ฉันได้ยินคนพูดให้ฟังหลายครั้งแล้วว่า Tel Aviv ได้เติบโตเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมชีวิตยุคใหม่ มี Modern culture ที่มาแรงที่สุดเมืองหนึ่งในตะวันออกกลาง ไม่ได้หมายถึงเมืองไฮเทคหรูระยับเงินทุ่มแบบดูไบหรือกาตาร์ แต่หมายถึงเมืองที่เคยเป็นเมืองเก่าแต่ผลัดใบออกและแตกหน่อออกมาเป็นต้นใหม่ เต็มไปด้วยความฮิปเก๋ ดีไซน์โฮเทล ร้านอาหารแบบโมเดิร์นควิซีน บาร์เปรี้ยว และคนรุ่นใหม่ที่รักศิลปะและงานดีไซน์ คราวนี้หละจะได้ไปดูด้วยตาตัวเอง
และในเมื่อเทลอาวีฟเป็นเมืองติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีชายหาดยาวตลอดแทบจะทั้งเมือง ฉันจึงเลือกพักโรงแรมฮิปดีไซน์เก๋ที่อยู่เกือบติดถนนเลียบหาด และออกแบบการเที่ยวสองวันในเทลอาวีฟให้เป็นอารมณ์ปาร์ตี้คนเมือง ตรงข้ามกับอารมณ์เจาะวัฒนธรรมเก่าของเยรูซาเล็มที่เพิ่งจากมาอย่างสิ้นเชิง
อย่างแรกเลยคือขอไปเดินเลียบชายหาด เริ่มจาก Jerusalem Beach ไล่ยาวลงไป บรรยากาศทางเดินเลียบชายหาดที่นี่ทำให้นึกถึงริโอเดอจาเนโรอย่างมาก อารมณ์เดียวกันเลย คือเป็นอารมณ์เมืองใหญ่ที่คนในเมืองเลิกงานแล้วมานอนปิ้งริมทะเลได้ แลดูชีวิตหรรษามากๆ ริมหาดนอกจากมีเก้าอี้ชายหาดให้นอนอย่างเก๋แล้ว ยังมีร้านอาหารบาร์ ที่อาบน้ำ และมีอุปกรณ์ออกกำลังอย่างในห้องยิมอยู่ตามศาลากลางแจ้งเป็นระยะๆด้วย ที่เห็นมากคือใครๆก็ใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสองล้อที่ไถๆแล่นไปตามถนน ส่วนมากเป็นสกูตเตอร์ที่ใช้เช่าวนกันเหมือนจักรยานสาธารณะที่นิยมอยู่ตามเมืองใหญ่ทุกที่เดี๋ยวนี้ มีหลายยี่ห้อ วิธีการก็คือเราต้องไปโหลดแอพของเขาไว้ก่อน สามารถเปิดแอพดูได้ว่ามีสกูตเตอร์จอดอยู่ตรงไหนในเมืองบ้าง หรือจะเดินไปเจอที่จอดอยู่ไม่มีใครใช้เราก็ไปใช้ได้ โดยเปิดแอพอ่านคิวอาร์โค้ดที่รถ จ่ายเงินในเครดิตการ์ดที่บันทึกไว้ แล้วมันก็จะเปิดล็อคให้เราหยิบไปใช้ได้ บนเลนจักรยานของถนนเลียบชายหาดที่ยาวนี้มีคนไถเจ้าสองล้อนี่ผ่านไปอย่างฉิวๆตลอดเวลา แลดูสนุกมาก และในตัวเมืองก็ยังเห็นคนไถมันไปตามถนน กลายเป็นยานพาหนะหลักของเมืองนี้ไปเลย เราก็ได้ลองเหมือนกันแต่โชคไม่ค่อยดีที่หยิบมากี่คันมีปัญหาทุกคัน แล่นได้นิดเดียวเลยต้องเลิก
เดินมาเรื่อยๆเราเลี้ยวหลบออกจากชายหาดเข้าไปชมตลาดเสียหน่อยที่ Carmel Market เป็นตลาดขายอาหาร เครื่องปรุงและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆใจกลางเมือง ไปตลาดทีไรก็สนุกทุกที แต่ตลาดนี้จะมีความโมเดิร์นกว่าที่เยรูซาเล็มอย่างไรบอกไม่ถูก แม้จะมีอาหารคล้ายๆกันก็ตาม
