Engadin เป็นชื่อที่ใช้เรียกบริเวณเขตหุบเขากว้างในคันโตน Graubünden ทางตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์ แบ่งเป็น Upper Engadin และ Lower Engadin มีเมืองและหมู่บ้านเล็กๆหลายแห่งกระจายกันที่เหมาะกับการเล่นสกี เมืองที่คุ้นหูกันของ Upper Engadin ก็เช่น St. Moritz, Pontresina และ Samedan ส่วนเมืองหลักของ Lower Engadin นั้นคือ Scuol ที่ฉันยึดเป็นฐานพักหลักของทริปพักผ่อนฤดูหนาวนี้นั่นเอง
Scuol เป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันออกสุดเกือบชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ติดกับออสเตรียและอิตาลี คนนิยมมาสกีกันทั้งครอบครัวในฤดูหนาว ครั้งนี้เราไปในฤดูหนาวก็จริงแต่ไม่มีแผนจะสกีเพราะเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์โควิด ไม่อยากต่อคิวคนเยอะๆหรือใช้ลิฟต์สกีร่วมกับคนอื่น เราจึงตั้งใจเพียงไปเดินเขาบนเส้นทางฤดูหนาวและแล่นเลื่อนหิมะไถลลงมาตามทางที่เขาทำไว้ ซึ่งมีทางพวกนี้เชื่อมระหว่างหมู่บ้านเล็กต่างๆบนเขาตลอด ทริปนี้จึงเท่ากับเป็นการเดินเขาลุยหิมะสลับกับเล่นเลื่อนและเยี่ยมชมหมู่บ้านเล็กๆทั้งหลายไปด้วยในตัว
หมู่บ้านจิ๋วๆในเขต Lower Engadin นี้มีเสน่ห์และศิลปวัฒนธรรมที่เฉพาะตัว แปลกไปจากสวิตเซอร์แลนด์ภาคอื่นๆ อย่างแรก ภาษาที่เป็นทางการของเมืองนี้คือภาษา Romansh สวิตเซอร์แลนด์มีภาษาอย่างเป็นทางการถึงสี่ภาษา เยอรมันใช้พูดกันมากที่สุด ถัดมาคือฝรั่งเศส อิตาลี และสุดท้ายคือ Romansh นี้เองซึ่งพูดกันเพียงแค่ 1% ของประชากร ฉันชอบสังเกตคำศัพท์ในภาษานี้มาก เพราะมันเหมือนลูกครึ่งระหว่างเยอรมันกับอิตาลี หากพอจะมีพื้นฐานเข้าใจทั้งสองภาษาก็เดาความหมายของภาษาโรแมนช์ไม่ยากนัก หลายคำของเขาฉันว่าน่ารักดีทีเดียว เช่นเวลาจะทักกันว่าฮัลโหลเขาก็จะพูดว่า Allegra ซึ่งมันแปลว่าความสุขความสนุกในอิตาเลียน ดีจัง เจอหน้ากันก็เริ่มต้นที่ความสุขแล้ว คำว่าขอบคุณเขาก็จะใช้ Grazcha ซึ่งคล้ายกับ Grazi ในภาษาอิตาเลียน Good evening จะใช้ Buna saira คล้าย Buona Sera ในอิตาเลียน ถ้าจะให้เป็นทางการหน่อยกลับเป็นพูด A revair คล้ายกับ Au revoir ในฝรั่งเศสเสียนี่ แต่ตัวสะกดหลายคำจะคล้ายเยอรมัน เช่นมีสัญลักษณ์อุมเล้าท์ ¨ เป็นต้น
