Glamping มาจากคำว่า Glam หรือ Glamour ผสมกับ Camping เป็นสแลงหมายถึงการไปแคมปิ้งแบบนอนหรูอยู่สบายนั่นเอง และนี่แหละคือทางของเที่ยวเหนือฟ้าล่ะ เพราะถึงแม้เที่ยวเหนือฟ้าจะชอบอยู่กับธรรมชาติเดินป่าเดินเขา แต่ก็ไม่อึดพอที่จะนอนเต็นท์หรือแบ็คแพคไหว สมัยนี้มีทางเลือกให้ Glamping มากขึ้น คนรักธรรมชาติผจญภัยเล็กน้อยแต่ยังอยากพักผ่อนแบบสบายๆก็เลยเที่ยวได้อย่างมีทางเลือก

และโรงแรมในสวิตเซอร์แลนด์แบบ Glamping แห่งหนึ่งซึ่งฉันหมายตาอยากจะมาเที่ยวมานานมากๆแล้ว แต่ก็ไม่ได้มาเสียทีเพราะมัวแต่ไปเที่ยวประเทศอื่น และเที่ยวในสวิตฯนี่จริงๆก็แพงกว่าประเทศอื่น ได้จังหวะโควิด-19ที่ทุกทริปถูกเทไม่สามารถไปเที่ยวไหนได้ จึงได้จังหวะมาสำรวจที่ท่องเที่ยวภายในสวิตเซอร์แลนด์เสียที เสาร์-อาทิตย์วันหยุดยาวนี้ฉันจึงได้มาสำรวจสวิตฯฝั่งฝรั่งเศส และได้มานอนโรงแรม Whitepod สมใจเสียทีเมื่อคืน

และมันก็น่ารักสมกับที่อยากจะมาจริงๆ เขามีเต็นท์เป็นลูกกลมๆตั้งอยู่บนเนินหญ้า 10 กว่าลูก แต่ละเต็นท์เป็นห้องพักหนึ่งห้อง ในห้องมีความสะดวกสบายทุกอย่าง มีเตาผิงจุดไฟให้อุ่น เตียงนุ่มสบาย ห้องน้ำเหมือนโรงแรมห้าดาว และด้านหนึ่งของเต็นท์เปิดเป็นผนังใสเห็นวิวหุบเขาด้านล่างและภูเขาด้านหลังพาโนรามาสวยขาดใจ ได้อารมณ์แคมปิ้งที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากๆแต่สะดวกสบายสุดๆ ฉันนอนเปิดม่านเอาไว้ นอนดูดาวและไฟระยิบระยับของเมืองด้านล่างจนหลับไป แล้วตอนเช้าก็ให้แสงอาทิตย์แรกทาทาบท้องฟ้าโผล่ขึ้นมาจากขอบภูเขาด้านหลัง จากเป็นสีส้มอ่อนๆจนสว่าง สุดยอดจริงๆ

ตื่นมาเจอวิวนี้ที่ปลายเท้า

มื้อเช้าเขาแบกมาส่งถึงที่เต็นท์ให้เราได้กินอาหารเช้าบนระเบียงชมวิวต่ออย่างจุใจ อร่อยทั้งตาอร่อยทั้งปาก 

กินข้าวเช้าอิ่มสบายแล้วเราก็เดินพิชิตภูเขาสำรวจป่าด้านหลังโรงแรม ใช้เวลาเดินทั้งหมด 5 ชั่วโมง ไปกลับประมาณ 10 กิโลเมตร

ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดที่สูงกว่าตรงโรงแรมอยู่ขึ้นไปอีก 700 เมตร เมื่อยมากๆแต่สดชื่นจริงๆ ข้างบนมีทะเลสาบเล็กๆซ่อนอยู่ด้วย เป็นน้ำจากหิมะที่ละลายลงมา เราขึ้นไปสูงมากจึงยังมีหิมะให้ไปเดินเล่นได้อยู่ จะว่าไปแล้ววิวทิวทัศน์ในป่าของเส้นทางการเดินสวยสู้กับแถว Bernese Oberland ไม่ได้ แต่ก็เป็นวิวที่แตกต่างธรรมชาติมากๆและคนไม่เยอะเลย