จากนั้นเรามุ่งหน้าต่อไปยัง Yafo (บางทีก็เรียกว่า Jaffa) เป็นส่วนเมืองเก่า ต้นกำเนิดของของเทลอาวีฟอยู่ที่นี่ มีท่าเรือเก่าหรือ Old Yafo Port มีหอนาฬิกาอยู่ตรงกลางซึ่งรอบๆจะเป็นร้านค้าอารมณ์ตึกแถวริมถนนนิดนึง
แต่ส่วนที่เลียบชายหาดและส่วน Old Yafo นั้นเก๋ไก๋ไฮโซทีเดียว ทั้งย่านเป็นตรอกเล็กซอยน้อยที่ลัดเลาะขึ้นลงไปตามตึกเก่า บ้างก็เป็นบ้านคนบ้างก็เป็นร้านค้า ถึงตึกจะเก่าทั้งหมดแต่ก็อนุรักษ์เอาไว้ดีและแลดูสะอาดสะอ้านทั้งย่าน เห็นแล้วจินตนาการได้เลยว่าพอหลุดเข้าไปข้างในแล้วจะได้เห็นการตกแต่งที่เก๋ทันสมัย ร้านค้าก็ขายของเก๋ๆอาร์ตๆ มีงานศิลปะประดับตามถนน
ส่วนบนเนินที่สูงที่สุดเป็นลานกว้างมีร้านอาหารหลายร้านและมีโบสถ์ St. Peter’s Church สวยเด่น ไม่ไกลมี Outdoor stadium อยู่ในสวน ให้ศิลปินมาเปิดการแสดงได้โดยที่มีฉากหลังเป็นเมืองเทลอาวีฟและชายหาดอย่างน่าตะลึง ส่วนริมน้ำมีร้านอาหารใหญ่บรรยากาศโมเดิร์นแบบสบายๆ คนนั่งกินอาหารเย็นแบบ Alfresco กันอย่างชิลล์ๆเต็มไปหมด น่านั่งมาก ฉันว่านี่เป็นย่านที่น่ารักที่สุดของเทลอาวีฟเลย
ย่านอื่นๆของเทลอาวีฟก็น่าสนใจแม้จะเป็นส่วนของเมืองใหม่เช่น Neve Tsedek ที่อยู่ติดกับ Yafo สมัยก่อนถือว่าเป็นย่านชานเมือง เดี๋ยวนี้มีโรงแรมตึกใหญ่ใหญ่ทันสมัย Rothschild Boulevard เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าเป็นย่านธุรกิจ ต้องบอกว่าตึกระฟ้าที่เทลอาวีฟนี่ออกแบบได้ทันสมัยดีไซน์เก๋กันทั้งนั้น เห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นเมืองแห่งอนาคต เมืองแห่งดีไซน์ เดี๋ยวจะพากลับมาเที่ยวถนนสายนี้อีกทีเพราะมีของดีอยู่
อีกอย่างที่น่ารักในแบบวัฒนธรรมสมัยใหม่ก็คือ Dizengoff เป็นย่านที่เต็มไปด้วยคาเฟ่น่ารัก ล้วนแต่เป็นร้านเล็กๆแต่แข่งกันทำเก๋ เหมาะกับการมาทานมื้อกลางวันหรือ Brunch ตอนเสาร์-อาทิตย์เป็นที่สุด ก็ได้ไปนั่งทานมื้อกลางวันในร้านอาหารอิสราเอลแท้แต่ตกแต่งแบบทันสมัยด้วย อร่อยและได้บรรยากาศมาก มีแต่คนหนุ่มสาวคนทำงาน คึกคักมาก
ส่วนย่านกลางคืนที่มีร้านอาหารและบาร์ดีๆรวมกันอยู่มากมายคือ Sheinkin เราก็ได้ไปทานมื้อเย็นที่นี่มื้อหนึ่งด้วย เป็นร้านที่เสิร์ฟอาหารเมดิเตอร์เรเนียนแบบอิสราเอล นั่งง่ายๆสบายๆแต่อาหารทำมาอย่างประณีตอร่อย สังเกตดูร้านอาหารและบาร์ในย่านนี้จะออกแนวเดียวกัน คือฮิปเก๋โบฮีเมียนกันทั้งนั้น เหมือนกับว่าบรรดาศิลปินติสต์แตกมามาเปิดร้านอาหารรวมกันอยู่ที่นี่
