พูดถึงปาเลสไตน์ (Palestine) ก็คงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการแบ่งแยก กีดกัน กักขัง กดดัน ไร้อิสรภาพ โดยเฉพาะ ‘กำแพงแบ่งแยกดินแดน’ (Separation Wall) กำแพงคอนกรีตสีเทาสูงดูแล้ง-ร้าย ที่อิสราเอลสร้างขึ้นมาแบ่งกั้นหรือจะว่าล้อมรอบก็ได้ ให้ปาเลสไตน์เป็นดินแดนที่ถูกล็อกขังไร้ทางออก
แม้ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมนุษยธรรมเป็นเครื่องสังเวยจะเป็นเรื่องปวดใจ แต่การมาปาเลสไตน์คราวนี้ฉันมี Mission หนึ่งอย่าง นอกเหนือไปจากการทำความรู้จักเข้าใจประเทศมุสลิมแห่งนี้ เป็น Mission เกี่ยวกับศิลปะ แต่ก็มีความหมายของการเมืองเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญหนุนอยู่ นั่นคือฉันจะไปแกะรอยตามล่าหาภาพวาดบนกำแพง Separation Wall ของศิลปินนิรนาม Banksy กันที่เบธเลเฮม (Bethlehem) นั่นเอง
ขอเล่าแบคกราวนด์ให้คนที่ไม่ทราบฟังก่อน Banksy คือใคร แล้วเขามาวาดภาพอะไรที่กำแพงแบ่งแยกดินแดนอิสราเอล-ปาเลสไตน์นี่ เขาคือศิลปินนิรนามชาวอังกฤษ ที่มักจะวาดภาพพ่นสีบนกำแพงเพื่อส่งสาส์นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการเมืองและมนุษยธรรม Banksy เกลียดสงครามและระบบทุนนิยม จึงมักจะวาดภาพที่สะท้อนมุมมองหรือการประท้วงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เขามีสไตล์ภาพเฉพาะตัว ใช้เทคนิค Stencil (เพราะเขาว่ามันเสร็จเร็วดี ก็การพ่นสีกำแพงมันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ต้องรีบทำก่อนตำรวจมาจับ) ที่พอเห็นก็รู้เลย เขาเริ่มวาดภาพตั้งแต่อายุ 14 มีผลงานปรากฏหลายที่ในอังกฤษโดยเฉพาะที่เมือง Bristol บ้านเกิด สร้างชื่อสร้างผลงานจนดังไปทั่วโลกหลายชิ้น เวลาเขาสร้างภาพขึ้นมาก็มักจะมีแรงกระเพื่อม และเมื่อปี 2005 เขาได้มาสร้างภาพถึง 9ภาพบนกำแพง Separation Wall ที่อิสราเอลสร้างขึ้นมาแบ่งแยกกั้นไม่ให้ชาวปาเลสไตน์เข้าไปในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ทุกรูปสื่อความหมายว่าไม่ควรมีสงคราม ไม่ควรมีการแบ่งแยก ไม่ควรมีกำแพง ฉันมีโพยรูปที่อยากดูอยู่4รูป ซึ่งมันหาไม่ง่ายว่าอยู่ที่ใด ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีให้ค้นมาก ได้ตำแหน่งแต่ละจุดมาคร่าวๆ และได้ความว่าให้เดินไปถามคนเขาไปดีที่สุด เพราะมันไม่มีป้ายใดๆบอก
