เมือง Quebec City เป็นเมืองหลวงของจังหวัด Quebec ทางตะวันออกของแคนาดาที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ มีชื่อทางการว่า Québec โดยที่เวลาเขียนจะต้องมีเครื่องหมาย ‘ บนตัว e เสมอทั้งเวลาเขียนในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส สาเหตุก็เพราะกฎหมายแคนาดากำหนดว่า ชื่อเมืองอย่างเป็นทางการจะสะกดได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น จึงต้องเลือกว่าจะสะกดแบบอังกฤษหรือฝรั่งเศส ทีนี้เควเบคมันเป็นทั้งชื่อเมืองและชื่อจังหวัด เพื่อไม่ให้สับสน เวลาเรียกชื่อเมืองสั้นๆทั้งในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส จึงให้เขียนแบบมี accent ‘ เหมือนกันทั้งคู่ ส่วนชื่อจังหวัดสามารถเขียนได้มากกว่า 1 แบบ จึงให้เขียนแบบไม่มี ‘ ในภาษาอังกฤษ ก็จะรู้ว่าหมายถึงเมืองหรือจังหวัด ส่วนในฝรั่งเศสแม้จะเขียนมี ‘ ทั้งชื่อเมืองและจังหวัด เขาจะรู้ความแตกต่างตรงที่ว่าหากหมายถึงจังหวัดจะใช้ article ที่เสมือนคำว่า the นำหน้าชื่อนั่นเอง แต่ถ้าป้องกันความสับสนชัวร์ๆ ก็จะเรียกชื่อเมืองยาวๆให้ชัดเจนไปเลยว่า Quebec City หรือ Ville de Québec
เควเบคมีขนาดไม่ใหญ่ มีพลเมืองประมาณ 5แสนคน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองน่ารักน่าเที่ยวของแคนาดา เพราะเหตุผลหลายอย่าง อย่างแรก นี่คือเมืองที่ฝรั่งเศสมาขึ้นฝั่งตั้งรกรากกลายเป็น New France เมื่อปี 1608 นับเป็นเมือง “ใหม่” ของยุโรปที่ “เก่าแก่” ที่สุดของทวีปอเมริกาเหนือทีเดียว ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีกำแพงป้อมปราการล้อมรอบหรือที่เรียกว่า Citadel แห่งเดียวที่ยังเหลือป้อมปราการอยู่อย่างสมบูรณ์นับตั้งแต่เหนือขึ้นมาจากเม็กซิโก ทำให้ตัวเมืองเก่าของเควเบคได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ในปี 1985
ส่วนที่เที่ยวที่นี่ ใครมาก็ต้องมาเดินเล่นในเมืองเก่าชมอาคารบ้านเรือนเก่าแบบยุโรป จุดศูนย์กลางของประวัติศาสตร์คือลาน Place Royal ที่มีโบสถ์ Notre-Dame-des-Victoires ตั้งอยู่ เล็กๆแต่น่ารัก ข้างในมีเรือจำลองลำที่ฝรั่งเศสมาขึ้นบกที่นี่แขวนอยู่
จากจุดนี้เดินวกวนชมบ้านเรือนเก่าที่กลายมาเป็นอาร์ตแกลเลอรี่เสียมาก หรือเดินไปชมสวน Royal Battery ที่มองลงไปเห็นท่าเรือและแม่น้ำ St. Lawrence
จุดเช็คอินฮิตอีกแห่งคือ Quebec City Mural ที่เป็นภาพวาดของเมืองในอดีตบนกำแพงตึกขนาดใหญ่
แต่นักท่องเที่ยวจะไปเยอะกันอยู่ตรงถนน Petit Champlain ที่เรียงรายไปด้วยร้านรวงในอาคารสีสันสดใสมากกว่า