ด้วยความที่ตั้งใจจะมาชมบรรยากาศโดยรวมและดูดเอาพลังความคึกคักเยาว์วัยสมัยใหม่ของเทลอาวีฟ ฉันจึงไม่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์หรือเจาะจงเข้าชมสถานที่ใด แต่เถลไถลสำรวจย่านต่างๆไปเรื่อยๆ ได้สัมผัสก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงบอกว่าเทลอาวีฟคือเมืองใหม่ทันสมัย และเป็นแหล่งรวมของความฮิปเก๋ทั้งปวงณ.เวลานี้
ทีนี้ขอพากลับมาถนน Rothschild Boulevard อีกครั้งเราทุกคนคงจะมีความหลงใหลในเรื่องหลายอย่างต่างกันไป สำหรับตัวฉัน ความหลงใหลอย่างหนึ่งก็คือสถาปัตยกรรม ซึ่งยิ่งแก่ตัวขึ้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกที จนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าย้อนเวลาได้คงจะเปลี่ยนไปเรียนสถาปัตย์เป็นแน่แท้
พอได้ไปเที่ยวเมือง Tel Aviv และรู้ว่าเมืองนี้ได้เป็นเมืองมรดกโลก UNESCO เพราะมีสถาปัตยกรรมแบบ Bauhaus มากที่สุดในโลก ฉันจึงตื่นเต้นมากจนต้องเจียดเวลาอันน้อยนิดไปทัวร์ชะโงกขับรถวนรอบเมืองเพื่อชมอาคารบาวเฮาส์ต่างๆนี้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1500 ตึกทีเดียว แม้ว่าหลายแห่งจะทรุดโทรม ถูกปล่อยทิ้ง และเหลือน้อยลงไปเยอะจาก 4000 แห่งในยุครุ่งเรือง และส่วนมากก็อยู่แถว Rothschild Boulevard นี่เอง
สถาปัตยกรรมแบบ Bauhaus นี้เกิดขึ้นในโรงเรียนศิลปะ Bauhaus ที่เมือง Weimar ประเทศเยอรมนี ในต้นศตวรรษที่ 20 และมีอีกชื่อหนึ่งว่า International Style ลักษณะเด่นของสไตล์นี้ก็คือเป็นเส้นสายเรขาคณิตเรียบง่าย ใช้วัสดุธรรมดาเช่นปูน โลหะ เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานเป็นหลัก ที่สำคัญคือไม่มีการตกแต่งอะไรหยดย้อยย้วยเยอะ หลังคาแบน สามารถเอาแบบไปสร้างซ้ำได้ง่ายเพราะไม่ได้ใช้งานฝีมือละเอียดเฉพาะเจาะจง สามารถสร้างเป็นตึกหลายชั้นจึงใช้ที่ดินขนาดไม่ใหญ่มาก ทำให้คนที่มีเงินไม่มากก็มีที่อยู่อาศัยที่ดีได้ จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มที่ค่อนข้างไปทางสังคมนิยมเอียงซ้าย ต่อมาฮิตเลอร์เห็นว่าดีไซน์แบบนี้ “ไม่เป็นเยอรมัน” และเป็นศิลปะที่สะท้อนแนวคิดคอมมิวนิสต์ จึงกดดันให้โรงเรียนปิดไป ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วย มีเรื่องหลายอย่างเป็นเรื่องการเมือง บรรดาสถาปนิกของสไตล์บาวเฮาส์ที่อพยพออกจากเยอรมันจึงนำสไตล์นี้ออกไปเผยแพร่กระจายในเมืองต่างๆของโลก สถาปนิกที่เป็นยิวได้อพยพหนีระบบนาซีออกมาเทลอาวีฟกันมาก ทำให้สถาปัตยกรรมสไตล์บาวเฮาส์มารุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่ที่เทลอาวีฟนี่ และเนื่องจากตึกในสไตล์นี้จะทาสีขาวเพื่อสะท้อนความเรียบง่ายทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุที่ว่าในยุคนั้นเทลอาวีฟจึงได้ชื่อเล่นว่าเป็น White City นั่นเอง