พอเข้าเขตปาเลสไตน์มาก็เจอกำแพงคอนกรีตสูงทะมึนกั้นเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศแล้ว มีรูปสีพ่นมากมายบนกำแพงนั้น แล้วจะหารูปของ Banksy เจอได้อย่างไรล่ะ มันมากมายขนาดนี้ ร้อนก็ร้อน เดินหาเป็นขั่วโมงๆตายแน่
ฉันจึงไปเริ่มต้นที่โรงแรมที่ Banksy มาเปิดอยู่ติดกับ Separation Wall นี้ ชื่อ Walled Off Hotel ชื่อเก๋มาก ฟังเผินๆเหมือนโรงแรมวอลดอร์ฟ เข้าไปจอดรถในที่จอดของโรงแรมเขาฟรีเลย ตรงนั้นก็ตะลึงกับบรรดาศิลปะพ่นกำแพงทั้งหลายแล้ว ล้วนแต่ส่งสาส์นทางการเมือง สีสันสวยงามและสร้างสรรค์มาก เสียดายที่มันเป็นศิลปะที่เกิดจากความขัดแย้งและเจ็บปวด เราเดินไปหน้าโรงแรม ถามพนักงานว่างานชิ้นที่เราตามหาของ Banksy อยู่ตรงไหน เขาก็พยายามอธิบายอย่างมาก พอรู้ว่าเราเข้าไปจอดรถทิ้งไว้ที่ลานของเขาแล้วก็ไม่ว่าอะไร บอกแค่ว่าเที่ยวเสร็จแล้วแวะมาชมโรงแรมด้วยนะ ฉันตอบว่าแน่นอนอยู่แล้ว ก็โรงแรมนี้และร้านขายของที่ระลึก Banksy Shop ที่ติดกันนั้นคือหนึ่งในจุดหมายที่เราต้องการมาชมในทริปนี้อยู่แล้ว
รูปแรกที่เราตามหาคือ Girl Frisking Soldier อันนี้ฉันรู้มาว่าหายากเพราะส่วนของกำแพงที่เขาวาดไว้นั้นตอนนี้มันกลายเป็นผนังด้านในของร้านขายของที่ระลึกไปแล้ว ร้านไหนล่ะ
แล้วเดินไปๆก็มีแต่ร้านที่ชื่อ Banksy Shop เต็มไปหมด เอาชื่อเขามาหากินกันใหญ่เลย จนมาลังเลอยู่หน้าร้านหนึ่ง กำลังจะเดินต่อ เด็กที่คุมร้านโผล่ออกมาบอกว่า เข้ามาดูๆ ข้างในมีรูปนี้อยู่ แล้วชี้ไปที่ป้ายหน้าร้านที่เราไม่ทันสังเกตเห็น ป้ายเขียนว่ารูป Girl Frisking Soldier ของแท้อยู่ในร้านนี้เอง เราจึงรีบเข้าไป ท่ามกลางของที่ระลึกที่ไม่น่าซื้อเลยนั้น มีส่วนของกำแพงที่ว่างเว้นจากข้าวของอยู่ มันคือรูปทหารและเด็กผู้หญิงพ่นบนกำแพงขนาดใหญ่ทีเดียว เขาเจาะช่องเอากระจกใส่ไว้ด้านหน้าให้มองทะลุเข้าไปเห็นภาพบนกำแพง พอฉันจะถ่ายรูปเด็กบอกเสียงเข้มว่าห้ามถ่ายๆ ทีแรกนึกว่าเขาจะขอเงิน ถามว่าทำไมถ่ายไม่ได้ เขากระชากเสียงว่า ไปถามตำรวจเอาเองสิ ทีนี้เริ่มพูดไม่ดีกับเรา ฉันเลยเดินออกมา บอกงั้นฉันไปละ เด็กตะโกนมาอีกว่าไปเลยไป๊ อ้าว งง ตอนแรกมาชวนให้ดู เสร็จแล้วมาไล่ เงินก็ไม่ได้ขอ ถึงตอนนี้ยังงงอยู่ว่าจะเอาอะไร แต่ไม่เป็นไร ได้ชมแล้วหนึ่ง ไปต่อดีกว่า
รูปที่สอง Armoured Dove อยู่ไม่ไกลกัน อันนี้อยู่บนกำแพงติดถนนสายหลัก หาง่าย เดินไปใกล้ก็เห็นชัดเลย รูปนกพิราบขาวใส่เสื้อกันกระสุน ขนาดใหญ่เด่น รีบเข้าไปถ่ายรูป เสียดายมีรถมาจอดชิดกำแพงเชียว คงหลบแดดในเงากำแพง เลยได้รูปที่ติดรถมาด้วยหนึ่งคัน
