ถ้าถามว่าชอบภาคไหนของสวิตเซอร์แลนด์มากที่สุด ฉันก็จะตอบแบบไม่ลังเลเลยว่าชอบ Ticino หรือเขตทางใต้ของสวิตฯที่ติดอิตาลีนั่นเอง ชอบจนคิดวางแผนว่าตอนแก่ๆอยากจะย้ายมาอยู่ย่านนี้เสียเลย สาเหตุนั้นก็ง่ายมากเลย เพราะจะได้พูดภาษาอิตาเลียน ได้กินอาหารอิตาเลียน บ้านเรือนมีสีสันอารมณ์อิตาเลียน แต่ยังมีความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยของสวิตฯ มีระบบและสวัสดิการของสวิตฯอยู่ แถมอากาศก็อุ่นกว่า แล้วเดินทางไปไหนทั่วโลกก็สะดวกเพราะนั่งรถไปขึ้นเครื่องบินที่มิลานได้ในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ตั๋วเครื่องบินก็ราคาถูกกว่า สุดยอดไปเลย
และในบรรดาเมืองต่างๆของเขต Ticino นี้ เมืองหนึ่งที่ฉันชอบมากๆเลยก็คือ Ascona เป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่มาก สวยงามเป็นระเบียบ มีย่านเมืองเก่าขนาดกะทัดรัดอยู่ติด Lake Maggiore มีทางเดินกว้างเลียบอ่าวตรงทะเลสาบ มาทีไรก็ได้บรรยากาศพักร้อนชิลล์ๆง่ายๆช้าๆ เรื่อยๆมาเรียงๆมาก แถมมองไปอีกทางก็เห็นภูเขาสูงมีหิมะปกคลุมที่ยอด ตึกรามในเมืองเก่าเป็นตึกเก่าสีสันสดใสน่ารัก สูงขึ้นไปด้านหลังก็เป็นภูเขาเขียวชะอุ่มโอบเมือง มีบ้านสร้างเกาะขึ้นไปบนผา เรียกว่าเมืองเล็กนิดเดียวแต่มีทั้งทะเลสาบ ภูเขาสีเขียว และยอดเขาที่คลุมด้วยหิมะ ครบทุกบรรยากาศไปเลย
วันหยุดสุดสัปดาห์ยาวซึ่งเป็นวันหยุดอีสเตอร์ที่ผ่านมานี้ ฉันจึงขับรถลงมานอนเล่นที่ Ascona เสียสองคืน ไม่ได้ทำอะไรมาก ไปเดินเขาบนภูเขารอบๆในเขตนี้ ไปเที่ยวชมหมู่บ้าน Corippo ที่เล็กที่สุดในสวิตฯ (อ่านได้ที่ลิงค์นี้) และแวะหมู่บ้าน Lavertezzo ที่มีโตรกหินผากับลำธารน้ำสีสวย เวลาที่เหลือก็เดินเล่นอยู่ในเมือง Ascona และหาของอร่อยๆทาน โรงแรมที่อยู่เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบของเมืองเลย ตื่นเช้าลงมาทานข้าวเช้าก็ได้นั่งดื่มกาแฟริมน้ำอาบแดดอุ่นๆดูคนเดินเล่นไปมา ชิลล์มากๆ เมืองนี้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองเก่าของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย ฉันว่ามาหน้าร้อนสวยที่สุด สดใสคึกคักจนรับรองว่าใครๆก็ต้องตกหลุมรักเลยทีเดียว