แต่ถึงแล้วหายเหนื่อยเลย

เป็นการ Glamping ที่สนุกและสดชื่นเหมาะกับเสาร์-อาทิตย์มาก เหมาะกับครอบครัวและเด็กๆด้วย แต่บอกก่อนว่าจากที่จอดรถเดินขึ้นไปถึงเต็นท์ต้องเดินไต่ขึ้นเขาและแบกกระเป๋าไปเองประมาณกิโลกว่าๆ ใครเดินไม่อึดนี่แค่ไปถึงห้องก็เหนื่อยแล้ว แต่นี้แหละ มันถึงได้เป็น Campingไง ต่อให้ Glam ก็เถอะ

นอกจากเดินเขาหลัง Whitepod แล้วเรายังได้แวะเที่ยวเมือง Monthey ซึ่งเป็นเมืองในหุบเขาด้านล่างก่อนที่จะขับรถไต่เขาขึ้นไปโรงแรมมาด้วย เมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเล็กๆ อาจจะไม่ค่อยมีใครเคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ไปเสาะหาที่เที่ยว หาดูของแปลกที่ไม่เหมือนใครของที่นี่เขามาจนได้

ต้องเล่าถึงภูมิประเทศของเมืองนี้ก่อน ตัวเมืองนั้นตั้งอยู่พื้นล่างในหุบเขา โอบล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่ ซึ่งบนภูเขานั้นก็มีธารน้ำแข็งและหิมะปกคลุมมากมาย พอหน้าร้อนน้ำแข็งก็จะละลายไหลลงมาในหุบเขา เวลาผ่านไปนับพันนับหมื่นปีภูเขาก็ถูกเซาะกัดกลายเป็นโตรกผา เป็นช่องหินลึกผ่าลงไประหว่างภูเขา ทำให้เกิดลำธารน้ำไหลลงมาที่พื้นล่างของโตรกผานั้น สมัยก่อนนั้นน้ำที่ละลายไหลลงมาเชี่ยวแรงจนท่วมทำลายบ้านเมืองในหมู่บ้านเลยทีเดียว แต่ปัจจุบันนี้เขาทำท่อดึงน้ำแข็งที่ละลายจากบนภูเขาลงมายังพื้นล่าง สร้างเป็นโรงปั่นไฟจากพลังงานน้ำมาใช้ นี่แหละปัญญาของมนุษย์ ที่แปลงธรรมชาติที่อาจสร้างความเสียหายให้กลายเป็นประโยชน์ได้ สุดยอดจริงๆ

ภูมิประเทศของเมืองในปัจจุบันนี้จึงเป็นหมู่บ้านอันประกอบด้วยโรงงานอุตสาหกรรมและบริษัทต่างๆอยู่ตรงพื้นล่างของหุบเขา มีบ้านเรือนที่คนพักอาศัยปลูกไล่ไต่กันขึ้นไปตามเนินเขา และด้านล่างของโตรกผาที่ถูกน้ำเซาะนั้นก็กลายเป็นลำธารให้คนไปเล่นน้ำและน้ำตกกันได้อย่างเพลิดเพลิน เสมือนมีนครนายกอยู่ในหมู่บ้านเลยทีเดียว และที่ฉันไปเที่ยวชมมาก็คือสะพานแขวนที่สร้างพาดระหว่างสองฝั่งของหมู่บ้านคนที่อยู่บนเนินสองฝั่งของโตรกผานั่นเอง

เวลาไปเดินเที่ยวแบบนี้ฉันจะวางแผนให้เป็นทริปเดินออกกำลังกายไปในตัว เราจอดรถในหมู่บ้านแล้วเดินไต่เขาขึ้นไปตามแนวบ้านคน จนไปถึงตีนสะพานแขวนที่พาดผ่านด้านบนของโตรกหินผาสองฝั่ง มองลงไปด้านล่างสูงลิบลิ่ว ความยาวของสะพานน่าจะประมาณ 200 เมตรได้ อีกฝั่งของสะพานมีโรงนาและไร่องุ่นซึ่งปลูกเอาไว้ทำไวน์ อยู่สวิตเซอร์แลนด์มานานๆก็จะเริ่มชินที่บ้านหรูทันสมัยในหมู่บ้านและตึกออฟฟิศคอนกรีตอยู่ไม่ไกลกันเลยกับโรงนาและไร่องุ่น ฉันชอบสะพานแขวนมาก จึงเดินไปกลับเสียสองรอบ ความกว้างประมาณ 1เมตร เดินไปมองพื้นไปก็หวาดเสียวเล็กน้อย แต่สะพานนี้ไม่ค่อยโยนเท่าไหร่เพราะอยู่ในหุบเขา ไม่ได้โดนลมแรง สนุกดีจริงๆ 

