เรื่องเดินเขากับคนสวิสนี่เหมือนจะเป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ออก การเดินเข้าไปในป่าในภูเขานี่เสมือนเป็นวิถีชีวิตประจำวันของคนสวิสทีเดียวเชียว สำหรับฉันที่ย้ายมาอยู่สวิตเซอร์แลนด์ได้ไม่ถึงสิบปี มาแรกๆก็ไม่เข้าใจว่าจะเดินอะไรกันนักหนา ไม่เหนื่อยไม่เบื่อเหรอ มันมีอะไรให้ดูขนาดนั้น แต่พออยู่ๆไป ได้ไปเดินจากที่ง่ายๆสั้นๆก็เพิ่มเป็นนานขึ้นยาวขึ้น เดี๋ยวนี้ติดเดินป่าเดินเขาเหมือนคนสวิสไปแล้วอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เข้าใจแล้วว่ามันสดชื่นมาก เป็นการออกกำลังผสมการท่องเที่ยวไปพบเห็นบรรยากาศใหม่ๆหมู่บ้านใหม่ๆในหนึ่งเดียว ได้ทั้งเที่ยวทั้งแข็งแรง เป็นการบริหารทั้งกายและใจ เดี๋ยวนี้จึงขยันสรรหาสถานที่เดินใหม่ๆที่ไม่เคยไปและออกเดินปีละหลายสิบครั้งไม่ว่าฤดูร้อนหรือฤดูหนาว
สำหรับเส้นทางที่เลือกนั้น บางทีฉันก็ไปเดินเส้นทางดังๆสวยๆแบบที่พลาดไม่ได้ บางทีไปที่ๆนักท่องเที่ยวชอบ บางทีไปที่ๆคนสวิสชอบ และบางทีก็ไปเดินตามเส้นทางท้องถิ่นเล็กๆที่ไม่มีใครรู้จักเหมือนกัน เพราะพวกเส้นทางเล็กๆนี่มักจะมีอะไรซ่อนอยู่ที่คาดไม่ถึง
วันก่อนฉันไปพักเมือง Andermatt เมืองสกีในคันโตน Uri ของสวิตฯ ขับรถจากซูริกไปไม่ถึง 2 ชั่วโมงพอเช้าเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้วก็ตั้งใจจะไปหาเส้นทางเดินเขาที่ไม่เคยไปมาก่อนเพื่อเดินเล่นสัก 4-5 ชั่วโมง แต่พอขับรถไปสำรวจดูรอบๆเมืองแล้ว ภูเขาด้านบนยังมีหิมะท่วมอยู่เยอะและแลดูแห้งแล้งโล่งโจ้งเกิน ปกติฉันจะชอบเดินเส้นที่บุกเข้าไปในป่าเขียวครึ้มหน่อย ยิ่งมีทะเลสาบยิ่งดี เราจึงขับรถต่อไปที่เมือง Göschenen ที่อยู่ไม่ไกลกัน ตั้งใจว่าจะเดินไปให้ถึงทะเลสาบ Göscheneralpsee แต่สุดท้ายไปไม่ถึง ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าว่าทำไมไปไม่ถึง
เราไม่ได้เริ่มเดินตั้งแต่ในเมือง Göschenen เพราะไม่เช่นนั้นมันจะไกลเกินไป แต่เราขับรถลึกเข้าไปอีกตามเส้นทางเล็กๆระหว่างภูเขา มีแต่ธรรมชาติและมีบ้านชาวนาบ้าง จนกระทั่งมาถึงจุดหนึ่งซึ่งมีลานจอดรถเล็กๆและแลดูว่าเริ่มเดินจากตรงนี้ไปน่าจะดี ถ้าจะให้บอกว่าจุดนี้คือตรงไหนก็คงอธิบายไม่ถูก บอกได้แค่ว่ามีโบสถ์น้อยอยู่หนึ่งหลังติดกับบ้านหลังเบ้อเริ่มของคุณตาชาวนาคนหนึ่ง มีคอกวัวคอกแกะอยู่ติดกัน และดูเหมือนว่าคุณตาจะมีที่ดินทำเกษตรกรรมอยู่ในบริเวณด้วย เห็นคุณตาขับรถอีแต๋นไปมาอยู่แถวนั้น ทั้งบริเวณมีโรงนาของคุณตาอยู่แห่งเดียวนี่แหละ เหมือนเป็นขาใหญ่ขาเดียวในหุบเขานี้เลย
