เมือง Chamonix-Mont-Blanc หรือที่ทุกคนชอบเรียกกันสั้นๆว่า Chamonix นี้ เป็นเมืองอยู่ในภูเขาสูงของฝรั่งเศสทางตะวันออกที่ติดกับสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลีโดยมีเทือกเขาแอลป์กั้น เป็นเมืองสกีแห่งแรกๆของประเทศฝรั่งเศสทีเดียว และเป็นเมืองแรกในโลกที่จัดการแข่งขันวินเทอร์โอลิมปิกเมื่อปี 1924

ฉันได้ตระเวนสกีในฝรั่งเศสและอิตาลีในบริเวณนี้มาหลายเมืองแล้ว เคยพิจารณาอยากจะมาสกีที่เมืองชาโมนีส์หลายครั้งด้วยความยั่วยวนของชื่อเสียงแห่งการเป็นสกีรีสอร์ท แต่พอเข้ามาศึกษาทำการบ้านดู เห็นลักษณะเนินเขาและจำนวนลิฟต์สกีที่มีในหมู่บ้านแล้ว มั่นใจว่าไม่ถูกจริตตนแน่นอน จึงเว้นไว้ไม่ได้มาเที่ยวเมืองนี้เสียทีจนแล้วจนเล่า พอดีช่วงนี้ยุโรปเริ่มเปิดชายแดนให้เที่ยวข้ามประเทศได้แล้ว ฉันจึงเคาะว่าขอมาชมชาโมนีส์ในหน้าร้อนดีกว่า เพราะที่นี่ก็เดินเขาได้ และจะได้มาเช็คดูสถานที่จริงด้วยว่าน่าจะมาสกีบ้างไหม

บรรยากาศในหน้าร้อนของที่นี่ก็เหมือนเมืองน่ารักในยุโรปทั้งหลาย คือเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสและผู้คนที่มาพักผ่อนกันสบายๆมากมาย ตัวเมืองเก่ามีถนนคนเดินเส้นยาวตัดผ่าน สองข้างทางมีตึกน่ารักเต็มไปด้วยร้านอาหารร้านขายของล่อตาล่อใจนักท่องเที่ยว มีแม่น้ำไหลผ่ากลางเมืองขนานไปกับถนน น่ารักมากๆ ถนนแยกซ้ายขวามีทางไปขึ้นกระเช้าสำหรับไปสกีหรือไปเดินเล่นบนภูเขาด้านบนได้ แต่สิ่งที่ทำให้ชาโมนีส์ไม่เหมือนเมืองอื่นใดก็คือ ธารน้ำแข็งหลายแห่งบนภูเขาสูงที่เห็นได้ชัดจากในเมือง ชัดและใกล้ราวกับธารน้ำแข็งเหล่านั้นจะไหลลงมาแตะตัวเมืองได้ทีเดียว ธารน้ำแข็งที่เห็นชัดที่สุดนั่นก็คือ Glacier des Bossons ซึ่งไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของเมืองก็มองเห็น เป็นวิวที่อลังการน่าทึ่งมากจริงๆ

ตัวเมืองนี้มีขนาดไม่ใหญ่ เดินเล่นไม่นานก็ทั่ว สำหรับการมาเที่ยวหน้าร้อนนี้ฉันไม่แนะนำให้เสียเวลาเดินเที่ยวเล่นในเมืองมากนัก แต่แนะนำให้ขึ้นไปเดินเขาดูธารน้ำแข็งด้านบน หรือถ้าเดินไม่ไหวก็ขึ้นกระเช้าไปชมวิวดีกว่า เมืองชาโมนีส์นี้คือเมืองที่ดีที่สุดในการชมยอดเขา Mont Blanc เลย

จากในเมืองเรานั่งรถไฟโบราณขึ้นไปบนเขาสูงที่จุด Montenvers พอถึงก็เจอธารน้ำแข็งแรกเลย คือ Mer de Glace ชมวิวได้แจ่มมาก นักท่องเที่ยวส่วนมากขี้นมาชมวิวที่นี่ กินข้าวปิกนิกแล้วก็นั่งรถไฟกลับ แต่เราเดินต่อ โดย ใช้เส้นทาง Grand Balcon Nord ไต่ขึ้นๆลงๆเยอะมาก แต่ทางสวยจริงๆ หน้าร้อนดอกไม้ป่าเต็มทุ่ง ทางเดินก็เป็นหินๆ เหมือนเดินในสวนยักษ์ของบ้านใครสักคน สวยมากๆ และระหว่างทางก็ได้ชมวิวธารน้ำแข็งตลอด ชมแล้วชมอีก ใกล้ชิดสวยกว่าตรง Montenvers อีก ระหว่างทางบางทีก็ต้องข้ามลำธารที่เป็นน้ำละลายลงมาจากหิมะด้านบน มีเรื่องตื่นเต้นด้วย คืออยู่ดีๆได้ยินเสียงครืนๆ มองไปเห็นหิมะถล่มลงมา แต่มันอยู่สูงขึ้นไป เราเลยไม่กลัวว่าจะอันตราย แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นหิมะถล่มกับตา

