่าปีแล้ว คุมบังเหียนโดย Massimo Bottura เชฟชื่อดังที่ถ้าใครเคยดู Netflix รายการ Chef Table จะต้องเคยเห็นเรื่องราวของเขากับการต่อสู้เพื่อให้คนอิตาเลียนยอมรับอาหารอิตาเลี่ยนสูตรดั้งเดิมที่เอามามองผ่านมุมศิลปะของเขา ตอนแรกเขาเกือบปิดร้านไปแล้วเพราะไม่มีใครกิน เพราะคนอิตาเลียนจะเชื่อว่าอาหารพื้นเมืองที่อร่อยที่สุดต้องทำแบบดั้งเดิมในครัวของคุณแม่คุณยาย ใครจะเอามาดัดแปลงให้ทันสมัยหรือเพี้ยนไปคนก็จะก่นด่า แต่ Massimo กับ Lara ภรรยาชาวอเมริกันของเขามีความชอบในศิลปะและอยากเสนออาหารพื้นเมืองอิตาเลี่ยนแบบใหม่ จึงไม่ย่อท้อ ตอนเปิดร้านไม่มีใครมากินเลยจนกระทั่งนิตยสารที่เกี่ยวกับอาหารชื่อดัง Espresso ของอิตาลีย่องมากินแล้วประทับใจ ไปเขียนถึงว่าอาหารของมาสซิโม่คือสุดยอดของอิตาเลียนสมัยใหม่ หลังจากนั้นร้านเขาจึงโด่งดังเป็นพลุแตก และคนต่างหลั่งไหลมากินกันจนเต็มทุกคืน และยิ่งกลายเป็นร้านอาหารที่หมดสิทธิ์ที่หวังจะกินเลยเมื่อได้รางวัล The World’s Best Restaurant ของปี 2016 และ 2018 และ Massimo Bottura เองได้รับรางวัล Chefs’ Choice Award ในปี 2011

ฉันก็เช่นกัน เพราะบ้านอยู่ไม่ไกลจากโมดีน่ามาก (6 ชม เดินทาง) และผ่านมาแถวนี้บ่อย จึงพยายามที่จะจองโต๊ะของร้าน Osteria Francescana ทุกครั้งใน 4 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย เมื่อหลายเดือนก่อนรู้ว่าจะต้องมาเมืองโบโลญญ่าเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์อีกครั้ง จึงพยายามที่จะจองร้านอาหารนี้อีกแต่ก็เต็มตลอด วิธีเดียวก็คือกรอกชื่อลงไปเป็น Waiting List ด้วยความมานะฉันก็เลยกรอกชื่อลงเป็นWaiting List ทั้งหมด 20 ลิสต์เสียเลยสำหรับมื้อเย็นก็ได้มื้อกลางวันก็ได้เป็นเวลาสี่มื้อของห้าวัน แต่ข้อความตอบรับที่ได้ก็คือไม่มีหวัง แต่ถ้ามีคนยกเลิกเขาจึงจะโทรมาหาเรา ไม่เป็นไร แค่เสียเวลากรอกอีเมลใน Waiting List ฉันยอมทำเผื่อลุ้น

และแล้วในวันหนึ่งที่ตื่นมาตอนเช้าและเปิดโทรศัพท์ขึ้นดู ก็พบว่ามีอีเมลอันหนึ่งส่งมาจากร้าน Osteria Francescana บอกว่าเชฟมาสซิโม่ได้เปิดบูทีคโฮเทลขนาดเล็ก 12 ห้องที่ชานเมืองของโมดีน่า Casa Maria Luigia และจะมีดินเนอร์พิเศษทุกคืน เชิญแขกเพียง 24 คนต่อคืนเท่านั้น ขอเชิญเราจองได้ถ้าต้องการ อ่านแล้วกรี๊ดสลบไปเพราะนี่คือโอกาสที่จะได้มาชิมฝีมืออาหารของเชฟมาสซิโม่ ถึงแม้จะไม่ใช่ร้านอาหารดั้งเดิมของเขาที่ได้ดาวมิชลิน แต่นี่คือร้านอาหารใหม่ในเดือนแรกๆที่เขาเปิดในโรงแรมใหม่ ฉันจึงเชื่อว่ามันจะต้องดีแน่นอน รีบจองทันทีและส่งเครดิตการ์ดให้เขาชาร์จเงินไปเลยล่วงหน้าเต็มราคา

จากนั้นก็นับถอยหลังสำหรับความประทับใจนี้มาเดือนกว่าหลังจากได้รับจดหมายคอนเฟิร์มว่ามีที่นั่งสำหรับเราสองที่แน่ๆ พอถึงวันอันตื่นเต้น ตอนที่ขับรถไปร้านอาหารฉันก็บอกสามีว่าเราคงไม่เจอเชฟมาสซิโม่หรอก เพราะว่าในเว็บไซต์ที่อ่านเจอเขาบอกว่าโรงแรมและร้านอาหารใหม่นี้เป็นความชอบส่วนตัวของ Lara Gilmore ผู้เป็นภริยาที่จะผสมผสานศิลปะเข้ากับโรงแรมร้านอาหาร ดังนั้นคงเป็นเธอมากกว่าที่จะมาต้อนรับเราที่ทานอาหารใหม่นี้

