พระเยซูประสูติที่เมือง Bethlehem ใน Palestine เราก็ต้องมาชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จากเยรูซาเล็มขับรถมาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี แม้จะต้องข้ามพรมแดนจากอิสราเอลเข้าปาเลสไตน์ก็ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่า
สถานที่ณ.ตรงจุดที่ประสูติของพระเยซูนั้นปัจจุบันคือโบสถ์ The Church of Nativity ก่อนถึงโบสถ์ต้องขับรถไปในตรอกแคบมากผ่านตลาดและตึกรามคดเคี้ยวขึ้นลงเขา สงสัย Google จะพาเราหลง ทางจึงขับยากมาก แถมไปเจอวันเวย์แคบมากด้วย มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากตลาดเราจึงถามทางว่าแล่นสวนไปได้ไหม เขาบอกว่าเดี๋ยวพาไปเอง ขอขึ้นรถมาด้วย คุณสามีบอกขึ้นเลยๆ เขาชอบรับคนแปลกหน้าขึ้นรถ ตอนแรกฉันตกใจแต่ปรากฏว่าเขาบอกทางอย่างดีจนมาถึงโบสถ์ พอจะลงเขาบอก 500 บาท สามียื่นให้ 100 บาทบอกว่าช่วยแป๊บเดียวเอาไปเท่านี้แหละ เขาก็ไม่ว่าอะไร รับแล้วลงไปเลย
พอเลี้ยวเข้าที่จอดรถมีชาย 2 คนวิ่งมากุลีกุจอโบกรถหาที่จอดให้ทั้งที่ตรงนั้นเป็นที่จอดฟรีสาธารณะ ปรากฎคนหนึ่งเป็นคนที่หาจังหวะโบกรถแล้วขอเงินค่าโบก แต่อีกคนเป็นไกด์มาดักนักท่องเที่ยว เราให้เงินคนโบกรถไป (ทำไงได้เดี๋ยวเขาขูดรถ) ไกด์เดินตามมาจะให้เราจ้างพาเข้าชมโบสถ์ เราบอกไม่เอาก็ตื๊อๆๆๆ จนพอรู้ว่าจะหมดหวังจริงๆด่าเราเฉยเลย แล้วแช่งให้เราเที่ยวไม่สนุกกับให้เป็นวันที่แย่ด้วย นิสัยไม่ดีเลย มาด่ามาแช่งคนที่ไม่รู้จักกันแบบนี้เพื่ออะไร เราไม่เสียเวลาสนใจ แผ่เมตตาไป อยู่หน้าโบสถ์หากินกับโบสถ์แต่ใจอกุศลว่าร้ายคนอื่น เขาต้องมีบาปติดตัวมามากแน่ๆ ช่างเขาเราเที่ยวดีกว่า
ประตูเข้าโบสถ์เป็นช่องเล็กๆในกำแพง ต้องก้มมุดเข้าไป แปลกดี ข้างในกลับกว้างใหญ่มาก ไม่ได้สวยงามชวนตะลึงแต่ก็ไม่มีใครสนใจ ทุกคนมุ่งหน้าเดินตามกันเข้าไปด้านในสุด เข้าคิวกันเพื่อมุดลงไปในช่องที่นำสู่ห้องใต้ดิน
ด้านล่างนั้นคือจุดที่พระเยซูประสูตินั่นเอง เขาเอาโลหะรูปดาวมาแปะไว้ มีรูกลมตรงกลาง อยู่ด้านในช่องที่ทำคล้ายแท่นบูชาบนพื้น คนต่างเข้าคิวกันเข้าไปจับตรงดาวนั้น ปกติฉันจะไม่ไปแย่งกับคนเขาเข้าจับตำแหน่งสำคัญแบบนี้ เหตุผลง่ายๆคือฉันเป็นแค่นักท่องเที่ยว ไม่ได้เดินทางดั้นด้นด้วยศรัทธามาเพื่อแสวงบุญ ถึงจะอยากรู้อยากเห็นและอยากเข้าไปทำความเคารพบ้างตามประสา