หากจะไปเที่ยวชมเพื่อมองหาตึกรามแบบบาวเฮาส์ในย่านถนน Rothschild จะต้องสอดส่ายสายตาดีๆ เพราะหลายตึกจะถูกซ่อนอยู่หลังต้นไม้ที่ปลูกบังหรือระหว่างตึกระฟ้าที่กรุกระจกแบบทันสมัย ตอนที่ฉันไปอากาศร้อนมากจนเดินแทบไม่ไหวตอนกลางวัน จึงใช้วิธีขับรถวนไปตามถนนในเมืองเพื่อชมและถ่ายรูปเอาจากในรถ ก็เลยรูปมาเพียงคร่าวๆเล็กน้อยเท่านั้น
ในย่าน Dizengoff ก็มีตึกสไตล์บาวเฮาส์เยอะอยู่เช่นกัน ตอนที่เรากินข้าวกลางวันในย่านนี้จึงได้เดินถ่ายรูปตึกบ้างนิดหน่อย มารู้ที่หลังว่าที่เทลอาวีฟนี้มี Bauhaus Center และมีทัวร์เพื่อพาเดินชมตึกสไตล์บาวเฮาส์โดยเฉพาะด้วย เลยตั้งใจว่าถ้ากลับไปเทลอาวีฟครั้งหน้า จะต้องไปซื้อทัวร์เดินชมเจาะลึกตึกบาวเฮาส์แน่นอน
เกร็ดต่างๆเกี่ยวกับการเดินทางไปเที่ยวอิสราเอล
เอาเรื่องแรกเลยที่คนถามมาเยอะคือเรื่องความปลอดภัย จริงๆฉันว่ามันก็ปลอดภัยสำหรับการไปท่องเที่ยว เพียงแต่ว่าประเทศไหนก็คงเหมือนกันทั้งหมดคือเราจะต้องระมัดระวังดูแลตัวเองพอสมควร โดยเฉพาะการเดินทางเข้าไปปาเลสไตน์มีคำแนะนำว่า ตอนเช้าก่อนเดินทางให้เช็คว่ามีความวุ่นวายอะไรในประเทศหรือไม่ เพราะวันดีคืนดีก็จะมีการปะทะกันบ่อยๆระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ถ้าไม่มีอะไรก็สามารถเดินทางได้ไม่ต้องกังวล คนที่เดินทางไปแสวงบุญและไปชมสถานที่สำคัญเกี่ยวกับพระเยซูในปาเลสไตน์มีมากมายทุกวัน ดังนั้นประเทศเขาไม่ได้ปิดหรือห้ามไม่ให้ไป ไม่ต้องกลัวจนเกินไป เพียงแต่เราต้องดูแลตัวเองนิดหนึ่งและปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์
การผ่านเข้าชายแดนระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ก็ไม่ต้องกังวล ไม่มีการจอดตรวจเอกสารหรืออะไร บางครั้งอาจจะมีรถติดบ้างเพราะที่ด่านจะปล่อยให้รถไปช้าๆทีละคัน แต่ว่าไม่ได้มีการตรวจพาสปอร์ตทุกคันหรือไม่ได้มีการค้นรถอะไร ที่ฉันไปขาออกแล่นผ่านไปได้เลยฉลุยไม่ต้องจอดเลยด้วยซ้ำ ส่วนขากลับเข้ามาอิสราเอลต้องแล่นผ่านช้าๆแต่ก็ไม่ต้องตรวจอะไร เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่คงสุ่มตรวจบางคันค่ะ ใครเช่ารถเช่าจากอิสราเอลก็สามารถเอารถเช่าขับเข้าไปปาเลสไตน์ได้เลย นี่เป็นความสับสนเพราะโพยบางแห่งบอกว่าจะไม่ยอมให้รถเช่าจากอิสราเอลเข้าไป อันนี้ไม่จริง แล้วจะมีคนหลอกหากินด้วย เพราะตอนเราขับรถเช่าอิสราเอลไป พอถึงตรงชายแดนอยู่ๆมีคนมาโบกรถบอกเราว่ายูเอารถเข้าไปปาเลสไตน์ไม่ได้นะ ยูต้องจอดรถทิ้งไว้ตรงที่จอดนี้แล้วเช่ารถของไอเข้าไปแทน แต่เราไม่เชื่อเขาจึงขับรถเข้าไปเลย