ซึ่งก็จริง เมื่อเราได้เริ่มมื้ออาหาร Lara ก็เป็นคนที่มาเล่าเรื่องราวของอาหารแต่ละจาน แต่เมื่อถึงอาหารเซตที่สอง ขณะลาร่ากำลังเล่าถึงประสบการณ์ของมาสซิโม่เกี่ยวกับลาซานย่าซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นของแคว้นนี้ ทันใดนั้นเชฟมาสซิโม่ก็ปรากฏกายขึ้นมาด้านหลังของเธออย่างไม่คาดคิด พวกเราทุกคน 24 คนตบมือกันอย่างดังเพราะเราไม่คาดหวังจะเจอเชฟมือหนึ่งของโลก มาสซิโม่เป็นกันเองมาก เขาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับลาซานย่าในวัยเด็กของเขาและอื่นๆอีกมากมาย และเขายังคุมการผลิตอาหารแต่ละจานด้วยตัวเองสำหรับเราในคืนนั้น

ในระหว่างที่เขากำลังเตรียมอาหารแต่ละจานให้เรา ฉันทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นไปถ่ายรูปและคุยกับเขาที่หน้าครัวและบอกว่าเธอรู้ไหมฉันใช้เวลาสี่ปีกว่าจะได้กินอาหารของเธอ มาสซิโม่ประทับใจมาก ฉันเลยบอกว่าฉันจะกลับมาประชุมแถวนี้ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ถ้าเธอสามารถให้ที่นั่งสองที่ได้ที่ร้านอาหารดั้งเดิม ฉันจะดีใจมาก มาสซิโม่ตอบว่าได้สิแน่นอน แล้วเขาก็จัดการโทรศัพท์ไปบอกทีมเขาให้จัดการที่นั่งของร้านอาหารดั้งเดิมให้ฉันสองที่ทันที กรี๊ดดดดดด

นอกจากจะประทับใจกับมาสซิโม่และลาร่าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับเรา ให้ความสุขทั้งอาหารและความสุขทั้งการเล่าเรื่อง และการออกแบบอาหารมื้อนี้ให้คนแปลกหน้ามานั่งด้วยกันในโต๊ะดินเนอร์โต๊ะเดียว ฉันยังประทับใจในความเป็นกันเองของเขาทั้งสอง และนอกจากนั้นอาหารที่มาสซิโม่ทำฉันขอบอกได้เลยว่านี่คือตัวจริงของมิชลินสามดาว เพราะมันอร่อยมากๆทุกจาน ไม่ได้มีดีแค่ความงามและความพยายามที่จะแตกต่าง แต่มาสซิโม่เข้าใจวัตถุดิบและมีความคิดสร้างสรรค์ในการที่จะนำมันมารังสรรค์เป็นอาหารจานพิเศษที่ยังคงความดั้งเดิมของอิตาเลียนและสร้างให้ตื่นเต้นขึ้นด้วยอารมณ์สมัยใหม่

Lasagna หนึ่งในจาน Signature ที่เป็นจานพื้นเมืองแต่มาสซิโมประยุกต์จนเก๋และอร่อยกว่าเดิม
จานนี้สวยดังภาพวาด เนื้อสันในกวางอบ มาสซิโมบอกต้องกวาดซอสทุกสีในจานกินให้เกลี้ยง
สลัดจานนี้อร่อยที่สุดชนะทุกจาน

สรุปคืออาหารเก้าคอร์สของเชฟมาสซิโม่นี้คือตัวจริงที่สุด บอกได้เลยค่ะว่านี่คือร้านอาหารที่สมควรได้สามดาวที่สุดแล้วเป็นคืนที่มีความสุขที่สุดเพราะอาหารอร่อย เชฟและภรรยาน่ารัก เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารจากหลายประเทศ (อเมริกาบราซิลและแคนาดา) ก็น่ารัก เพราะเรามีความสนใจในเรื่องเดียวกันก็คืออาหารนั่นเอง และที่สำคัญที่สุดมาสซิโม่รับปากและเป็นคนจองที่นั่งในร้านดั้งเดิมของเขาให้ฉันด้วยตัวเอง