แต่ก็ไม่ต้องการไปเข้าคิวให้เสียเวลาคนที่เขาศรัทธาและตั้งใจเข้าไปสัมผัสจริงๆ แต่หนนี้แปลก ตรงที่มันไม่เชิงเป็นคิว กลุ่มคนที่เข้าไปตอนนั้นเป็นกรุ๊ปทัวร์มาด้วยกัน เขาจึงเข้าไปรุมๆรวมๆกันโดยมีไกด์ที่พามายืนตรงหน้าพื้นที่มีดาวคอยกำกับบอกให้แต่ละคนเข้าไปจับ ฉันเห็นพื้นที่ข้างไกด์ว่างอยู่จึงเข้าไปชะเง้อจะถ่ายรูป ไกด์บอกว่ารอแป๊บ แล้วพอลูกทัวร์เขาเข้าครบหมดเขาก็หลบตัวออกให้ ฉันเลยถูกดันเข้าไปตรงนั้น ได้พื้นที่กว้างให้นั่งลงสัมผัสดาวตรงจุดที่พระเยซูประสูติอย่างสบายๆและนานเป็นนาทีโดยไม่คาดคิด จึงส่งจิตกราบท่านไปอย่างตั้งใจเต็มๆ เป็นบุญจริงๆ
จาก Bethlehem เรามีแผนจะขับรถไป Dead Sea ระหว่างทางมีสถานที่สำคัญให้แวะอีก ที่แรกคือ Nabi Musa เป็นสุเหร่าที่เก็บศพของ Moses อยู่กลางทะเลทรายเวิ้งว้างแยกออกไปจากถนนใหญ่ ป้ายบอกทางก็แทบหลุดสังเกต แต่พอเราจอดรถแล้วเดินเข้าไปถึงข้างใน เจ้าหน้าที่บอกไม่ให้เข้าไปในห้อง แต่ทำไม้ทำมือให้เดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างให้ เผยให้เห็นโลงศพใหญ่มากอยู่ตรงหน้า ใจดีจัง ถึงเราเข้าไม่ได้ก็ยังอุตส่าห์หาช่องให้ชม ฉันไม่แน่ใจว่าเขาไม่ให้เราเข้าเพราะเราไม่ได้เป็นมุสลิมหรือเพราะเป็นเวลาละหมาดพอดี เพราะมีผู้ชายท้องถิ่นทยอยกันเดินมาเข้าห้องทำละหมาดกันหลายคนเลย
จากนั้นเราแวะกินอาหารกลางวันที่เมือง Jerico เป็นเมืองสำคัญในไบเบิ้ลอีกแห่งและเป็นเมืองใหญ่สุดในทะเลทรายใกล้ชายแดนแถวนั้นแล้ว แต่ก็นับว่าเล็กมาก กลางเมืองมีวงเวียนหนึ่งแห่งที่รอบๆมีร้านรวงต่างๆ เหมือนต่างจังหวัดมากๆของเราหลายสิบปีก่อน ร้านอาหารก็ธรรมดามาก เรากินไก่ย่างกับ Hummusแล้วรีบออกเดินทางต่อ ไม่มีอะไรให้เที่ยวที่นี่
เรารีบมุ่งไปสถานที่ๆหมายใจไว้ 2 แห่งแต่ก็ต้องกินแห้วทั้งคู่ สะพาน Allenby เป็นสะพานข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังประเทศจอร์แดน แต่พอแล่นไปยังไม่ทันถึงชายแดนใกล้แม่น้ำเลย ก็เจอรั้วเหล็กปิดขวางถนน มีป้ายว่าเขตทหารห้ามถ่ายรูป ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ไม่มีคำอธิบาย เราก็ต้องกลับรถออกมาสิ ฉันเดาเอาว่าด่านชายแดนนี้เปิดปิดเป็นเวลาและเข้มงวดมากในการให้คนผ่าน และคิดว่าพื้นที่ตรงชายแดนนั้นไม่ใช่ของอิสราเอลแต่น่าจะเป็นของ West Bank มากกว่า จึงทำเป็นทหารหวงห้ามขึงขังเสียขนาดนั้น