เราเดินไป 10 กว่ากิโล ใช้เวลา 4 ชั่วโมง ก็มาถึงสถานีรถกระเช้าที่ตรง Aiguille du Midi ซึ่งเราจะนั่งกลับลงมาในเมือง ตรงนี้เห็นธารน้ำแข็งอีกแห่ง คือ Glacier des Bossons ที่บอกว่ามองเห็นชัดจากในเมืองชาโมนีส์ไม่ว่าจะมุมไหน ยิ่งได้ขึ้นมาเห็นธารน้ำแข็งนี้จากข้างบนใกล้ๆ ยิ่งตะลึงตึงๆ มหัศจรรย์มากๆ และตรงสถานีนี้ยังสามารถนั่งรถกระเช้าขึ้นไปจนถึงด้านบนเพื่อชมยอดเขา Mont Blanc ได้ จะมีจุดชมวิวอย่างใกล้ชิด ซึ่งอันที่จริงฉันไม่ได้ขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดเพื่อชมมองต์บลังค์หรอก เพราะตอนเดินมาถึงกระเช้านั้น รอบกลับลงเมืองเที่ยวสุดท้ายจะหมดพอดี ถ้าเลือกที่จะขึ้นต่อไปอีกต่อหนึ่งเพื่อชมวิวก็อาจจะกลับลงมาไม่ทัน และวันนั้นได้ชมธารน้ำแข็งอย่างใกล้ชิดถึงสองแห่งแล้ว จึงตัดสินใจว่าไม่ต้องขึ้นไปดูมองต์บลังค์ใกล้ๆก็คงไม่เป็นไร (ปลอบใจตัวเอง)

ส่วนวันถัดมา เราขึ้นรถกระเช้าไปทางอีกฝั่งหนึ่งของภูเขาเพื่อที่จะได้ชมวิวในระดับความสูงเดียวกันแล้วมองกลับมาที่ธารน้ำแข็ง แต่โชคร้าย ขึ้นไปข้างบนแล้วอากาศปิด เมฆหมอกหนามาก มองไปรอบๆตัวยังเห็นอะไรไม่เท่าไหร่ อย่าว่าแต่มองข้ามภูเขาเลย รออยู่ข้างบนสักพักไม่ได้เรื่องจึงตัดสินใจกลับลงมาเดินเล่นในเมืองแทน นี่แหละที่บอกว่าไม่ต้องเผื่อเวลาไว้เยอะสำหรับการเดินเล่นในเมือง เพราะอย่างไรเราก็จะได้มาเดินกินอาหารในเมืองอยู่แล้ว

สำหรับโรงแรมที่พักก็พิเศษเช่นกัน บรรยากาศสวยน่ารัก ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินนิดเดียวก็ถึงถนนคนเดินเมืองเก่าเลย ห้องพักมีอยู่ทั้งในตึกหลักและในอาคารที่เป็นบ้านปีกไม้อีกหลังหนึ่ง ที่น่ารักมากๆก็คือในโรงแรมนี้เขานำเอากระท่อมและบ้านปีกไม้โบราณหลายแห่งมาตั้งกระจัดกระจายกันอยู่ในสวน ทำให้แลดูเหมือนเป็นเมืองโบราณเล็กๆ กระท่อมแต่ละหลังปลูกดอกไม้สีสดสวยงาม และสนามที่อยู่ระหว่างตึกเหล่านั้นก็มีบรรดาเก้าอี้นั่งเก้าอี้นอนให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ หรือจะสั่งเครื่องดื่มหรืออาหารว่างมาก็ได้ เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายมากๆ

สระว่ายน้ำและสปาก็ใช้ได้ทีเดียว ถึงจะเล็กแต่ก็มีครบทั้งห้องสตีมอบไอน้ำ ห้องซาวน่า บริการนวด แต่ที่เด็ดก็คือสระว่ายน้ำกึ่งกลางแจ้งกึ่งอินดอร์ซึ่งมองเห็นวิวธารน้ำแข็งได้อย่างชัดเจน แช่น้ำไปดูธารน้ำแข็งไป งดงามเหลือเชื่อจริงๆ

และในโรงแรมยังมีร้านอาหารสองร้าน ขึ้นชื่อว่าอร่อยมากทั้งสอง ฉันได้ชิมที่เดียว เป็นมื้อเย็นในร้านที่ได้ดาวมิชลินหนึ่งดาว และเป็นร้านดาวมิชลินร้านเดียวในเมืองเลย พรีเซนเทชั่น รสชาติ และความคิดสร้างสรรค์ดีทีเดียว  ประทับใจทุกจาน ส่วนอาหารเช้านี่ก็จัดเต็มสมคุณภาพโรงแรม แต่จะมีข้อเสียก็ตรงที่คิดค่าอาหารเช้าเพิ่มต่อหัวถึง 25 ยูโรต่อมื้อนี้ล่ะ แหมถ้ารวมเข้าไปอยู่ในค่าห้องแล้วคิดค่าห้องแพงกว่านี้หน่อยอาจจะไม่รู้สึกจิ๊กจั๊กติดใจขนาดนี้ แต่โดยรวมก็นับว่าเป็นโรงแรมที่ดีมากๆที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองทีเดียว

ส่วนบทสรุปว่าจะกลับมาสกีที่นี่ไหมนั้น ต้องบอกเลยว่าฉันนี่รู้ใจรู้ความต้องการตัวเองอย่างดีจริงๆ ที่ศึกษาเอาไว้ว่าลักษณะของภูมิประเทศไม่น่าจะถูกจริตการสกีตัวเองนั้นก็ขอคอนเฟิร์มเลยว่าเป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ จึงดีใจมากเลยที่ได้มาชมชาโมนีส์ในหน้าร้อนและเดินเขาชมธารน้ำแข็งที่นี่ ส่วนหน้าหนาวขอไปสกีที่อิตาลีหรือที่อื่นของฝรั่งเศสเช่น Val d’Isere หรือ Courchevel ดีกว่า

NO COMMENTS