มอนเตเนโกรประเทศริมทะเล Adriatic ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย และเพิ่งประกาศเป็นประเทศอิสระเมื่อปี 2006 นี้ หลายคนอาจจะจำภาพประเทศนี้จากภาพยนตร์เจมส์บอนด์ตอน Casino Royale ที่เข้าฉายในปี 2006 ปีเดียวกับการตั้งเป็นประเทศ ว่าเป็นแหล่งฟอกเงินของบรรดาเศรษฐีทั่วโลก มีคาสิโน มีบรรดาเรือยอช์ทสุดหรูและรถซูเปอร์คาร์ที่จอดกันเต็มท่าเรือ ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น แม้เศรษฐกิจของมอนเตเนโกรจะดีกว่าประเทศยุโรปตะวันออกหลายแห่ง แต่ก็มีชื่อเสียงในเรื่องความไม่โปร่งใส ความฟอกเงิน และความไม่เป็นประชาธิปไตยพอสมควร 

แต่อันที่จริงมอนเตเนโกรมีธรรมชาติและเมืองเก่าที่สวยงามจนได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกหลายแห่งทีเดียว เพราะในช่วงศตวรรษที่ 14 ถึง 18 เป็นส่วนหนึ่งของ Venetian Republic (เวนิส) ต่อมาได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ Ottoman และภายหลังได้อิสระเป็นราชอาณาจักรของตัวเอง พอหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย ต่อมาเมื่อยูโกสลาเวียแตก ก็มารวมตัวกับประเทศเซอร์เบียกลายเป็น Federation และสุดท้ายก็แยกตัวออกมาเป็นประเทศอิสระ 

เมืองหลวงของมอนเตเนโกรคือ Podgorica ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วย พลเมืองหนึ่งในสามของประเทศอยู่ที่เมืองหลวงนี้ แต่นอกจากจะบินมาลงที่ Podgorica ได้แล้ว นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากยุโรปยังสามารถบินมาลงที่เมือง Tivat ได้อีกด้วย ซึ่งฉันก็บินมาลงที่ Tivat เพราะใกล้ชายฝั่งทะเลและเมืองท่องเที่ยวมากกว่า โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่เมืองเบลเกรดประเทศเซอร์เบีย เราเที่ยวโดยเช่ารถขับไปเมืองต่างๆ กันเอง ง่าย สะดวกและราคาไม่แพง โดยปักหลักพักที่อ่าว Luštica ตลอดทั้งทริป

มาถึงวันแรกก่อนเข้าโรงแรมก็ขับไปเที่ยวในตัวเมือง Tivat เสียหน่อย เมืองนี้มีใจกลางเป็นท่าเรือจอดเรือยอช์ทชนิดที่หรูสุดๆ ราคาลำละนับหลายล้านเหรียญจอดแน่นมารีน่าไปหมด ฉันเดินดูเรือเหล่านี้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ละลำหรูหราอลังการอย่างกับไม่ใช่ชีวิตจริง หลายลำมีพนักงานกำลังโหลดอาหารหรูๆ เตรียมจัดปาร์ตี้ขึ้นบนเรือ บางลำมีสระว่ายน้ำใหญ่เหมือนตู้ปลาอยู่ท้ายเรือ บางลำใหญ่ขนาดที่มีรถสปอร์ตบรรทุกมาในเรือด้วยได้เลย ฉันเห็นมีรถสปอร์ตทะเบียนอเมริกาที่มากับเรือจอดอยู่ที่ท่าเรือ และที่ท่าก็มีที่จอดรถพิเศษสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้รถ Tesla พอจอดปุ๊บก็มีรถกอล์ฟให้นั่งแล้วพาไปส่งที่พรมแดงเพื่อเดินขึ้นเรือ เว่อวังอลังการมาก บรรยากาศเหมือนอยู่ในหนัง ไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนรอบๆ ท่าเรือเป็นเมืองใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาทั้งหมด เป็นอพาร์ทเม้นท์หรู มีคาเฟ่ ร้านอาหาร บาร์เก๋ๆมากมายเลียบริมทางเดินริมทะเล เนื่องจากมอนเตเนโกรยังมีอายุน้อยมากเพียงแค่ 15 ปี ตึกรามตามเมืองริมทะเลหลายแห่งของประเทศนี้จึงเป็นโปรเจคที่ใหม่มากๆ