และ 6 สัปดาห์ก็ผ่านไป ฉันเดินทางไปทำงานที่เมืองพาร์มาและได้เวลานัดชิมอาหารที่ร้านดั้งเดิม 3 ดาวของ Osteria Francescana ถึงจะได้ชิมจานเด็ดและกอดมาสซิโม่มาแล้วฉันก็ยังตื่นเต้นอยู่ เราขับรถจากไปถึงโมดิน่าก่อนเวลาอย่างเนิ่นๆมาก ร้านยังไม่เปิด บรรดาหนุ่มๆเชฟมาเตะบอลเล่นรอเวลางานเริ่มกันในตรอกด้านหลังร้าน พอถึงเวลาสองทุ่มเป๊ะเราก็ไปเดินกดกริ่งที่ประตู มีแขกหลายกลุ่มเดินตามหลังเรามาด้วยอาการตื่นเต้นและหยุดถ่ายรูปกับป้ายหน้าร้านไม่ต่างไปจากเรา ประตูเปิดออกก็เห็นพนักงานหลายคนใส่สูทยืนรอต้อนรับเราอยู่แล้ว คนหนึ่งถามชื่อที่เราใช้จอง พอบอกเขาก็หายไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาบอกว่าให้เดินตามเขาไป แต่แทนที่จะพาเราเลี้ยวไปทางห้องอาหารทาผนังด้วยสีฟ้าอย่างที่ฟ้าเคยเห็นในรูปในทีวีมาก่อนจนชินตา เขากลับพาเราเข้าไปทางประตูหลังร้าน ทะลุผ่านซอกหลืบเล็กๆคดเคี้ยวแล้วโผล่เข้าไปในครัว มีพนักงานพ่อครัวแม่ครัวยืนอยู่กันเต็ม ส่งเสียงต้อนรับเรา พวกเรานึกว่าเป็นกิมมิกของประสบการณ์ในการกินที่ต้องพาทัวร์เดินผ่านครัวและห้องเตรียมอาหารก่อน จึงหยุดถ่ายรูปด้วยความตื่นเต้นและทักทายบรรดาเชฟกันใหญ่ แต่เสร็จแล้วเขาก็พาเราเดินทะลุครัวลึกไปอีก จนผ่านเข้าไปถึงห้องเก็บไวน์ซึ่งอยู่ลึกในสุดของร้าน ลึกลับซับซ้อนอย่างมาก เหมือนเป็นห้องลับเลย

ปรากฎว่า เชฟมาสซิโม่จัดให้เรานั่งในห้องเก็บไวน์ของเขา ซึ่งปกติจะไม่ให้ใครเข้ามานั่งและไม่อยู่ในระบบการจองของร้านเลย ต้องเป็นโอกาสพิเศษและเชฟสั่งจริงๆจึงจะเข้ามานั่งได้ กลายเป็นว่าโต๊ะยาวนั่งได้หลายคนแต่ทั้งห้องมีเพียงแค่เราสามคนเท่านั้น กรี๊ด

สำหรับอาหาร ฉันแปลกใจที่ว่านอกจากจะมี Degustation เป็นคอร์สตามใจเชฟแล้วยังมีเมนู A la carte อีกด้วย แต่เราทั้งกลุ่มเลือกเป็นคอร์สอยู่แล้วเพื่อที่จะได้ชิมทุกจานที่เขานำเสนอ แม้ว่าจานอาลาคาร์ทแต่ละจานจะยั่วจนเกือบอดใจไม่ไหวก็ตาม อาหารทั้งหมดมี 11 คอร์สไม่รวมคำเล็กคำน้อย Welcome และ Petite four ปิดท้าย มีบางจานที่ฉันเคยทานแล้วจากครั้งก่อน แต่ส่วนมากจะเป็นจานใหม่ที่ไม่เคยทาน แต่ละจานอร่อยและสร้างสรรค์สมศักดิ์ศรีเชฟมือหนึ่งของโลก แม้ส่วนมากจะไม่ใช่จานที่เป็น Signature ของเชฟก็ตาม

พี่ฉันชอบที่สุดคือสปาเกตตี้เย็นราดด้วยกุ้งแดงติดในซอสของหอยเม่น ฟินมากๆ

และเนื่องจากเรานั่งอยู่ในห้องไวน์ ระหว่างรออาหารแต่ละจานมาจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเล่นชมไวน์ต่างๆ ในเมนูไวน์หนาเป็นหนังสือเล่มโตบอกว่ามีไวน์ขวดหนึ่งปี 2013 ราคาถึง 6500 ยูโร เราอยากจะรู้ว่าเป็นขวดไหนเลยพยายามเล่นเกมมองหากันใหญ่แต่ก็หาไม่เจอ

เสียดายวันนี้เชฟมาสซิโม่ไม่อยู่ร้าน เดินทางไปญี่ปุ่น ฉันเลยอดถ่ายรูปด้วยอีกครั้งเลย แต่ก็นับว่าช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ นอกจากจะได้กินร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกถึงสองครั้งให้เดือนครึ่ง ซึ่งปกติไม่มีทางจองได้ง่ายๆแล้ว เรายังได้นั่งในห้องพิเศษซึ่งไม่ได้เปิดให้จองอีกด้วย คงต้องเรียกว่ากินเหนือฟ้าแบบสุดยอดของเหนือฟ้าจริงๆ

NO COMMENTS