ดูสองรูปนี้จบแล้วเราก็ย้อนกลับไปที่โรงแรม Walled Off เพื่อดื่มน้ำอุดหนุนเขาเสียหน่อย บาร์ข้างในโรงแรมแต่งได้เก๋ไก๋มาก ด้านในมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆซึ่งต้องจ่ายเงินด้วยเราจึงไม่ได้เข้าไป แต่ว่าได้เดินขึ้นไปดูชั้นสองซึ่งจัดเป็นแกลเลอรี่แสดงภาพศิลปะที่ขายด้วย แต่ฉันว่าฝีมือรูปเหล่านั้นยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่
จากนั้นเราออกตามล่าภาพวาดอีกสองภาพ ซึ่งจะต้องขับรถไกลออกไปประมาณ 15 นาที เราไปถึงจุดซึ่งฉันทำการบ้านเอาไว้ก่อนแล้วว่าเป็นตำแหน่งที่ตั้งของภาพ Soldier Throwing Flowers แต่มองไปไม่เห็นจะมีวี่แววเลย ถนนเป็นถนนต่างจังหวัดที่สวนกันฝั่งละหนึ่งเลน สองข้างเป็นตึกแถวบ้าง ที่โล่งบ้าง บ้านคนบ้าง ปนสลับกันไปเหมือนกับถนนของเมืองต่างจังหวัดบ้านเรา ตรงจุดนั้นไม่มีกำแพงอะไรเลย แล้วรูปมันอยู่ตรงไหน เรามองไปเห็นมีปั๊มน้ำมันโทรมๆและมีส่วนล้างรถซึ่งมีคนท้องถิ่นยืนเอาน้ำฉีดล้างรถอยู่ ในเมื่อหาไม่เจอจึงเลี้ยวเข้าปั๊มเตรียมจอดรถเพื่อตั้งหลักก่อน พอเข้าไปจอดคุณลุงแกแกก็เดินมาจะเติมน้ำมันให้ เราจึงบอกว่าขอโทษเราไม่ได้มาเติมน้ำมันแต่มาหารูปนี้ แล้วยื่นรูปในโทรศัพท์ให้ดู เสียวเหมือนกันว่าจะโดนลุงด่าหรือเปล่า แต่ปรากฏแกพยักหน้าชี้ไม้ชี้มือบอกว่าให้เดินเข้าไปดูตรงด้านหลังกำแพงของส่วนที่ล้างรถ ฉันรีบวิ่งออกไปใจเต้นระทึก สังหรณ์แล้วว่าจะต้องเจอแน่ และพอผ่านกำแพงปูนกระดำกระด่างซึ่งเป็นผนังของห้องล้างรถที่ผู้ชายคนนั้นกำลังล้างรถอยู่ เลี้ยวไปด้านหลังของผนังกำแพงฝั่งที่ติดกับที่โล่งรกร้างนั่นเอง ฉันก็ได้เห็นภาพ Stencil ทหารใหญ่มากถึงขนาดเต็มกำแพงสองชั้น โอ้ยมันช่างตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ และก็เป็นจุดที่ไม่คิดด้วยว่าจะมีรูปนี้อยู่ เพราะผนังเก่าโทรมที่มีรูปนี้มันหันหลบเข้าไปด้านใน นี่ถ้าไม่รู้มาก่อน ต่อให้ขับรถผ่านสัก 20 เที่ยวก็จะไม่มีวันเห็นเลย
ทีนี้ก็เหลือรูปสุดท้ายอยู่ในบริเวณไม่ไกลกัน เป็นรูปนางฟ้าโปรยหัวใจ Angel with Hearts ทีนี้เราพอจะเดาได้แล้วว่ารูปนี้อาจจะซ่อนอยู่ที่กำแพงของบ้านใดบ้านหนึ่งหรือสถานที่ใดที่หนึ่งซึ่งเราอาจจะไม่คาดคิดเลย ในจุดที่ฉันทำการบ้านมามีบ้านชั้นเดียวหลายหลังติดๆกัน รั้วเป็นเหล็กโปร่ง แลดูไม่มีกำแพงใดที่จะเป็นไปได้เลย