ในวันเสาร์สบายๆที่อากาศแสนจะดีของฤดูใบไม้ผลิ คนสวิสชอบที่จะออกไปเดินเล่นชมธรรมชาติและเมืองเก่าไม่ไกลบ้าน ฉันก็อดที่จะหาเมืองเล็กๆใกล้ๆไปเดินทอดน่องสำรวจสบายๆไม่ได้เช่นกัน ที่ไหนๆก็ไปมาหมดแล้วเลยมาลองดูว่าเมืองเล็กเมืองน้อยริมแม่น้ำไรน์ที่กั้นเขตแดนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนีนี่แหละเรายังไม่ค่อยได้สำรวจเท่าไหร่ ลองไปดูเมืองเล็กที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยไปกันดีกว่า มาจบลงที่เมือง Rheinfelden และ Laufenburg นั่นเอง
Rheinfelden เป็นเมืองแห่งเบียร์ที่ขายดีที่สุดของสวิตฯคือ Feldschlösschen ตัวเมืองมีขนาดเล็กกะทัดรัดน่ารัก มีจำนวนพลเมืองเพียงแค่หมื่นกว่าคน อยู่ห่างจากเมือง Basel แค่ 15 กิโลเมตร ฉันขับรถจากบ้านไปเพียง 45 นาทีเท่านั้นเอง มีถนนคนเดินใจกลางเมืองเก่าซึ่งสำรวจได้ในเวลาไม่นาน มีสถาปัตยกรรมน่าสนใจหลายอย่างเช่นมีหอเก็บน้ำเก่าซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นอพาร์ตเม้นต์หลายชั้น มีหอคอยประการริมแม่น้ำ ในตัวเมืองเก่านี้จดบันทึกเป็นเขตมรดกทางประวัติศาสตร์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เลย โดยมีอาคารสถานที่หลายแห่งที่บันทึกเป็นอาคารทางประวัติศาสตร์ด้วย เช่นป้อมปราการและโบสถ์ St. Martin’s Church ดูข้างนอกก็เรียบๆไม่มีอะไร แต่พอเข้าไปข้างในการตกแต่งสถาปัตยกรรมสวยงามมากทีเดียว และแตกต่างจากโบสถ์อื่นเพราะเป็นปูนปั้นสีฟ้าตุ่นๆและขาวคุมโทนทั้งโบสถ์ มีภาพวาดบนผนังอยู่ในกรอบของปูนปั้นสีฟ้า ชอบมากๆ
ส่วนเมืองเก่าก็มีบรรยากาศเดินเล่นได้สบายๆ เราต้องจอดรถด้านนอกแล้วเดินลัดเลาะไปตามตรอกระหว่างบ้านคน มุดซุ้มกำแพงเข้าไปถึงถนนคนเดินกลางเมือง อากาศดีแบบนี้คนสวิสพากันมานั่งตากแดดดื่มกาแฟทานอาหารกันที่โต๊ะริมถนนคึกคักกันเต็มไปหมดเลย
ที่น่ารักก็คือมีสะพานหินข้ามแม่น้ำไรน์ให้เราเดินข้ามไปเยอรมนีได้ด้วย ตรงกลางแม่น้ำมีเกาะเล็กจิ๋วซึ่งเป็นของสวิตฯ ซึ่งสะพานพาดผ่านเกาะนี้อยู่ ฉันไปเดินชมเห็นมีคนมาปูเสื่อนอนอาบแดดปิกนิกเพราะมันเป็นเหมือนชายหาดเล็กๆลาดลงไปในแม่น้ำเลย บางคนก็พาหมาเล่นในน้ำ บางคนก็เดินเล่นไปบนเกาะ ชมหงส์ว่ายในน้ำ น่ารักจริงๆ