วันรุ่งขึ้นเราจัดไปเที่ยวเมืองเก่าแบบมีศิลปะวัฒนะธรรมตามสไตล์เที่ยวเหนือฟ้า รอบบริเวณอ่าว Bay of Kotor ที่หลายคนยกให้เป็นที่ๆสวยที่สุดในประเทศมอนเตเนโกร อ่าวนี้เป็นอ่าวที่เว้าเข้ามาจากทะเล Adriatic โดยมีช่องที่เปิดออกสู่ทะเลแคบมาก น้ำในอ่าวจึงค่อนข้างนิ่งไม่มีคลื่นลม ใสแจ๋วจนมองเห็นก้อนหินที่ก้นน้ำเลย ยังไม่พอ อ่าวนี้มีถึงสองชั้น คืออ่าวแรกชั้นนอกตรงก้นอ่าวนั้นเป็นช่องแคบเปิดลึกเข้าไปเป็นอ่าวอีกชั้นหนึ่ง ทะเลในอ่าวชั้นที่สองนี้จึงยิ่งสงบนิ่งใสเหมือนกับทะเลสาบทีเดียว เมืองทั้งหลายที่อยู่โดยรอบอ่าวทั้งสองชั้นนี้จึงเป็นเมืองริมทะเลที่สวยงามน่าว่ายน้ำและเล่นเรือเป็นที่สุด

เมืองที่ดังที่สุดก็คือ Kotor อันเป็นเมืองมรดกโลก และมีเมืองจิ๋วไม่ไกล Kotor คือ Perast ซึ่งอันที่จริงน่าจะเรียกว่าหมู่บ้านมากกว่า เพราะเล็กขนาดที่มีพลเมืองเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น สมัยก่อนเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมง มีตึกรามบ้านเรือนเรียงรายเป็นแถวอยู่ริมทะเล เดินจากหัวหมู่บ้านไปท้ายหมู่บ้านแป๊บเดียวก็ทั่ว ในหมู่บ้านมีโรงแรม ร้านอาหาร โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ ส่วนริมน้ำก็มีร้านอาหารหลายแห่งตั้งโต๊ะให้นั่งกินลอยอยู่บนโป๊ะริมน้ำเลย ได้บรรยากาศดีมากๆ

นอกจากเดินเล่นชมสถาปัตยกรรมที่ Perast แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่แนะนำให้ไปชมอย่างมากก็คือโบสถ์ Our Lady of the Rocks บนเกาะจิ๋วกลางน้ำที่ต้องนั่งเรือข้ามไป เรือมีออกทุก 10 นาทีและใช้เวลาข้ามเพียง 5 นาทีเท่านั้น เกาะนี้ไม่ใช่เกาะธรรมชาติ แต่เกิดมาจากที่มีชาวประมงในสมัยก่อนพบรูปพระแม่มารีอุ้มพระเยซูอยู่ที่โขดหินกลางน้ำ ทุกครั้งที่กลับมาจากการออกเรือจึงโยนก้อนหินลงไปที่โขดหินนั้นเพื่อเป็นการบูชา ไปๆมาๆหินก็ทับถมกันสูงขึ้นจนกลายเป็นเกาะเล็กๆ อยู่ในอ่าว ในที่สุดชาวบ้านชาวประมงจึงเอาซากเรือบรรทุกหินไปจมตรงนั้น เพื่อถมให้กลายเป็นเกาะขึ้นมา และสร้างโบสถ์อยู่ตรงกลางอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ในโบสถ์มีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ อยู่ด้วย จัดแสดงรูปภาพของศิลปินท้องถิ่นและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ตอนที่ฉันไปนั้นมีงานฉลองแต่งงานพอดี เลยได้เห็นคนท้องถิ่นแต่งตัวสวยงามรองเท้าส้นสูงดื่มแชมเปญกัน พร้อมกับมีวงไวโอลินเล่นสดด้วยอย่างโรแมนติก นอกจากจะได้ชมวิวชมโบสถ์แล้ว จึงได้เป็นสักขีพยานกับเขาไปด้วยเป็นของแถม