พอเดินไปถึงฝั่งตรงข้าม ทางเดินก็กลายเป็นทางดินและขั้นบันไดดิน เหมือนกับเวลาไปเดินไต่เขาในป่า เลาะลงมาจนถึงพื้นล่างของโตรกผาซึ่งมีลำธารที่มีน้ำไหลผ่านหินมากมาย ทำให้บางช่วงมีลักษณะคล้ายเป็นน้ำตกเล็กๆ ทางเดินดินเลียบฝั่งหนึ่งของลำธารนี้จู่ๆก็มุดทะลุเขาเข้าไปกลายเป็นถ้ำ ในถ้ำมืดแคบและเปียกชื้นแต่มีสวิตช์ไฟให้เปิดได้ ความยาวก็พอสมควรเชียว พอโผล่ออกมาก็เป็นทางเดินดินที่เลียบลำธารไปเหมือนเดิม ลักษณะทางเดินแบบนี้ส่วนมากเราจะเจอในเขตท่องเที่ยวในป่าเขาเวลาเราไปเดินป่ามากกว่า แต่ที่นี่ที่มันเก๋ก็คือ มันคือทางเดินที่ชาวบ้านในเมืองเขาใช้เดินกลับบ้านกันเป็นปกติ เราเห็นมีชาวบ้านใช้เส้นทางเดินสวนกลับมาตลอด อย่างเช่นเด็กนักเรียนวัยรุ่นแบกกระเป๋าตำราเรียนเหมือนเพิ่งเรียนหนังสือเสร็จแล้วกลับบ้าน เป็นความรู้สึกที่แปลกมากเลย ว่าเส้นทางสัญจรกลับบ้านประจำวันของชาวบ้านแถวนี้ต้องทะลุผ่านถ้ำและเลาะไปตามลำธาร แล้วแถมยังต้องข้ามสะพานแขวนอีกด้วย แปลกจริงๆ

ทางออกมาโผล่ที่โรงปั่นไฟที่ทดน้ำจากบนภูเขาลงมาด้วยท่อยาวที่ฟ้าเล่าให้ฟังไปแล้ว แต่คราวนี้เราเห็นท่อยาวของจริงและมีป้ายวาดรูปและแผนที่อธิบายให้เห็นภาพและเข้าใจด้วย จากโรงปั่นไฟนี้ เดินไปอีกนิดเดียวก็คือใจกลางเมืองเก่าของ Monthey เลย ก็จะเหมือนบ้านเมืองในเมืองเก่าของสวิตฯทั่วไปแต่จะเล็กกว่ามาก น่ารักใช้ได้ทีเดียว ถัดมาหน่อยก็จะเป็นบริเวณใจกลางเมืองที่มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของ วันที่ไปเป็นวันศุกร์เย็นที่อากาศดี คนจึงเลิกงานมาดื่มกันในตอนเย็นอย่างคึกคักมากมายแม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะเพิ่งอนุญาตให้คนออกมาใช้บริการร้านอาหารได้หลังจากโควิด-19 ไม่นาน

เมืองเก่า Monthey 

การไปซอกซอนสำรวจหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่มีใครรู้จักแบบนี้ล่ะของโปรดของฉัน และทุกครั้งก็จะได้ค้นพบทุกทีว่า ทุกหมู่บ้านแม้จะเล็กแต่ก็มีของดีน่าสนใจซ่อนอยู่ทุกครั้ง เป็นอันซีนสวิตเซอร์แลนด์น้อยๆได้ทีเดียว

NO COMMENTS