ก็ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น คนพวกนี้คงทำมาหากินและหลอกให้นักท่องเที่ยวกลัว นอกจากจะหลอกให้เราเช่ารถของเขาได้แล้วยังหลอกให้เราจ่ายค่าจอดรถทิ้งไว้อีก อย่าไปเชื่อ แต่ที่มีมูลอยู่ก็คือ รถเช่าบางบริษัทจะไม่ยอมให้เราขับออกนอกอิสราเอล ดังนั้นถ้าเราคุยกับบริษัทรถว่าเขาอนุญาตเราก็ขับไปได้ไม่มีปัญหา และถ้าเราขอวีซ่าจากอิสราเอลแล้วเราจะไปเที่ยวปาเลสไตน์ด้วยเราขอเพียงแค่ Single entry พอ ไม่ต้องใช้ Multiple
อีกเรื่องที่ต้องเตรียมก็คือการเช็กอินไฟลท์ทั้งจากประเทศที่จะเดินทางเข้าอิสราเอลและจากที่เดินทางออกจากอิสราเอลกลับประเทศตัวเอง คือเราจะต้องเผื่อเวลาเอาไว้เยอะกว่าปกติพอสมควร เนื่องจากจะต้องมีการตรวจความปลอดภัยที่จุด Security check เข้มงวดเป็นพิเศษเพิ่มเติมจากขั้นตอนปกติ ของเราตอนเดินทางออกจากสวิตเซอร์แลนด์ตรงหน้าเกทจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจพาสปอร์ตและสัมภาษณ์เราและถามคำถามมากมายอีกขั้นตอนหนึ่ง เราสองคนคุยกับเจ้าหน้าที่พร้อมกัน ใช้เวลาทั้งหมดเกิน 5 นาที เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเอาพาสปอร์ตเข้าไปติดสติ๊กเกอร์แนบใบมาว่าผ่านการสัมภาษณ์และตรวจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนั้นเราก็ต้องยืนรออีกประมาณ 5 นาที รวมแล้วใช้เวลา 10 นาทีได้ทีเดียว แล้วตอนที่เรายื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ที่เกทก่อนขึ้นเครื่องเขาก็จะดึงสติกเกอร์แนบนั้นออกไป ถ้าใครไม่มีใบแนบว่าได้ผ่านการตรวจความปลอดภัยแล้วก็จะไม่ให้ขึ้นเครื่อง ส่วนขาออกจากอิสราเอลนั้น ก่อนที่เราจะเช็กอินกระเป๋าที่เคาน์เตอร์เราจะต้องไปที่จุด Security check เสียก่อนอีกเช่นกัน เป็นการสัมภาษณ์และตรวจพาสปอร์ตเหมือนเดิมแต่คราวนี้เขาจะออกใบมาด้วยว่า ได้สัมภาษณ์เราแล้วและเราสามารถโหลดกระเป๋าเดินทางได้ หลังจากนั้นเราจึงจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เช็กอินได้ ถ้าเรายังไม่ได้สัมภาษณ์และไม่มีใบผ่านการสัมภาษณ์พนักงานสายการบินก็จะไม่สามารถเช็คอินกระเป๋าเดินทางเราได้ ซึ่งขั้นตอนอันนี้ใช้เวลานานทีเดียวเพราะขึ้นอยู่กับว่าคิวยาวหรือไม่ด้วย รวมๆแล้วมีสิทธิ์เกินครึ่งชั่วโมง ดังนั้นเผื่อเวลาเอาไว้เลยให้ไปถึงสนามบินประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่อง ส่วนถ้าใครเช่ารถแล้วจะต้องไปคืนรถเช่าที่สนามบินก็ต้องเผื่อเวลาเอาไว้อย่างน้อยอึก 30-45 นาทีทีเดียว เนื่องจากรถเช่าทั้งหมดต้องไปคืนที่เทอร์มินอล 1แล้วจะต้องรอรถตู้มารับเราจากเทอร์มินอล 1 ไปเช็กอินที่เทอร์มินอล 3 อีก อย่าประมาท ไม่เช่นนั้นมีสิทธิ์ตกเครื่อง
