Aveiro เป็นเมืองเล็กทางตะวันตกเฉียงเหนือของโปรตุเกส และได้ฉายาว่าเป็นเวนิสแห่งโปรตุเกสก็เพราะว่าอยู่ติดทะเลและมีคลองเลาะลัดพาดผ่านไปมาในเมืองคล้ายกัน มีเรือนั่งทัวร์ชมเมืองจากทางคลองได้เหมือนกัน โดยที่เรือนี้เคยเป็นเรือที่ชาวประมงใช้ออกเก็บเกี่ยวสาหร่าย ทัวร์เรือชมเมืองใช้เวลา 45 นาที ราคาเพียงแค่คนละ 10 ยูโรเท่านั้นเอง ไกด์อธิบายเล่าเรื่องให้ฟังได้ความรู้รวบรัดภายใน 45 นาที และได้ชมเมืองและอาคารสำคัญต่างๆ นับว่าคุ้มทีเดียว
เมือง Aveiro นี้เป็นเมืองเล็กมีพลเมือง 70,000 กว่าคนเท่านั้น จะว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวก็ได้แต่นักท่องเที่ยวก็ยังไม่มากมาย เพราะถ้าเทียบกับเมืองอื่นในย่านนี้เช่น Porto หรือ Coimbra ก็ยังไม่ใช่จุดเช็กอินที่ดังเท่า คนที่มาเที่ยวทางเหนือของโปรตุเกสนี้ถ้าพอมีเวลาเหลือสักหนึ่งวันจึงจะย้วยแวะมาที่นี่ ฉันชอบเมืองแบบนี้มากเพราะเที่ยวได้กระชับไม่เหนื่อยและไม่วุ่นวายเกินไป
นอกจาก Aveiro จะเป็นเมืองที่ทำประมงจับปลา (ปลาไหลเขาขึ้นชื่อ) และเก็บเกี่ยวสาหร่ายแล้วยังมีการทำเหมืองเกลือมาก ซึ่งทำกันมาตั้ง 1000 ปีแล้วตั้งแต่สมัยโรมันทีเดียว ฉันซื้อเกลือมาหนึ่งถุงว่าจะไปทดลองทำกับข้าวดู เดี๋ยวต้องลองพิสูจน์ว่ารสชาติจะออกมาอย่างไร แต่ที่แน่ๆอาหารที่นี่ค่อนข้างเค็มทีเดียว
อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ สถานที่เที่ยวสำคัญจึงมีไม่กี่แห่ง เช่นโบสถ์ประจำเมือง สถานีรถไฟเก่า และที่นี่ยังมีสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโวอยู่มากหลายแห่ง มีแผนที่ให้เดินลัดเลาะชมเมืองเพื่อไปตามล่าดูตึกแบบอาร์ตนูโวหลายตึกเลย จริงๆฉันชอบสถาปัตยกรรมแบบนี้แต่ไม่มีเวลาพอที่จะเดินแกะรอยให้ครบทุกตึก เท่าที่นั่งเรือดูก็เห็นอยู่หลายตึกอยู่ พอหอมปากหอมคอ
นอกจากสถาปัตยกรรมโบราณแล้ว ตึกสมัยใหม่ก็มีที่คนเขาภูมิใจมากคือช้อปปิ้งมอลล์ใจกลางเมือง เขาว่าเขามีช้อปปิ้งมอลล์ที่สวยที่สุดในยุโรป ซึ่งฉันก็ว่ามันน่ารักจริงเพราะเป็นเอาท์ดอร์ เวลามาเที่ยวฟ้าไม่ค่อยชอบช็อปในห้างเท่าไหร่ แต่เท่าที่เดินผ่านก็ประทับใจเลยทีเดียว
ความน่ารักอีกอย่างของเมือง Aveiro คือลวดลายของกระเบื้องที่เขาตั้งใจปูบนฟุตบาทถนน ด้วยความเป็นเมืองชายทะเลเขาจึงปูกระเบื้องเป็นลวดลายต่างๆเกี่ยวกับทะเล ไม่ว่าจะเป็นเรือ คลื่น ประภาคาร หรือกุ้งหอยปูปลา น่ารักมากๆเลย จากสถานีรถไฟเดินเข้าเมืองเกือบ 20 นาทีไม่มีเบื่อเลยเพราะคอยแต่จะดูลวดลายกระเบื้องบนฟุตบาทไปตลอด กุ๊กกิ๊กถูกใจจริงๆ ได้ใจไปเต็มๆ