Perast นี้อยู่ห่างจากเมือง Kotor เพียงขับรถแค่ 15 นาทีและใช้เวลาเที่ยวก็ไม่มาก หากใครไปเที่ยว Kotor ละก็ฉันขอแนะนำให้เผื่อเวลามาเที่ยวต่อที่ Perast ด้วยเลย ยิ่งถ้าได้นั่งกินข้าวเย็นริมน้ำตอนพระอาทิตย์ตกด้วย บอกเลยบรรยากาศดีสุดๆ กว่ากินข้าวในตัวเมือง Kotor เสียอีก

สำหรับ Kotor ที่น่าจะเป็นเมืองที่สวยที่สุดในมอนเตเนโกร และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจนได้เป็น UNESCO World Heritage Site นั้นมีความเก่าแก่ยาวนานมาตั้งแต่ก่อนคริสตศักราชทีเดียว นอกจากจะตั้งอยู่บนอ่าว Bay of Kotor ที่มีภูมิทัศน์สวยงามมากแล้ว ตัวเมืองเก่ายังถูกล้อมรอบอยู่ภายในด้วยป้อมปราการที่สร้างตั้งแต่สมัยยุคปกครองของ Venetian ป้อมนี้สร้างล้อมเมืองจากด้านล่างติดทะเลเป็นความยาวถึง 4.5 กิโลเมตรไล่ขึ้นไปขวางกั้นทั้งภูเขาที่สูงตระหง่านอยู่เบื้องหลังเมืองทีเดียว แลดูมีความสำคัญมาก ด้านนอกติดกำแพงป้อมมีคลองซึ่งเชื่อมออกไปสู่ทะเล น้ำจึงเป็นสีฟ้าใสสวยงาม ทำให้ใครที่มาถึง Kotor ก็ต้องตื่นตาตื่นใจตั้งแต่เห็นด้านนอกตัวเมืองแล้วทีเดียว

และพอได้เดินผ่านซุ้มประตูเมืองตรงกำแพงเข้าไปด้านใน ก็ต้องตื่นเต้นยิ่งขึ้น ลานกว้างด้านหน้าเปิดโล่งมีร้านอาหารต่างๆ ให้เลือกนั่งชมบรรยากาศมากมาย แต่ตัวอาคารต่างๆ ตั้งแต่ยุคกลางนั้นเชิญชวนให้เรารีบสาวเท้าเร่งเข้าไปเดินสำรวจเมืองมากกว่า ฉันเลือกเดินขึ้นไปบนกำแพงป้อมปราการเป็นแห่งแรกเลยเพื่อดูวิวในมุมสูงก่อน จากนั้นจึงลงมาเดินลัดเลาะไปตามตรอกเล็กซอกน้อยระหว่างตึก ไม่ว่าจะมุมไหนก็น่าสำรวจไปทุกแห่ง ตัวเมืองใหญ่พอสมควรทีเดียว ต้องใช้เวลาเดินนานเหมือนกันกว่าจะทั่ว และยังหลงกันอย่างสนุกอีกด้วยเพราะเหมือนเดินในเขาวงกตเลย ในเมืองมีโบสถ์สำคัญหลายแห่งให้เข้าไปเยี่ยมชม ที่สำคัญที่สุดคือ Cathedral of Saint Tryphon อันนับเป็นโบสถ์ประจำเมืองด้วย ชั้นบนมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของต่างๆ โบสถ์นี้มีอายุราว 900 ปีทีเดียว พอเข้าไปเดินสังเกตดูจะเห็นว่าเสาและผนังด้านในที่เหมือนก่ออิฐเปลือยนั้น แท้ที่จริงในอดีตคงจะเคยห่อหุ้มด้วยปูนที่มีภาพวาดสีสดใสอยู่ เพราะสังเกตเห็นว่ามีบางส่วนที่ยังมีปูนและรูปวาดเหลือให้เห็น สมัยก่อนคงจะมีสีสันสดใสมากทีเดียว