อีกอย่างคืออยากให้วางแผนไปช่วงที่ไม่ใช่รามาดอน เราไปช่วงรามาดอนพอดี มีความวุ่นวายหลายอย่าง คือช่วงนี้คนมุสลิมจะเข้ามาเยรูซาเล็มมัสยิดที่ศักดิ์สิทธิ์ 2 แห่งของเขา ทางการเยรูซาเล็มจะปิดถนนหนทางเยอะมากเพื่อให้คนมุสลิมใช้เส้นทางจำกัดไม่กี่เส้นทางที่จะเข้าไปถึงมัสยิดซึ่งอยู่ในใจกลางเมืองเก่าเยรูซาเลมได้ และในเมืองเก่าก็ยังมีตำรวจตั้งป้อมประจำการมากมาย ดังนั้นถนนรอบนอกของเมืองจะปิดและรถติดพอสมควร ส่วนใครที่อยู่ในใจกลางเมืองอยู่แล้วจะเดินเที่ยวเล่นในเมืองคนก็จะเยอะมากๆ ฉันมีเรื่องระทึกใจนึกว่าจะเอาตัวไม่รอดแล้วด้วย คือว่ามีอยู่วันหนึ่งเดินเที่ยวในเมืองเก่าเสร็จก็แยกกับสามี คือก่อนเข้าเมืองเก่าเราจอดรถทิ้งเอาไว้ที่เมืองใหม่ด้านนอกแล้วเดินเที่ยวมาจนถึงเมืองเก่า ทีนี้พอตกบ่ายเที่ยวเสร็จฉันเหนื่อยมากเนื่องจากอากาศร้อนแล้วเดินเยอะ จึงตกลงกันว่าให้ฉันเดินจากเมืองเก่ากลับโรงแรมซึ่งอยู่เพียงแค่เดิน 10 นาทีไปเองเลยคนเดียวจะได้ไม่ต้องเดินไต่เขาตากแดดไปอีก 15 นาทีกว่าจะถึงรถที่เมืองใหม่และยังต้องขับรถวนอ้อมกลับมาโรงแรมอีก สามีเดินมาส่งจนถึงเกือบใกล้ Damascus Gate ซึ่งเพียงแค่ออกประตูไปเดินโล่งอีกไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ พอสามีหันหลังกลับไปแล้วฉันเดินต่อคนเดียว อีกเพียงแค่ไม่กี่ 10 เมตรก็พบว่าคนแออัดยัดเยียดที่จะออกจากเมืองเก่าผ่าน Damascus Gate ออกไปเป็นจำนวนมาก จนเริ่มอัดกันแน่นจนตัวติดกันแทบขยับไม่ได้ เรียกว่าโดนดันไหลตามกันเข้าไปเลย เพราะคนที่อยู่นอกประตูก็ดันกันสวนเข้ามา ถนนเป็นถนนคนเดินแคบอยู่ระหว่างร้านค้า ดังนั้นมันจึงเหมือนคอขวดที่มีน้ำไหลทั้งเข้าและออกสวนกัน แออัดยัดทะนาน รู้ตัวอีกทีจะถอยหลังก็ไม่ได้จะเดินหน้าก็ไม่ได้ แล้วมันร้อนมาก เหงื่อไหลไคลย้อยแล้วเนื้อตัวก็ไปถูโดนเบียดกับคนอื่นทั้งหน้าหลังซ้ายขวา โอ้ยมันน่าขนลุกและทรมานมาก ตอนที่โดนเบียดอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จึงจะหลุดไป ฉันนึกขึ้นมาว่านี่ถ้ามีเสียงระเบิดหรือเสียงปืนแล้วเกิดการโกลาหลขึ้น มีสิทธิ์โดนเหยียบตายแน่นอนเพราะว่าแขกรอบตัวตัวใหญ่กว่าฉันมาก คงจะดันกันจนฉันล้มลงไปแล้วเหยียบทับแบนแต๊ดแต๋แน่นอน พอเกิดความคิดบ้าๆนี้ขึ้นมาในหัวก็เกิดความกลัวขึ้นในใจ ได้แต่ภาวนาให้ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าที่สุด ลุ้นจนแทบขาดใจ ในที่สุดหลุดออกมาได้ อยากจะกราบศาสดาทุกศาสนาพร้อมกันทีเดียวเลย