จากนั้นฉันก็เดินข้ามสะพานไปฝั่งเยอรมันนีเพื่อสำรวจเมืองทางฝั่งโน้นหน่อย เมืองทางนี้มีขนาดใหญ่กว่าและแลดูทันสมัยกว่า มีร้านค้ามีห้างในตึก ผิดกับทางฝั่งสวิตฯซึ่งเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆมากกว่า จริงๆสองเมืองนี้ในสมัยโบราณเป็นเมืองเดียวกันและมีแม่น้ำผ่ากลาง แต่ตอนหลังนโปเลียนมากำหนดให้ใช้แม่น้ำไรน์เป็นเขตแบ่งดินแดนระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี เมืองจึงถูกแบ่งกลาง กลายเป็นสองประเทศไป แต่ถึงอย่างไรคนทั้งสองฝั่งก็ยังไปมาหาสู่และมีวัฒนธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักเกินกว่าที่นึกเอาไว้ สงสัยจะต้องไปสำรวจเมืองริมแม่น้ำไรน์เหล่านี้ให้ครบเสียแล้ว
จากนั้นขับรถมาอีกไม่ไกลก็มาถึงเมือง Laufenburg เป็นเมืองเล็กริมแม่น้ำไรน์ชายแดนสวิตฯ-เยอรมันอีกเช่นกัน
จริงๆเมืองนี้ฉันไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย เป็นเมืองที่เล็กมาก เปิดดูข้อมูลก็ไม่มีเรื่องราวอะไรใหญ่โตน่าสนใจเลย ไม่ได้มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์หรือความสำคัญอะไรเป็นพิเศษ แต่พอไปถึงจริง ตกใจว่าทำไมมันช่างน่ารักนัก จะว่าไปน่ารักกว่า Rheinfelden เสียอีก ขนาดก็พอๆกันแต่ตึกรามสีสันสดใสกว่าเยอะ และถนนคนเดินที่เลาะเลี้ยวไปตามตึกรามบ้านช่องเหล่านั้นมีเสน่ห์มีมิติชวนให้เดินค้นหามาก เพราะพื้นที่มีความสูงต่ำขึ้นๆลงๆ บางทีก็ต้องเดินขึ้นบันไดสูงขึ้นไป บางทีก็ต้องเดินลอดใต้ตึก เดินไปแต่ละก้าวหันคอซ้ายขวาชมอย่างเพลิดเพลินเลย
เดินไปเดินมา มาเจอว่ามีซากปรักหักพังของหอคอยป้อมปราการอยู่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนเนินสูงที่ต้องเดินไต่ขึ้นไป พอขึ้นไปถึงก็เห็นเป็นสวน มีเก้าอี้ให้นั่งชมวิว มองเห็นหลังคาหมู่บ้านโบราณข้างล่างซ้อนกันเป็นทิวแถวสวยมาก ชมวิวเสร็จก็ว่าจะเดินลงกลับ แต่ดูไปดูมา เอ๊ะตรงหอคอยนั้นมีบันไดวนขึ้นและมีประตูอยู่ตรงสุดบันได ความสอดรู้สอดเห็นทำให้ปีนขึ้นไปเปิดประตู อุ๊ยมันเปิดออกให้เดินเข้าไปในหอคอยได้ด้วย ด้วยความที่เราพอจะเดาได้ว่าสวิตเซอร์แลนด์มักจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนเข้าไปเดินเล่นชื่นชมสถานที่โบราณได้ เราจึงเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ด้านในมีบันไดเหล็กหมุนวนให้เดินขึ้นไปบนยอดหอคอยได้อย่างไม่ลำบาก พอถึงด้านบนเปิดประตูออกเราก็มายืนอยู่บนยอดหอคอยโบราณมองลงไปเห็นวิวพาโนราม่ารอบตัวของเมืองทั้งเมือง รวมทั้งเห็นข้ามแม่น้ำไปถึงหมู่บ้านทางฝั่งเยอรมนีทีเดียว เราจึงตั้งใจว่าจะลงมาแล้วเดินข้ามสะพานไปที่โบสถ์ฝั่งนั้นของเยอรมนี