ขับรถวนเลี้ยวกลับไปมาอยู่หลายรอบ สำรวจอย่างละเอียดก็ไม่มีวี่แวว พอดีเห็นคุณยายสองคนนั่งอยู่จึงจอดรถลงไปถาม เอารูปให้ดูแต่คุณยายไม่รู้จักไม่เคยเห็นและทำหน้างงด้วยซ้ำว่าเรามาตามหาอะไรกันนี่ ขึ้นรถขยับออกมา กำลังคิดจะถอดใจดีไหม พอดีเห็นผู้ชายสองคนอายุสัก 30 คนยืนคุยกันอยู่จึงจอดรถลงไปถาม ทีนี้ได้เรื่อง เขาเห็นรูปปั๊บก็รู้เลย รีบอธิบายใหญ่ว่าไปทางไหน เราจึงรีบขึ้นรถวนกลับไปที่สี่แยก เลี้ยวจากสี่แยกไปประมาณสัก 100 กว่าเมตรมีร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างเป็นตึกแถวสองห้อง หน้าร้านมีรถจอดขวางซื้อของอยู่ ลักษณะร้านก็มอมแม่มเต็มไปด้วยอุปกรณ์ก่อสร้าง ฝุ่นถนนเต็มไปหมด หน้าร้านเปิดโล่งไม่เห็นจะมีกำแพง แต่ทันใดนั้นเราก็เหลือบไปเห็นว่าติดกับร้านนั้นมันมีความเหลื่อมล้ำของกำแพงกับร้านถัดไปซึ่งไม่เท่ากันอยู่สักฟุตหนึ่ง และบนส่วนแคบของกำแพงเล็กๆนั้นเองก็เป็นภาพของนางฟ้าและมีหัวใจสีเหลืองโปรยปรายลงมา เจอแล้ว!
แต่รูปสุดท้ายนี่น่าผิดหวังเพราะมันเล็กมาก เรามองหน้ากันบอก ตามหาแทบตายมีแค่นี้เหรอ แล้วก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข เพราะอย่างน้อยปฏิบัติการนี้ก็ได้สำเร็จลุล่วงไปแล้วด้วยดี มันไม่ง่ายเลยเพราะไม่มีป้ายบอกหรือข้อมูลอะไรทั้งสิ้นที่จะหาได้จากอินเตอร์เน็ต โพยที่ได้มาก็เอามาจากการที่ได้อ่านบล็อกของฝรั่งหลายคนมาปะติดปะต่อเอง ส่วนรูปอื่นๆอีกห้ารูปนั้นไม่มีข้อมูลเลยว่าเป็นรูปอะไรและอยู่ที่ไหน ฉันคิดว่าเป็นไปได้ว่ารูปพวกนี้อาจจะถูกทำลายไปแล้ว
คนอื่นอาจจะมา Bethlehem เพราะเป็นเมืองเกิดของพระเยซูเท่านั้น แต่ฉันมาเพื่อตามหารูปของ Banksy เพราะฉันว่าการที่เขาใช้ศิลปะแขนงกบฏเป็นกระบอกเสียงในการต่อต้านสงครามและการสร้างกำแพงแบ่งกั้นนั้นมันช่างเหมาะสมที่สุด การพ่นกำแพงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แล้วการสร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างชนชาติล่ะมันผิดหรือเปล่า งานของ Banksy ทั้งสวยทั้งมีความหมาย มีคุณค่าในแง่งานศิลป์แล้วยังประกาศสาส์นอย่างชัดเจนในที่ที่มันควรจะอยู่ด้วย ไม่ว่า Banksy จะคือใคร ฉันขอคารวะ ทั้งในแง่ความเป็นศิลปินของเขาและในแง่ความชื่นชมที่ว่า ต่อให้งานของเขาโด่งดังขนาดไหน เขาก็ยังสวนกระแสโดยการที่ไม่ต้องการให้ใครรู้จักเขาเลย
เรื่องนี้เคยตีพิมพ์ที่ The Cloud ในเนื้อหาที่ต่างไปนิดหน่อยและกระชับขึ้น อ่านได้ที่นี่