ตรงนี้เป็นจุดที่อยู่ระหว่างภูเขาสองฝั่ง มีแม่น้ำ Göschener Reuss ไหลเชี่ยวผ่านระหว่างภูเขาเป็นแนวลงมา แค่ตรงนี้วิวก็สวยตะลึงแล้ว เราเดินข้ามสะพานไม้หน้าโรงนาของคุณตาจากฝั่งที่เป็นถนนไปยังฝั่งที่เป็นป่า เดินมุ่งไปทางทิศของอ่างเก็บน้ำโดยตามป้ายบอกทางสีเหลืองไปเรื่อยๆ ช่วงแรกนี้ทางเดินไม่ยากเท่าไหร่และร่มรื่นสวยงามทีเดียว ทั้งป่าสีเขียวที่เราเดินผ่านไปและวิวภูเขาใหญ่ตระการทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เส้นทางเดินนี้มีสายน้ำไหลผ่านตัดเส้นทางมากมายเป็นระยะ ด้วยความที่หิมะบนภูเขาทางซ้ายมือนี้เริ่มละลายกลายเป็นน้ำไหลลงมาสู่แม่น้ำด้านล่างทางขวา ดังนั้นเราจึงต้องคอยเดินกระโดดข้ามลำธารน้ำพวกนี้อยู่หลายเส้นทีเดียว
แต่พอเดินมาสักพัก อ้าว มีเนินหิมะใหญ่ทับขวางเส้นทางอยู่ หิมะพวกนี้คงยังไม่ละลายจึงเป็นเนินใหญ่กองตัดทางขาด เราจึงต้องเดินลุยย่ำไปบนหิมะข้ามไป ทำให้เสียเวลาไปพอสมควรเนื่องจากเดินแล้วจม จึงต้องค่อยๆเดิน
แถมที่โหดกว่าคือ พอพ้นเนินหิมะแล้วสักพักก็มาเจอแผ่นดินถล่มขวางตัดทางอีก มันแลดูเหมือนว่ามีแผ่นดินที่ไหลถล่มลงมาจากภูเขาสูง ไล่ถอนรากถอนโคนต้นไม้ระนาบราบเรียบเป็นหน้ากลองลงมาจนถึงแม่น้ำด้านล่างทีเดียว เราจึงต้องเดินลุยข้ามไปบนดินตะปุ่มตะป่ำนี้ ซึ่งด้านล่างเป็นหิมะแข็งที่ถูกทับด้วยโคลนสีน้ำตาล ดูเหมือนดินภูเขาไฟที่ตะปุ่มตะป่ำไม่มีผิด เวลาเดินต้องหาที่วางเท้าให้ดีไม่เช่นนั้นขาทั้งขาก็อาจจะหล่นลงไปในซอกดินผสมน้ำแข็งที่แลดูแหลมๆแข็งๆได้ กว่าจะเดินผ่านมาได้ก็ทั้งเหนื่อยทั้งลุ้นด้วยความหวาดเสียว
พอข้ามมาถึงทางเดินปกติที่เป็นหญ้า ฉันจะหันกลับไปถ่ายรูปเสียหน่อยจึงพบว่าโทรศัพท์ตกหายไปเสียแล้ว! โอ้ยใจหายวูบเลย คงหลุดออกจากกระเป๋ากางเกงตอนที่เดินยักแย่ยักยันข้ามภูเขาดินถล่มนั้น แล้วจะหาเจอได้อย่างไรในเมื่อซองโทรศัพท์ก็สีน้ำตาล ดินก็สีน้ำตาล พื้นดินช่างแลดูกว้างใหญ่ จะให้เดินกลับไปหาอีกก็โหดเหลือเกินเพิ่งผ่านมาแท้ๆ อยากจะร้องไห้ คุณสามีรีบเดินย้อนเส้นทางปีนภูเขาดินขึ้นไปดูให้ใหม่ในขณะที่ฉันเดินหาอยู่ตรงพื้นหญ้าด้านล่าง เพียงแค่ไม่กี่นาทีนางก็ตะโกนโหวกเหวกลงมาว่าเจอแล้วๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาชู โชคดีจริงๆที่ไม่หล่นลงไปในซอกลึกใต้ดิน เป็นบุญมากที่รอดมาได้ แต่ก็ทำให้เราเสียเวลาไปกับการลุยหิมะลุยดินถล่มและหาโทรศัพท์จนสรุปว่าวันนี้คงเดินไปไม่ถึงทะเลสาบ Göscheneralpsee แล้วแน่นอน