โปรแกรมของวันหนึ่งหลังจากนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ Ascona แล้วก็คือจะไปเดินเขากัน สถานที่ๆเราเลือกก็คือภูเขาที่ชื่อว่า Gambarogno อันเป็นภูเขาสีเขียวซึ่งมองเห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อมองจากริมทะเลสาบเมืองเก่าของ Ascona ออกมานั่นเอง โดยที่เราขับรถอ้อมทะเลสาบไปฝั่งตรงข้าม และขับขึ้นไปบนถนนที่หักศอกพับไปมาไม่รู้กี่ทบจนถึงยอดเขาข้างบน
ตรงจุดที่จอดรถมีรถของคนที่มาเดินเขาจอดกันอยู่แล้วพอสมควร ต้นไม้ใบไม้บนเขาสูงยังเป็นสีน้ำตาลอยู่เพราะอากาศข้างบนยังค่อนข้างเย็น แต่ก็สวยไปอีกแบบ ตามแผนคือเราจะเดินไต่ขึ้นสูงก่อน ไม่ไกลก็จะถึงยอด แล้วจะเดินลงยาวไปที่หมู่บ้านข้างล่างแล้วจึงนั่งรถเมล์ย้อนกลับมาที่จอดรถ ใช้เวลาทั้งหมด4ชั่วโมง เริ่มเดินไปได้ครึ่งชั่วโมงแรกก็ยังสนุกสนานคึกคักกันดีอยู่ แต่แล้วเราก็ค่อยๆเห็นมีหิมะอยู่ข้างทางเป็นกองหย่อมๆถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงตรงที่ทางเดินแคบๆริมไหล่เขาทั้งหมดนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาว เราเดินย่ำไปตามรอยเท้าที่คนข้างหน้าเดินเอาไว้ เพราะหิมะถูกเหยียบกดไปแล้วทำให้เดินได้ง่ายหน่อย แต่กระนั้นก็ยังลื่นและแฉะต้องคอยระวังเป็นอย่างมาก ผ่านจุดนั้นมาได้ทางก็กลับแห้งเดินได้สะดวกเหมือนเดิม ผ่านจุดชมวิวสวยประทับใจอีกสองสามจุด มองลงมาเห็นเมือง Locarno และ Ascona อยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ เบื้องหลังมีเทือกเขาสูงที่ยอดปกคลุมไปด้วยหิมะขาวกั้นเป็นกำแพงฉากหลัง สวยจริงๆ แต่แล้วเราก็มาเจอช่วงที่ทางถูกหิมะทับจนหายไปอีก ทีนี้ยิ่งหนักขึ้นเพราะเป็นหิมะที่ค่อนข้างหนาเลยทีเดียว บางจุดเหยียบลงไปขาจมลงไปถึงครึ่งหน้าแข้ง ด้านล่างก็เป็นเหวดิ่งลงไหล่เขาไปเลย น่าหวาดเสียวเป็นที่สุด ฉันต้องค่อยๆไต่ไปทีละนิ้วๆ เครียดมาก พอผ่านมาได้ก็ถึงจุดชมวิวที่สวยที่สุดพอดี เป็นชะง่อนเขายื่นออกไปเห็นเมือง Locarno และ Ascona อยู่ริมทะเลสาบข้างล่างยิ่งสวยกว่าที่ผ่านมาอีก แต่ฉันขาสั่นพั่บๆเพราะเกร็งจนต้องนั่งพัก มองต่อไปข้างหน้าปรากฏเป็นหิมะขาวไปหมด ดูท่าทางแล้วไม่ไหวแน่ ตกลงว่าเลิกปฏิบัติการนี้ดีกว่า ไม่คุ้มความเครียดและความเสี่ยงที่จะตกเขา ถึงแม้คนที่เดินตามมาข้างหลังสองสามคนจะตัดสินใจไปต่อ เราก็ไม่เอาด้วย