ออกถนนใหญ่มาสักครู่เราก็เลี้ยวรถมุ่งหน้าเข้าไปทางแม่น้ำอีก เพราะจะไป Al-Maghtas ชมสถานที่ Baptism รับศีลครั้งแรกของพระเยซู อันที่จริงจุดรับศีลนี้อยู่ทางฝั่งจอร์แดน แต่ทางอิสราเอลหรือ West Bank นี้ก็ทำสถานที่ให้คนไปสักการะและทำพิธีสวมชุดขาวลงไปเดินลุยน้ำเช่นกันทางฝั่งตรงข้าม คงประมาณว่าน้ำเดียวกันแค่ท่าตรงกันข้ามอะไรประมาณนี้ เราไม่ใช่คริสต์ (สามีใช่แต่เขาไม่สน) ก็ไม่ได้จะไปลุยน้ำทำพิธีอะไรกับเขาหรอก แค่อยากจะไปเห็น ปรากฎไปถึงเจอประตูรั้วลั่นกลอนปิดขวางถนนอีก อันนี้มีป้ายบอกว่าเวลาที่เราไปถึงนั้นเขาปิดแล้ว อดอีกแต่ไม่เป็นไร รีบมุ่งหน้าต่อไปอีกนิดก่อนจะเย็นเกินดีกว่า เราจะไปแช่น้ำลอยตัวดับร้อนใน Dead Sea ทะเลที่เค็มที่สุดในโลกจนไม่จมกันที่ West Bank Palestine
ชายหาดแรกของเดดซีที่สามารถลงไปเล่นได้คือ Kalia Beach ของปาเลสไตน์ เป็นชายหาดส่วนบุคคลมีสถานที่อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสปา ห้องอาบน้ำ ล็อกเกอร์เก็บของ ร้านขายของ เก้าอี้บนชายหาด ที่อาบน้ำบนชายหาด และบาร์ที่ชื่อว่า The Lowest Bar in the World ดังนั้นจึงต้องจ่ายเงินค่าเข้าคนละประมาณ 600 บาท เราไปถึงเย็นแล้วเขาจึงลดราคาให้เป็นพิเศษเป็นราคาเด็กเหลือ 500 บาท ถ้าใครจะไม่ยอมจ่ายเงินเข้าไปก็สามารถขับรถเลยไปหาดสาธารณะในอิสราเอลได้แต่จะต้องขับไปอีก 40 กิโล!
ฉันว่าสถานที่เขาดีคุ้มราคาทีเดียว ยิ่งถ้ามาอยู่นานๆหลายชั่วโมงสามารถนอนอาบแดดอ่านหนังสือได้เหมือนไปนอนริมทะเลเลย วิวก็สวยงาม ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ส่วนภูมิทัศน์เป็นสีทรายแบบทะเลทราย ฝั่งตรงข้ามลิบๆมองไปเห็นแนวชายฝั่งของประเทศจอร์แดน ริมหาดมีบันไดให้เดินลงไปในน้ำง่ายๆ บางคนลงไปลอยน้ำเล่นเฉยๆบางคนก็เอาโคลนสีดำมาพอกหน้าพอกตัวจนเห็นแต่ลูกกะตาขาว จริงๆฉันเคยลงไปนอนลอยเล่นในเดดซีแล้ว แต่เป็นที่จอร์แดนเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนี้จึงไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่คอนเฟิร์มว่าน้ำเขารักษาความเค็มไว้ได้อย่างไม่จืดจางลงไปเลย