ไอ้ที่เหนื่อยอยู่แล้วนึกว่าจะได้กลับโรงแรมอย่างเร็วกลายเป็นว่าเหนื่อยมากขึ้นทั้งกายและใจ ทีนี้พอหลุดนอกประตูมาได้ต้องเดินผ่านตลาดด้านนอกอีกหน่อย ถึงแม้คนจะเยอะฉันก็วิ่งฝ่าโกยแน่บกับโรงแรม ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว คิดแต่ว่าอยากจะออกไปให้ไกลจากตรงนั้นอย่างเร็วที่สุด ถึงโรงแรมรีบถอดเสื้อผ้าที่สกปรกเตรียมจะกระโดดเข้าอาบน้ำล้างตัว ปรากฏสามีซึ่งเดินไกลกว่าไปเอารถและขับรถอ้อมเมืองอีกมาถึงทีหลังแป๊บเดียว เขางงมากว่าทำไมฉันาถึงใช้เวลานานมากกว่าจะกลับมาถึงโรงแรม พอฟังเรื่องราวแล้วสงสารไปด้วยเลย รู้งี้เดินกลับไปกับเขาดีกว่าค่ะ
เรื่องสุดท้ายก็คือเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนท่องเที่ยวที่อิสราเอลและปาเลสไตน์ คือว่าข้อมูลการท่องเที่ยวเกี่ยวกับสองประเทศนี้มีอยู่น้อยมาก ฉันมีไกด์บุ๊คสองเล่มและหาข้อมูลออนไลน์อีกเยอะมาก แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าข้อมูลหลายอย่างมันไม่ชัดเจน มันคลุมเครือเหมือนกับมันมีความตั้งใจอะไรบางอย่างไม่ให้ข้อมูลชัดเจน หรือจะเป็นเพราะว่าไม่มีใครมีข้อมูลที่ชัดเจนก็ไม่ทราบได้ อย่างเช่นการขับรถข้ามเขตแดน ข้อมูลเกี่ยวกับการเช่ารถ แม้กระทั่ง Google Map ที่จะกำหนดเวลาในการขับรถก็ยังไม่สามารถคำนวณได้ชัดเจน การหาข้อมูลเกี่ยวกับเวสต์แบงก์และเมืองต่างๆในปาเลสไตน์มีจำกัดมาก เวลาเปิดปิดของแต่ละสถานที่ก็ไม่บอกไว้ชัดเจน ฉันทำการบ้านไปเยอะมากยังได้ข้อมูลไม่ครบ ต้องเผื่อไปหาที่หน้างานด้วยตัวเองอีกหลายอย่างเหมือนกัน แต่บอกได้เลยว่าหลังจากผ่านมาแล้วฉันมีข้อมูลครบถ้วนพอสมควรทีเดียว ที่เคยหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอตอนนี้ก็รู้แล้ว ดังนั้นถ้าใครอยากจะวางแผนไปเที่ยวฉันยินดีให้คำปรึกษา บอกเลยว่าหาข้อมูลเองไม่ได้ง่ายแน่นอน
สุดท้ายนี้ขอบอกว่าค่าใช้จ่ายต่างๆในอิสราเอลสูงมากอย่างน่าตกใจ เราไม่ได้คาดคิดเอาไว้เลยว่าทุกอย่างจะแพงขนาดนี้ อาหารเย็นที่ทานแต่ละมื้อราคาไม่ต่างจากที่เราทานในสวิตเซอร์แลนด์เลย ส่วนถ้าจะจ้างไกด์ส่วนตัวเพื่อพาเดินชมเมืองเก่าเยรูซาเลมนั้น ค่าตัวไกด์เวลา 3-4 ชั่วโมงตกราว 500 เหรียญยูเอสทีเดียว ดังนั้นใครจะไปจะต้องวางแผนเรื่องงบประมาณเผื่อเอาไว้พอสมควร
แต่โดยรวมก็นับว่าเป็นประเทศที่น่าเที่ยวอย่างมากและมีดีหลายอย่างทีเดียว ถ้าถามฉันก็อยากจะกลับไปอีกแน่นอน โดยเฉพาะเทลอาวีฟเหมาะกับเป็นเมืองตากอากาศแบบเหนือฟ้ามาก เนื่องจากบินไปเพียงแค่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงก็จะได้อากาศอบอุ่นและบรรยากาศปาร์ตี้สบายๆแล้ว
แล้วจะกลับไปอีกแน่นอน