พอเดินลงมาด้านล่างก็มีโบสถ์ใหญ่ เราเห็นมีคนมากมายเดินตามกันมาที่โบสถ์เหมือนจะมีพิธีการอะไรเป็นพิเศษในนั้น เราไม่อยากสอดรู้สอดเห็นรบกวนเขาจึงเดินชมเมืองต่อไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆก็มีเสียงปืนใหญ่ดังลั่นจนสะดุ้งมาจากริมแม่น้ำไกลออกไป คุณลุงชาวสวิสที่ยืนอยู่ใกล้ๆจึงเดินมาเล่าให้ฟังว่า วันนี้มีเทศกาลแห่นักบุญโยเซฟ ซึ่งคนในหมู่บ้านจะเข้าไปร่วมพิธีในโบสถ์และจะมีการยิงปืนใหญ่สองครั้ง พอยิงครั้งแรกเสร็จแล้วคนก็จะทำพิธีและจะมีการแห่รูปปั้นนักบุญเดินรอบเมืองตอนกลางคืน แล้วจึงจะยิงปืนใหญ่อีกครั้ง
คุยกับคุณลุงเสร็จเราก็เดินเลียบไปตามแม่น้ำ เพื่อจะข้ามสะพานหินข้ามแม่น้ำไรน์ไปเที่ยวชมฝั่งเยอรมนี ซึ่งมองจากทางสวิตฯไปแล้วเห็นสีสันหมู่บ้านที่เรียงรายอยู่ริมแม่น้ำน่ารักยั่วใจให้ไปชมมากเลย เมือง Laufenburg นี้ก็มีเรื่องราวแบบเดียวกันกับ Rheinfelden ที่ว่าในสมัยโบราณเป็นเมืองเดียวกันมีแม่น้ำผ่ากลาง แต่หลังจากที่นโปเลียนกำหนดให้ใช้แม่น้ำไรน์เป็นเขตแบ่งดินแดนระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี เมืองก็ถูกแบ่งกลายเป็นสองประเทศไปเช่นกัน แต่คนทั้งสองฝั่งก็ยังมีวัฒนธรรมและเทศกาลต่างๆร่วมกันจนทุกวันนี้
ไปเดินเล่นฝั่งเยอรมนีลักษณะหมู่บ้านก็น่ารักไม่แพ้กันกับทางฝั่งสวิตฯ เดินเที่ยวแป๊บเดียวก็ทั่ว มีแต่บ้านคน ไม่มีร้านค้าร้านอาหารอะไรมาก บรรยากาศเงียบสงบน่ารักอบอุ่นจริงๆ และไม่มีนักท่องเที่ยวเลยนอกจากเรา พอเที่ยวเสร็จก็ถึงเวลามื้อเย็นพอดี ก็ทานข้าวฝั่งเยอรมนีสิคะ เพราะราคาถูกกว่าฝั่งสวิตฯเยอะ แค่ข้ามสะพานเดินเท้าไม่กี่ก้าวค่าของชีพก็ต่างกันลิบแล้ว เล็งเห็นมีร้านอาหารกรีกตรงเชิงสะพานริมแม่น้ำหน้าตาดีบรรยากาศดี เลยปักหลักตรงนั้นปรากฏว่าอาหารอร่อยใช้ได้ทีเดียว สบายกระเป๋าอีกต่างหาก
ทานอาหารเสร็จเดินข้ามกลับมาฝั่งสวิตฯ ปรากฏโชคดีอย่างไม่คาดฝันอีกแล้วตามเคย เพราะขบวนแห่นักบุญโยเซฟเดินมาตามถนนหมู่บ้านพอดีเลย ชาวบ้านถือโคมเทียนเดินตามกันมาและมีวงดุริยางค์บรรเลงมาด้วย บรรยากาศทั้งเมืองเงียบสงบ ท้องฟ้าเป็นกำมะหยี่สีดำเข้ม ดูขลังมาก และไม่มีใครมายืนชมการแห่อยู่เลยนอกจากเรา คาดว่าคนทั้งหมู่บ้านคงจะมาร่วมเดินกันอยู่ในขบวนหมด เราจึงเหมือนได้เป็นผู้ชมกิตติมศักดิ์อยู่กันแค่สองคน
เป็นการค้นพบหมู่บ้านเล็กน่ารักแบบอันซีน และยังแถมด้วยโบนัสอย่างไม่คาดฝันอีกด้วย