อีกสิ่งหนึ่งในเมืองที่ใครที่มาจะต้องสังเกตเห็นได้ในไม่ช้า ก็คือประชากรแมวที่มีอยู่มากมายทั่วเมืองไปหมด เยอะเสียจนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและร้านรวงต่างๆ ก็ตั้งชื่อเป็นแมวและใช้แมวเป็นสัญลักษณ์ คนรักแมวมาเมืองนี้คงจะมีความสุขมากๆ

การมาเที่ยวที่เมือง Kotor นี้ก็เน้นการเดินเที่ยวชมสถาปัตยกรรมและเมืองเก่าเป็นหลัก เราใช้เวลากันประมาณ 3-4 ชั่วโมงเดินจนทั่ว จริงๆ อยากจะเดินไต่บันไดพันกว่าขั้นขึ้นไปตามกำแพงที่กั้นล้อมเมืองจนไปถึงภูเขาด้านบน แต่อากาศร้อนมากจนคิดว่าอาจจะเป็นลมแดดได้ทีเดียวจึงได้แต่ไปเดินสังเกตการณ์ตรงจุดเริ่มต้นเดินเท่านั้น ขอลงมานั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆตามคาเฟ่น่ารักที่มีอยู่มากมายในเมืองดีกว่า สำหรับใครที่ไปเที่ยวแล้วอยากจะหาอาหารอร่อยกินฉันแนะนำให้เลือกร้านอาหารทะเลที่อยู่ริมทะเลนอกตัวเมืองเก่าจะดีกว่าร้านที่อยู่ในเมือง แต่ถ้าจะดีที่สุดคิดว่าไปเมือง Perast ดีกว่า เพราะเมืองเล็กสงบและได้บรรยากาศริมทะเลสบายๆ กว่ามากเลย

เมืองสุดท้ายที่ฉันได้ไปชมคือเมือง Budva เป็นเมืองริมทะเลเช่นกัน และก็มีเมืองเก่าที่ล้อมรอบอยู่ในกำแพงป้อมปราการคล้าย Kotor เช่นกัน แม้จะมีขนาดเล็กกว่า Kotor แต่ Budva กลับกลายเป็นเมืองศูนย์รวมแห่งความท่องเที่ยวและปาร์ตี้มากกว่า มีชายหาดประเภทที่มีร่มและเก้าอี้ชายหาดกางเต็มให้คนมานอนปิ้งอาบแดดและว่ายน้ำกันอยู่หลายหาด มีกิจกรรมทางน้ำให้เล่นมากมายไม่ว่าจะเป็นพาราไกลดิ้ง พายเรือ SUP ฯลฯ และยังเป็นศูนย์กลางของปาร์ตี้และชีวิตกลางคืน รวมทั้งโรงแรมต่างๆก็แข่งกันมีคาสิโนแทบทุกแห่งเหมือนอย่างในหนังเจมส์บอนด์เลย