เราคงจำได้จากที่เรียนหนังสือมาตอนเด็กว่า Dead Sea ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่าน้ำทะเลมันเค็มจนไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้เลย เค็มขนาดไหนหรือ โดยประมาณก็ 10เท่าของน้ำทะเล แต่ว่ามันไม่ใช่ทะเลที่เค็มที่สุดในโลกเพราะมีทะเลที่เข้มข้นไปด้วยเกลือและแร่ธาตุจนเค็มปี๋แบบนี้อีกหลายแห่งในโลก และที่เค็มที่สุดอยู่ที่ Antarctica หากในบรรดาทะเลเค็มทั้งหลาย Dead Sea มีความลึกที่สุดในโลก และบนระดับผิวน้ำของมันถือว่าเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในโลก คือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 430.5 เมตรทีเดียว นี่คือสาเหตุที่บาร์ที่นี่ตั้งชื่อขำๆว่าเป็นบาร์ที่อยู่ต่ำที่สุดในโลกนั่นเอง
คงมีคนสงสัยว่าในเมื่อเค็มเสียขนาดนี้ทำไมถึงไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตเกลือจากเดดซี คำตอบก็คือองค์ประกอบของเกลือในน้ำที่นี่ไม่เหมือนกับเกลือในน้ำทะเล น้ำทะเลมีเกลือแกงหรือ Table salt เป็นองค์ประกอบอยู่สูงมากถึง 85% แต่น้ำในเดดซีมีเพียง 30% เท่านั้น ที่เหลือเป็นเกลือชนิดอื่น แร่ธาตุจากที่นี่จึงนำไปใช้ในอุตสาหกรรมมากกว่า และที่โด่งดังก็คือโคลนสีดำจากจอร์แดนที่เอามาพอกหน้าพอกตัวโฆษณาว่าทำให้ผิวสวยจนใครๆก็ต้องซื้อผลิตภัณฑ์กลับบ้าน ในสมัยโบราณพวกอียิปต์ก็มาเอาปูนทรายที่นี่ไปใช้ในการทำมัมมี่ด้วย
ที่น่าเป็นห่วงก็คือทะเลเดดซีนี้ขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว ภายในไม่ถึง 100 ปีขนาดลดลงไปถึง 40% ตอนนี้เลยมีโครงการต่างๆในการจัดการไม่ให้มันหดลงไปอีก โครงการล่าสุดเพิ่งเริ่มเมื่อปีที่แล้วนี่เอง และกว่าจะเสร็จก็อีกตั้ง 2 ปี ไม่รู้ป่านนั้นจะหดหายลงไปอีกเท่าไหร่ ใครที่ยังไม่เคยไปคงต้องรีบไปแล้วล่ะ ถ้ากลัวมาอิสราเอลหรือปาเลสไตน์ลำบาก ก็ไปทางจอร์แดนจะง่ายกว่า เพราะมีโรงแรมใหญ่ๆสะดวกสบายอยู่ริมทะเลให้เลือกพักหลายแห่ง สามารถลงไปจากชายหาดส่วนตัวของโรงแรมได้เลย การได้ลอยตัวในน้ำโดยที่ไม่จมแบบนี้เป็นประสบการณ์ที่หาได้ไม่ง่าย
คงต้องรีบไปก่อนที่ Dead Sea จะ Dead นะคะ
หมายเหตุ ถึงน้ำใน Dead Sea จะทำให้ตัวลอยโดยไม่จมแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนจมน้ำตาย สาเหตุคือคนแก่หรือคนที่อ้วนมากจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ไม่แข็งแรงพอ ตอนที่จะลุกไม่สามารถเกร็งกล้ามเนื้อให้ลุกได้จึงพลิกคว่ำเอาหน้าจมลงไปในน้ำ ถ้าใครไปลอยเล่นดูจะรู้เลยว่าการลอยตัวโดยเอาหน้าคว่ำแบบว่ายน้ำปกตินั้นทำได้ยากมาก จึงมีกฎให้ลอยตัวในท่านั่งแล้วเอาหน้าขึ้นด้านบน ห้ามคว่ำหน้าลงเด็ดขาด