เส้นทางคดเคี้ยวหักศอกหลายทบที่พับผ่านไปบนภูเขาสูงระหว่างคันโตน Bern และ Valais ของสวิตเซอร์แลนด์นี้ มีชื่อเรียกกันว่า Grimselpass ในหน้าหนาวเส้นทางนี้จะถูกตัดขาดด้วยหิมะ แต่ในหน้าร้อนจะเป็นที่ท่องเที่ยวชมวิวและเดินเขาของคนในสวิตฯอันเป็นที่นิยมแห่งหนึ่ง ด้วยความสวยงามและสารพัดกิจกรรมทัวร์ที่มีให้เลือกชมได้ทั้งครอบครัว

เวลาเราขับรถไปบนเส้นทางบนภูเขาแห่งนี้จะเห็นทะเลสาบสีเขียวอมฟ้าหลายแห่ง ซึ่งอยู่ในระดับความสูงระหว่างภูเขาต่างๆกันไป ทะเลสาบพวกนี้จริงๆเราจะเห็นว่าเป็นอ่างเก็บน้ำที่เกิดขึ้นมาจากการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่ละแห่งล้วนแต่สวยงามจับจิต โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อน เพราะจะมีก้อนน้ำแข็งขาวๆแตกเป็นเสี่ยงๆลอยอยู่บนน้ำสีเขียวอมฟ้า แปลกตาไม่เหมือนทะเลสาบอื่นๆ อย่างเช่นทะเลสาบ Gelmersee ที่อยู่สูงลิ่วบนเขา จะขึ้นไปได้ก็ต้องนั่งรถราง Gelmerbahn ซึ่งเคยเป็นรถรางที่ชันที่สุดในยุโรปขึ้นไป ใช้เวลา 12 นาที ตัวรถราง Funicular นี้เปิดประทุน เวลานั่งต้องหันหน้าออกนอกเขา จึงเห็นวิวเวลาไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สนุกและไม่น่ากลัวเลยแม้จุดที่ชันที่สุดแทบจะตั้งฉากกับพื้น

พอถึงข้างบนปุ๊บก็แทบจะเห็นน้ำสีฟ้าอมเขียวสุดสวยของทะเลสาบ Gelmersee ทันที หลายคนเดินไปชมวิวที่สันเขื่อนแลฃ้วก็นั่งรถรางกลับ แต่เราต้องเดินรอบทะเลสาบให้ครบรอบ โดยเราเลือกเดินตามเข็มนาฬิกา เพราะชอบเริ่มยากจบง่ายดีกว่า แต่จะว่าไปเส้นทางเดินนี้ไม่โหดมากนัก ไม่ได้ขึ้นๆลงๆเยอะ และมีหินแบนๆปูให้เหยียบไม่ยาก มีหลายช่วงที่ต้องข้ามลำธารที่ไหลเป็นสายน้ำตกลงมาจากภูเขา และมีทางแคบๆชิดติดไหล่เขาให้พอหวาดเสียวหลายช่วง เดินไปได้เห็นน้ำสีสวยไปตลอดเส้นทาง ต้นไม้ใบหญ้าและดอกไม้ป่าก็สวยมากๆ

เดินครบรอบทะเลสาบชมวิวจนจุใจใช้เวลาไป 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่ยังไม่พอ แทนที่จะนั่งรถรางกลับลงมา เราเดินลงอีก 2 ชั่วโมง ทีนี้ไต่ดิ่งลงชันเลย เพราะเราขึ้นไปสูงมากๆ แต่ทางมีปูเป็นบันไดหินให้ส่วนมากเลยไม่ต้องกลัวไถลกลิ้งลงมา พอมาถึงถนนด้านล่างก็มีป้ายรถเมล์พอดี นักเดินบางคนจะขึ้นรถเมล์ย้อนไปที่จอดรถตรงสถานีรถรางได้ แต่เราเดินต่ออีก ลุยเข้าป่าอีกฝั่งของถนนเข้าไปอีก ได้เห็นภูเขาหินโล้นเกลี้ยง ภูมิทัศน์แปลกไปจากเดิม น่าจะเป็นผลของธารน้ำแข็งในยุคดึกดำบรรพ์ มีน้ำตกและลำธารที่มีเซาะจนเป็นโตรกผาด้วย