เราจึงเปลี่ยนแผนว่าก็เดินไปตามเส้นทางนี้แหละ แต่ให้ถึงแค่ทะเลสาบเล็กจิ๋วก่อนหน้าทะเลสาบ Göscheneralpsee ก็พอ เส้นทางจากนี้เป็นการเดินเข้าไปในป่าโดยไต่ขึ้นไปบนขั้นบันไดดิน สวยมากๆ ตลอดเส้นทางเราไม่เจอคนอื่นเลยมีแต่เราสองคนเท่านั้น เหมือนเดินอยู่ในหุบเขาในนิทานที่เราฝันถึงตอนเด็กๆ สวยจนสุดจะบรรยายให้เห็นภาพ พูดได้แค่ว่า ในป่าตรงนี้ถ้าอยู่ดีๆมีภูติเอลฟ์โผล่ตัวออกมา ฉันก็คงจะเชื่อได้ไม่ยากเลยว่านี่คือป่าในสวรรค์ของพวกเอลฟ์จริงๆ
พอผ่านสะพานที่ข้ามน้ำตกมา เราก็ลุยต่อเข้าไปในป่า อ้าวเจอต้นไม้ใหญ่ล้มตัดทางขาดอีกแล้ว แต่เราไม่ยอมแพ้เพราะรู้แล้วว่าทางในป่าตรงนี้สวยมากชนิดไม่ควรพลาด จึงปีนข้ามต้นไม้ไป ทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะกิ่งก้านมีหนามแหลม แต่ก็ผ่านมาได้ สรุปวันนี้คือผ่านด่านอุปสรรคหลายด่านทีเดียว แต่ก็สนุกมากๆ
ในที่สุดเราก็ขึ้นมาอยู่บนยอดเขาสูง ซึ่งด้านบนกลายเป็นที่ราบอยู่ระหว่างหุบเขา มีบ้านคนอยู่รวมกันเหมือนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ และปรากฎว่าตรงริมทะเลสาบจิ๋วนั้นเป็นลานจอดรถของพวกรถบ้านคาราวานมากมายทีเดียว ชื่อ Zeltplatz-Mattli เหมือนเป็นที่นิยมของคนที่ชอบขับรถลากบ้านพ่วงมาตั้งแคมป์ มีห้องน้ำห้องอาบน้ำให้ใช้ส่วนกลาง และดูเหมือนว่ารถบ้านส่วนมากจะจอดอยู่ที่นี่กันอย่างถาวร เจ้าของส่วนมากจะเป็นคนแก่ ยามเย็นแดดอ่อนแล้วเห็นออกมานั่งนอนหย่อนใจพร้อมปิ้งบาร์บีคิวกันหลายคน
เราเดินไปนั่งพักเหนื่อยกินขนมผลไม้ที่พกมา ชมวิวสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างชื่นใจริมทะเลสาบ
ส่วนขากลับแทนที่เราจะเดินลุยป่ามาทางเดิม เราก็เปลี่ยนไปเดินอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำซึ่งเป็นถนนที่พวกรถบ้านพวกนี้เล่นขึ้นมาแทน จึงใช้เวลาไม่มากก็เดินวนกลับลงมาถึงยังรถที่จอด คุณตาเจ้าของโรงนายังขี่รถอีแต๋นดูแลกิจการวนเวียนอยู่เลย พอเห็นเราเดินกลับมาก็ยิ้มให้หลายครั้งทีเดียว
สรุปเดินไปประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาไปกลับประมาณ 4 ชั่วโมงเพราะฝ่าด่านอุปสรรคหลายด่าน เส้นทางไม่นับว่าง่ายแต่ก็ไม่ถือว่ายากเกินไป เดินผ่านมาได้ก็นับว่าหัวใจยังแข็งแรงใช้ได้อยู่ นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางอีนซีนที่ฉันชอบมากๆและอยากจะกลับไปอีกแน่นอน