บังเอิญความสนใจของฉันมีเพียงเมืองเก่า ไม่สนใจปาร์ตี้และคาสิโน จึงจัดทริปครึ่งวันไปอย่างสบายๆ ก็ทั่ว ในเมืองเก่าก็เป็นถนนคนเดินลัดเลาะไปตามตึกเก่าคล้าย Kotor แต่ตึกเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกดักนักท่องเที่ยวประเภทของที่ซื้อมาแล้วเป็นขยะอยู่ที่บ้านเสียส่วนมาก พวกร้านอาหารและคาเฟ่ทั้งหลายก็กิ๊บเก๋สู้ที่ Kotor ไม่ได้ เป็นประเภทร้านพิซซ่าหรืออาหารกินง่ายๆเสียส่วนมาก ขนาดเมืองไม่ใหญ่นักเดินเพียงชั่วโมงกว่าๆ ก็ทั่ว สถาปัตยกรรมก็นับว่าเก่าแก่แต่ไม่ถึงกับตื่นตาตื่นใจ จุดที่น่าเที่ยวชมมีเพียง Citadel หรือ Castle of St Mary ที่ต้องซื้อตั๋วเข้าไปชม สามารถเดินอยู่บนด้านบนของป้อมปราการเห็นวิวจากมุมสูงได้ทั่ว โดยเฉพาะมองไปจะเห็นเกาะ Sveti Nikola Island ซึ่งสามารถนั่งเรือข้ามไปได้ เพราะมีชายหาดที่เป็นที่นิยมสำหรับการนอนเล่นพักผ่อนริมหาด เกาะนี้ตลกดีที่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Hawaii บางทีพูดแล้วก็งงว่ามามอนเตเนโกรแต่จะข้ามเรือไปฮาวาย

โดยรวมฉันว่า Budva ออกจากคล้ายพัทยา คือจะมีชีวิตชีวาวุ่นวายเกินไปหน่อย มันก็เลยจะไม่ค่อยเหนือฟ้าเท่าไหร่ ไปเห็นครั้งเดียวจึงคิดว่าพอแล้ว แต่ฉันยังอยากจะกลับมาชายหาดหนึ่งไม่ไกลจาก Budva นั่นก็คือ Sveti Stefan ซึ่งเป็นเหมือนแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลแล้วบานออกเป็นติ่งคล้ายเกาะ เพราะนั่นคือที่ตั้งของโรงแรม Aman น่าไปมาก เสียดายครั้งนี้อดไปเพราะโรงแรมปิดตั้งแต่เกิดเรื่องโควิดมาเมื่อปีที่แล้วและไม่มีกำหนดเปิดเลย ขนาดโรงแรมหรูขนาดนี้ยังต้องปิดเพราะสู้โควิดไม่ไหว

ถ้าจะให้สรุปว่ามอนเตเนโกรมีอะไรที่เด่นเหนือประเทศอื่นในยุโรป ฉันยกให้ทะเลเลย เพราะน้ำใสสะอาดน่าว่ายไปทุกหนทุกแห่ง และคนก็ยังไม่เยอะวุ่นวายอย่างเช่นที่โครเอเชีย สามารถเลือกโรงแรมที่สงบเหมาะกับการพักผ่อนได้ ที่นี่มีโรงแรมดีๆเก๋ๆให้เลือกหลายแห่งพอควร ทริปนี้ฉันก็ได้นั่งๆ นอนๆ อาบแดดที่ชายหาดส่วนตัวของโรงแรมอยู่สองวันเช่นกัน น้ำสีสวย แดดดี ทรายสะอาด อาหารดี ได้เที่ยวชมเมืองชมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแล้วยังได้นอนนิ่งๆ ชาร์จแบตเต็มที่อีกด้วย แถมราคาที่พักและอาหารก็ไม่แพง ต่อไปนี้ถ้าเมื่อไหร่คิดถึงไวตามิน Sea ขึ้นมา ฉันคิดว่าก็คงจะพุ่งมามอนเตเนโกรนี่แหละแน่นอน

NO COMMENTS