และฉันยังค้นพบว่าที่นี่ยังมีสถานที่อีกหนึ่งแห่ง ซึ่งไม่เชิงว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวท็อปฮิต แต่มันเป็นสถานที่ๆฉันชอบมาก คือตอนล่องเรือชมเมืองฉันมองไปเห็นว่า บนฝั่งใกล้โบสถ์ใหญ่ประจำเมืองมียอดจั่วแหลมๆของบ้านเล็กๆเรียงรายกันมากมายบนขอบฟ้า แบบนั้นมันสุสานแน่นอน ฉันจึงร้องทักออกมาว่าสุสานๆ อยากไปๆ ไกด์บนเรือบอกว่าใช่แล้วนี่คือ Cemitério Municipal de Aveiro สุสานประจำเมือง ฉันถามเขาว่ามันสวยไหมฉันอยากเข้าไปดู เขาตอบว่าสวยทีเดียวแหละ เพียงเท่านั้นมันก็เข้าอยู่มาอยู่ในแผนการเดินชมเมืองของเราทันทีว่าพอขึ้นจากเรือแล้วเราจะเดินไปชมโบสถ์แล้วจะต้องเข้าไปดูสุสานแน่นอน
แต่พอเดินไปชมเมืองและโบสถ์ เราพบว่าเราหาทางเข้าสุสานไม่เจอ เห็นแต่กำแพงด้านนอก วนไปวนมาก็ไม่เจอ คุณสามีหัวแหลมบอกว่าเราลองเดินวนไปที่ Shopping Mall ดีกว่า บนหลังคาด้านบนอาจจะมีทางเข้า ซึ่งมันฟังดูแปลกมากแต่พอเราเดินไปที่มอลล์ซึ่งสวยมาก บนชั้นสองตรงทางออกด้านหลังพอเลี้ยวออกมานิดเดียวปรากฏว่าประตูทางเข้าอยู่ตรงนั้นเอง มันแลดูขลังขรึมชวนขนลุกมาก เหมือนประตูของสุสานในหนังเรื่อง Pet Cemetery อย่างไรอย่างนั้นเลยค่ะเชียว!
พอเดินเข้าไปข้างใน โอ้โหมันเป็นสุสานที่สวยงามน่าตื่นเต้นจริงๆด้วย ที่นี่แต่ละครอบครัวมีสุสานของตัวเองใหญ่มาก เหมือนเป็นบ้านเลย เป็นลักษณะเหมือนที่นิวออร์ลีนส์หรือบัวโนสไอเรสเลย งามสุดๆ แถมแสงยามพระอาทิตย์ตกดินยิ่งทำให้กุ๊กๆกรู๋ขึ้นไปอีก ได้บรรยากาศมาก เดินอ่านป้ายและดูรูปของแต่ละหลุมศพพบว่าเก่าแก่มาก เป็นร้อยปี ครอบครัวยังดูแลรักษาดี๊ดี และเดินไปก็ปลงไป ชีวิตคนเราก็เท่านี้ ฉันไม่รู้ว่าชีวิตหลังความตายมีจริงไหม หรือการกลับชาติมาเกิดมันจริงไหม แต่ฉันเชื่อว่าคนเราไม่ได้ตายไปไหนหรอก เราแค่เปลี่ยนรูปเปลี่ยนฟอร์มจากพลังงานหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น เพราะเด็กวิทย์อย่างฉันเรียนมาว่าพลังงานไม่สูญหาย แค่เปลี่ยนรูป ดังนั้นเราก็ยังคงอยู่แถวๆนี้แหละ
ไม่รู้ความจริงเป็นเช่นไร คงจะรู้ได้เมื่อวันนั้นมาถึง สำหรับวันนี้ ฉันเชื่อว่าต้องบอกทุกคนที่เรารักให้รู้เสมอๆว่าเรารักเขาก่อนที่มันจะสายเกินไป และต้องเที่ยวให้คุ้มเสียก่อนเลย