เราจึงเดินย้อนกลับมาทางเดิม สรุปว่าใช้เวลาไปกลับเพียงแค่ 2 ชั่วโมง มีเวลาเหลือสามีจึงบอกว่าแทนที่จะขับลงเขากลับทางเดิมที่มา เราขับลงอีกฝั่งหนึ่งของเขาดีกว่า จะได้ผ่านหมู่บ้านเล็กจิ๋วชื่อ Indemini เป็นหมู่บ้านสุดท้ายที่ชายแดนสวิตฯก่อนจะเข้าอิตาลี ไปแวะหาอะไรกินกันที่นั่นและชมหมู่บ้านกันดีกว่า แล้วจากนั้นค่อยกลับ Ascona โดยขับไปตามถนนเลียบทะเลสาบแทนที่จะใช้ไฮเวย์
ขับรถลงมานิดเดียวก็ถึง Indemini เราจอดรถริมถนนไม่ไกลจากอาคารปูนหลังเล็กจิ๋วซึ่งติดธงสวิสและมีป้ายเขียนไว้ว่า ด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่ว่าไม่มีคนอยู่ในตึกเลย เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของการผ่านเขตแดนเท่านั้นแต่ไม่มีการตรวจอะไรทั้งสิ้น จอดรถแล้วเราก็มองหาทางเข้าหมู่บ้าน เห็นทางเดินเท้าจากโบสถ์นำเข้าไปตามกลุ่มอาคารหินเราก็เดินเข้าไป ปรากฏว่าทั้งหมู่บ้านนี้เป็นบ้านที่สร้างด้วยหินทั้งหมดคล้ายกับบ้านหินโบราณที่ Corippo มากๆ มีตรอกเล็กตรอกน้อยกว้างเพียงแค่คนเดินสวนกันได้ วกวนไประหว่างบ้านหินต่างๆซึ่งสร้างติดๆกันเหมือนเขาวงกต บางทีทางเดินก็มุดลอดใต้ตึกไปออกอีกทางหนึ่ง บางทีก็เป็นบันไดสูงต้องไต่ชันขึ้นไป บางทีก็เป็นบันไดลาดลงต่ำ เดินวนไปวนมาทะลุตรอกนั้นซอยนี้สนุกเป็นที่สุด ทั้งหมู่บ้านเงียบเชียบไม่มีคนตามตรอกซอกซอยเหล่านั้นเลย และแต่ละบ้านก็ปิดเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ เราเห็นเพียงแค่มีเด็กสามคนวิ่งเล่นไล่กันมาแล้วผ่านไปเท่านั้นจริงๆ จนสงสัยว่าจะเป็นหมู่บ้านร้างแบบ Corippo หรือเปล่าเพราะบ้านทั้งหลายมีป้ายแปะประกาศขายอยู่เยอะมาก น่าเสียดายจริงๆ
เราโผล่ตรงชายหมู่บ้านออกมาก็พอดีเจอร้านอาหารริมถนนที่ผ่านมาแล้วและเล็งเอาไว้ แลดูเงียบๆไม่แน่ใจว่าเปิดหรือเปล่า แต่พอเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ โอ้โหข้างในคนนั่งกันอยู่เต็มเลย มีทั้งนักท่องเที่ยวและดูเหมือนชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านก็มานั่งทานมื้อกลางวันกันสนุกสนานใหญ่โต สรุปคือหมู่บ้านนี้ยังมีคนอยู่ไม่ได้ร้าง! เราเลือกที่นั่งตรงระเบียงเปิดโล่งชมภูเขาและเห็นหลังคาของบ้านข้างล่างซ้อนๆกัน สั่งพาสต้าและโพรเซ็คโก้มานั่งกินง่ายๆเคล้าวิว มันดีมาก
สรุปคืออยู่ดีๆก็ได้มาค้นพบหมู่บ้านจิ๋วติดชายแดนที่น่ารักอย่างไม่คาดฝัน เหนือฟ้าอย่างไม่คาดคิด ไม่เสียดายเลยที่ไม่ได้เดินเขาจนจบแผนตามที่ตั้งใจไว้ Indemini ชื่อนี้จำไว้เลย อีกหนึ่งอันซีนสวิตเซอร์แลนด์ที่น่าไปเยือน