อีกอย่างที่ไม่เหมือนใครและต้องมาชมคือ ศิลปะภาพวาดจิตรกรรมบนฝาผนังที่นิยมวาดเป็นลวดลายเอาไว้บนผนังปูนนอกตึกรามบ้านเรือนทั้งหลาย ศิลปะนี้เรียกว่า Sgraffiti มาจากภาษาอิตาเลียนว่า sgraffiare ที่แปลว่าขูดขีด เป็นเทคนิคการลงลวดลายบนกำแพงปูนที่ด้านหน้าของตึก โดยจะแกะขูดเนื้อปูนที่ยังเปียกอยู่ให้ลึกลงไปก่อนที่จะลงสี ซึ่งจะทำให้เห็นเป็นแสงเงาความตื้นลึกสวยงามกว่าวาดสีลงไปเฉยๆ ส่วนสิ่งที่วาดนั้นก็มีทั้งรูปต่างๆ หรือลวดลายแพตเทิร์นตกแต่งล้อมกรอบประตูหน้าต่าง หรือคำพูดคำคมต่างๆ และส่วนมากก็จะบอกเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเจ้าของบ้านแต่ละหลังนั้น ในเขต Lower Engadin นี้มีหมู่บ้านเล็กจิ๋วมากมายที่มี Sgraffiti สวยงามตกแต่งบ้านที่น่าไปสำรวจชมให้ทั่ว โรงแรมที่เราพักอยู่ในกลางเมือง Scuol เลย จึงสะดวกในการเดินเล่นไปตามตรอกเล็กซอกน้อยเพื่อชมจิตรกรรมบนฝาผนังของตึกทั้งหลายในเมืองนี้ น่ารักน่าถ่ายรูปไปหมดเลยจริงๆ
วันนี้ถัดมาเป็นการเดินไปตาม Winter trail จาก Scuol ไปหมู่บ้านเล็กๆชื่อ Sent ห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร โดยที่เราลากเอาเลื่อนไม้ที่ขอยืมโรงแรมไปด้วยหนึ่งอัน เพราะเส้นทางเดินหน้าหนาวที่เลาะไปบนเขานี้ ใช้เป็นเส้นทางที่แล่นเลื่อนไปในตัวได้ด้วย ฉันชอบการเดิน Winter trail มาก มากกว่าเดินเทรลหน้าร้อนเสียอีก เพราะมันไม่ร้อนดี และยังได้ทั้งเดินและไถลเลื่อนไปด้วยในทริปเดียว แต่ขาเดินขึ้นเราก็จะต้องออกแรงลากเลื่อนขึ้นไปหน่อย โชคดีฉันมีหนุ่มลากให้ สบายไป
Sent เป็นหมู่บ้านเล็กมากๆ เราเห็นหอคอยโบสถ์หลังคาแหลมแต่ไกลตั้งแต่ยังเดินอยู่บนเขา ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนโบราณที่เดินข้ามเขาไปเยี่ยมชมหมู่บ้านที่อยู่บนเขาลูกถัดไปเลย บ้านเรือนในหมู่บ้านมี Sgraffiti บนผนังกำแพงให้เดินชมอย่างเพลิน ยิ่งบ้านที่อยู่ตรงรอบๆโบสถ์ยิ่งสวยกว่าปกติ อาจจะเคยเป็นตึกสำคัญมาก่อน ประตูหน้าต่างสีสันสวยงามและมีของกระจุกกระจิกตกแต่ง ส่วนตัวโบสถ์นี้ดูไกลๆเหมือนจะสวยกว่า แต่พอดูใกล้ๆกลับธรรมดา ข้างในก็เรียบง่ายไม่มีอะไรมาก แต่เพดานมีการวาดเป็นลายเส้น Sgraffiti อีกเหมือนกัน เป็นหมู่บ้านจิ๋วที่น่าสนใจทีเดียว ไม่รู้ว่าถ้าเป็นช่วงสถานการณ์ปกติที่ร้านอาหารต่างๆเปิดได้จะมีคนมาเที่ยวมากหรือเปล่า
ขากลับเราเดินข้ามเขาลูกเดิมแต่ใช้เส้นทางอีกเส้นสูงขึ้นไปนิด ดังนั้นขาลงกลับมา Scuol จึงได้ไถลเลื่อนยาวลงมาอย่างสนุกทีเดียว ตอนแรกยังไม่ชินก็ยากหน่อย แต่พอจับทางได้ทีนี้ฉันก็ซิ่งแหลกไถยาวลงมา เล่นคนเดียวไม่แบ่งคนอื่นเลย