จนสุดท้ายก็มาโผล่ที่โรงแรมที่จองไว้พักคืนนี้พอดี คือ Hotel and nature resort Handeck เป็นโรงแรมง่ายๆเหมาะกับครอบครัว มีบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งและซาวน่าให้แช่คลายกล้ามเนื้อ เราจึงปฏิบัติการวารีบำบัดอย่างสดชื่นเสียก่อนมื้อเย็นที่อร่อยมากๆขึ้นชื่อในโรงแรม

โรงแรมมีบริเวณกว้างมากๆ มีสวนพร้อมเครื่องเล่นให้เด็กๆ และยังเดินไม่กี่นาทีก็ไปถึงสะพานแขวน Handeggfallbrucke ซึ่งอยู่ติดสถานีรถราง Gelmerbahn เลย เรียกว่าหากพักโรงแรมนี้ ก็เดินข้ามสะพานแขวนให้เสียวเล่นไปขึ้นรถราง Gelmerbahn ได้เลย พักที่เดียวเที่ยวได้ครบสูตร เหมาะกับทั้งคนชอบเดินและคนไม่ชอบเดิน

วันต่อมาเราไปทัวร์โรงงานผลิตไฟฟ้าด้วยกระแสน้ำกัน ฟังดูน่าเบื่อแต่จริงๆแล้วไม่น่าเบื่อเลย เป็นประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างอย่างมาก ได้ความรู้อันน่าทึ่งอีกด้วยเราซื้อตั๋วออนไลน์และไปถึงจุดนัดพบที่ด้านหน้าของโรงแรม Grimsel Hospiz ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบโดยสามารถขับรถข้ามสันเขื่อนไปได้ เนื่องจากในหน้าหนาวถนนที่ขึ้นมาบนภูเขานี้จะถูกตัดขาดจากภายนอกทั้งหมดด้วยหิมะ การที่จะมาโรงแรมนี้ได้จึงต้องใช้เส้นทางที่เป็นถนนใต้ดินซึ่งอยู่ลึกลงไปถึงใต้ทะเลสาบ และเป็นถนนที่โรงงานพลังงานไฟฟ้าใช้สัญจรทำงานกัน และทัวร์นี้จะพาชมถนนใต้ท้องทะเลสาบนี้ด้วย

จากจุดนัดพบ คุณลุงไกด์ให้เราชมภาพนิทรรศการที่จัดแสดงดูก่อนเพื่อความเข้าใจเบื้องต้น จากนั้นจึงพาเราขึ้นกระเช้าแบบที่ใช้บนเนินสกีพาเราลอยข้ามเขาไปที่สถานีอีกฝั่งตรงจุดที่ต่ำลงไป กระเช้าอันนี้มีความพิเศษตรงที่ไม่มีคนบังคับ แต่ใครเข้าไปแล้วก็จะกดปุ่มบังคับให้มันเดินทางได้เองเหมือนกดลิฟต์ หนึ่งกระเช้านั่งได้แปดคน ใช้เวลา 2นาทีกว่าก็ลอยไปถึงสถานีอีกฝั่ง ระหว่างนั้นเราเห็นผนังกำแพงสูงของเขื่อน Spitallamm จากด้านบนที่กั้นน้ำอยู่เต็มขวางระหว่างช่องแคบของสองเขาต่ำลงมาถึงด้านล่าง ใหญ่โตอลังการ ดูแล้วก็ทึ่งจริงๆว่ามนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ขนาดนี้ เขื่อนนี้เขากำลังสร้างผนังเขื่อนอันที่สองทดแทนอันเก่าที่เริ่มจะเสียหาย จึงเห็นไซท์ก่อสร้างที่กำลังทำงานอยู่ แลดูน่าทึ่งจริง พอมาถึงสถานีอีกฝั่งหนึ่งแล้วเราก็เดินลงบันไดไปใต้ดินลึกมาก จากนั้นก็เป็นถนนแคบๆเหมือนอยู่ในถ้ำ คุณลุงพาขึ้นรถแล้วขับไปตามถนนนี้ เหมือนเป็นการขับรถไปในอุโมงค์ใต้ดินเป็นระยะทางยาวหลายกิโลเมตรทีเดียว คุณลุงบอกว่าขณะที่เราขับอยู่นี้เราอยู่ใต้ทะเลสาบแล้ว และถนนนี้ยาวไปทะลุถึงเมือง Innertkirchen ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท Kraftwerke Oberhasli หรือ KWO ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าแจกจ่ายไปนั่นเอง มันช่างน่าอัศจรรย์มากที่มนุษย์สามารถเจาะภูเขาลงไปลึกถึงใต้ดินใต้ทะเลสาบหลายแห่ง ใช้เป็นเส้นทางเดินทางที่เชื่อมกับเมืองด้านนอก และยังใช้เป็นที่ทำการควบคุมการผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย

เราได้เห็นเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าจากกระแสน้ำเหมือนหอยทากสีเขียวยักษ์ ฉันแปลกใจที่พบว่าเขาใช้ไม่กี่เครื่องเลย และความรู้ใหม่ที่น่าตะลึงมากก็คือ เทคโนโลยีและการออกแบบเขื่อนเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าของที่นี่นั้นซับซ้อนและไฮเท็คมาก เพราะแทนที่จะใช้เขื่อนเดียว เขาใช้เป็นเครือข่ายเขื่อนเลย วิธีการคือกั้นเขื่อนขึ้นมาระหว่างภูเขาหลายจุดที่หลายระดับความสูง ทำให้อ่างเก็บน้ำแต่ละแห่งนั้นมีขนาดและระดับความสูงต่างกัน และตรงก้นทะเลสาบหรืออ่างเก็บน้ำใหญ่นั้นก็จะมีท่อยักษ์เชื่อมถึงกัน ทำให้ทดน้ำไปมาระหว่างอ่างเก็บน้ำได้ พอเอาพลังน้ำมาใช้ปั่นไฟได้ในปริมาณที่ต้องการแล้ว ก็สามารถปั๊มน้ำที่ตกลงมากลับขึ้นไปในทะเลสาบที่อยู่สูงแล้วปล่อยให้น้ำตกลงมาปั่นไฟได้อีก การที่มีอ่างเก็บน้ำหลายแห่งในหลายระดับก็จะทำให้สามารถออกแบบควบคุมการดึงกระแสน้ำมาใช้ปั่นไฟได้มากน้อยตามความต้องการของเมือง คุณลุงบอกว่า พลังไฟฟ้าจากกระแสน้ำนี้สามารถปั่นไฟเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีความต้องการเร่งด่วน เช่นในช่วงเวลาที่คนทั้งเมืองดูฟุตบอลอยู่นี้ พอถึงช่วงพัก 15นาทีคนก็จะลุกไปทำกิจกรรมอื่นที่ต้องใช้ไฟ ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของเมืองพุ่งขึ้นสูงทันที ซึ่งเขาก็จะต้องวางแผนให้ปั่นกระแสไฟได้มากตามความต้องการทันเวลาพอดี มันจะต้องเป็นการวางแผนอย่างละเอียดให้พอดีทุกขั้นตอนทุกวัน น่าทึ่งจริงๆ

ก่อนจบทัวร์คุณลุงพาไปดูไฮไลท์อีกอย่าง นั่นก็คือถ้ำคริสตัล คือตอนที่เขาขุดเจาะใต้ดินเพื่อทำเขื่อนนี้ปรากฏว่าพบสายคริสตัลอยู่ในชั้นหินมากมายซึ่งเกิดโดยธรรมชาติ มีห้องที่เอาคริสตัลเหล่านี้มาใส่ตู้ทำเป็นนิทรรศการให้เราชม และมีห้องที่กั้นเป็นกระจกให้เราชมสายคริสตัลที่ยังอยู่ในชั้นหินใต้ดินด้วย แต่ละแท่งใหญ่ใสแหนว อัดแน่นอยู่ด้วยกัน สวยมากๆทัวร์นี้ได้ความรู้ใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน และได้ความตื่นเต้นในการได้ไปนั่งรถทะลุทะลวงไปตามถนนใต้อ่างเก็บน้ำด้วย ไม่แปลกเลยที่ Grimselpass เป็นจุดหมายท่องเที่ยวที่ทั้งสวยทั้งสนุกน่าสนใจของคนสวิส และนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังมาไม่มาก เสมือนเป็นความลับในหุบเขาของคนสวิสนั่นเอง

NO COMMENTS