ทางเดินบนเขาก็มีอะไรกุ๊กกิ๊กเล็กน้อย เช่นม้านั่งไม้บนภูเขานี้ มีไม้กวาดอันจิ๋วแขวนเอาไว้ประจำม้านั่งเพื่อให้ปัดกวาดหิมะออก จะได้นั่งได้สะอาดๆ คนสวิสนี่จริงๆเลย ช่างเป็นระเบียบละเอียดลออไปทุกเรื่อง และด้านบนยอดเขามีร้านอาหารอยู่หนึ่งร้าน ปรากฏว่าเขามีเลื่อนไม้วางเอาไว้ให้มากมายหน้าร้านเพื่อให้คนที่มากินอาหารไถลเลื่อนลงภูเขามาได้โดยที่ไม่ต้องเดิน ตรงด้านล่างก็มีที่ให้จอดเลื่อนที่ลูกค้าไถลงมารวมเอาไว้ ซึ่งร้านอาหารคงจะมาเก็บลากเอาขึ้นไปเองทีหลัง ช่างเป็นบริการรถรับส่งฟรีแบบช่วยตัวเองที่น่ารักจริงๆ
พักอยู่ Scuol สามคืน เดินเขา แล่นเลื่อน และชมเมืองวนไป เราอยากชมอีกสองหมู่บ้านในบริเวณใกล้เคียงที่ยังไม่เคยสำรวจอย่างจริงจัง ตอนขากลับจึงแวะไปเที่ยวชมเสียหน่อย ที่แรกคือหมู่บ้าน Ardez เป็นหมู่บ้านเล็กจิ๋วมากๆ มีคนอยู่เพียง 400 กว่าคนเท่านั้นเอง ถนนก็เล็กขนาดรถแทบสวนกันไม่ได้ เราเดินชมซอกแซกไปตามตรอกเล็กซอยน้อย เห็นตึกไหนก็สวยไปหมดเลย สวยทั้ง Sgraffiti และสวยทั้งรูปลักษณะของสถาปัตยกรรมที่สร้าง ตึกหลายหลังมีชั้นล่างเป็นปูนแต่ชั้นสองเป็นไม้ โดยวางแผ่นไม้ให้มีร่องระบายอากาศ เข้าใจว่าเมื่อก่อนอาจจะเป็นที่เก็บพืชผลผลิตภัณฑ์
ส่วนบ้านที่มี Sgraffiti ที่ว่ากันว่าน่าจะสวยที่สุด แลดูอลังการมากนั้น อยู่บนถนนหลักที่ผ่ากลางหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์ เป็นรูปอดัมกับอีฟวาดเต็มจากชั้นล่างไปจรดหลังคาทีเดียว สวยมากๆสมคำร่ำลือ เป็นหมู่บ้านเล็กที่อัดแน่นไปด้วยตึกสวยจริงๆ
ต่อมาคือหมู่บ้าน Guarda ซึ่งยิ่งเล็กลงอีกถ้าเทียบกับหมู่บ้านอื่นในบริเวณใกล้เคียง มีพลเมืองเพียงแค่ 150 คนเท่านั้น ที่นี่นักท่องเที่ยวไม่สามารถขับรถเข้าไปในหมู่บ้านได้ ต้องจอดที่ลานจอดรถด้านล่างแล้วเดินขึ้นไปยังหมู่บ้านซึ่งอยู่ด้านบนของเนินเขา ถึงแม้ที่นี่จะมีขนาดเล็กกว่าหมู่บ้านอื่น แต่ได้รับรางวัลการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมาคมอนุรักษ์ของสวิตเซอร์แลนด์ทีเดียว และมีโรงแรมโอ่อ่าอยู่กลางหมู่บ้านรับวิวภูเขาอย่างดีเลย เห็นแล้วน่าไปพักจริงๆ คงต้องจัดสักครั้ง
นอกจากพลเมืองที่นี่จะน้อยมากแล้ว ยังมีปัญหาว่าคนรุ่นใหม่ก็ทยอยย้ายออกไปอยู่เมืองใหญ่กัน ทำให้แนวโน้มจะมีพลเมืองน้อยลงเรื่อยๆ ใครสนใจอยากมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านตุ๊กตาวิวภูเขาดีขนาดนี้ ย้ายไปอยู่เขาคงจะดีใจแน่นอนยังมีหมู่บ้านเล็กๆให้ชม Sgraffiti อีกหลายแห่งที่ Engadin คงต้องหาเวลากลับมาเที่ยวชมให้ครบแน่นอน