ถนนนี้มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของ และมีรถ Funicular ขึ้นไปเมืองบนด้านบนได้ แต่เราไม่ขึ้น เราเดิน เนื่องจากเมืองเควเบคมีทั้งส่วนต่ำริมน้ำและส่วนบนสูงบนผา จึงมีบันไดหลายช่วงให้เดินไต่ขึ้นลง ตรงหน้า Funicular มีบันไดชื่อ Breakneck Steps เป็นขั้นบันไดที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง เขาว่ามาเมืองนี้ต้องไต่บันไดและเตือนว่าไต่ยากมาก แต่เรามาจากสวิตเซอร์แลนด์จึงเดินขึ้นฉิวเลย แค่ 59 ขั้นนี่จิ๊บๆมาก ไม่เห็นจะ Breakneck ตรงไหน เลยงงว่าเขาตื่นเต้นอะไรกัน
พอขึ้นมาถึงด้านบนของเมืองแล้ว ก็จ๊ะเอ๋กับ Château Frontenac นี่คือปราสาทอิฐสีแดงใหญ่ที่เห็นเด่นเป็นสง่าจากแทบทุกมุมเมือง ปัจจุบันคือโรงแรมในเครือ Fairmont หรูหราหมาเห่า รอบๆมีซากเมืองใต้ดินสามารถซื้อทัวร์ชมได้ อันนี้ฉันไม่ได้ดูเพราะเล็งดูแล้วไม่น่าสนุก จึงเดินไปตามระเบียงกว้าง Dufferin Terrace ชมวิวแม่น้ำรับลมสูดอากาศ
จนสุดก็ไต่ขั้นบันไดต่อขึ้นไปอีกจนถึง Citadel ป้อมเมืองรูปดาวที่อังกฤษสร้างเพื่อป้องกันอเมริกาบุก และเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการทหารจนถึงปัจจุบัน อันนี้เราได้ซื้อทัวร์เข้าไปชม ส่วนมากเป็นการเดินชมอาคารต่างๆในป้อม ได้ไกด์ที่เป็นชาวเควเบคแต่กำเนิดและเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย จึงได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติของแคนาดาและเควเบคอย่างสนุกเลย
หลังจากนั้นก็เดินผ่านอาคารรัฐสภา สวนสาธารณะ ชมเมืองกันจนเมื่อย ตกดึกบรรยากาศดินเนอร์จะคึกคักมากแถวถนน St. Louis และใกล้ๆ Château Frontenac หน้าร้อนมืดช้าคนก็ปาร์ตี้กันยาวได้ อากาศดีบรรยากาศดี อันที่จริงฉันเคยมาเควเบคแล้วเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมาเดือนธันวาคม หนาวมากๆและหิมะสูงท่วม เมืองติดไฟประดับไปด้วยบรรยากาศคริสต์มาส โรแมนติกไปอีกแบบแต่ไม่คึกคักแบบนี้ มาเที่ยวเมืองเดิมในเวลาที่ต่างนี่ก็ดีไปอีกแบบเพราะเหมือนได้ไปที่ใหม่ที่ยังไม่เคยไป
เมือง Quebec City นั้นเป็นเมืองเล็ก ขาเดินเก่งอย่างเราใช้เวลาเต็มที่หนึ่งวันก็เที่ยวชมจุดท่องเที่ยวต่างๆทั่วเกือบทั้งหมด วันอาทิตย์เราจึงขอใช้ชีวิตในเมืองแบบชิลล์ๆไปดูว่าคนเมืองนี้เขาใช้ชีวิตกันอย่างไรในวันหยุดสุดสัปดาห์
เราเริ่มต้นด้วยเดินไปกินอาหารเช้าที่ร้านอาหารแบบ Brasserie ใกล้โรงแรม อาหารที่สั่งก็ต้องมีส่วนประกอบเป็นเมเปิ้ลไซรัปเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแพนเค้กราดน้ำเชื่อมเมเปิลไซรัป บาแก็ตทาเนยเมเปิ้ล แม้แต่กาแฟยังเสิร์ฟมากับน้ำตาลที่ทำจากเมเปิ้ลเลย อาหารแบบแคแนเดี้ยนเฟรนช์นี้ก็มีอิทธิพลจากอาหารฝรั่งเศสเป็นส่วนมาก ฉันเลยได้สั่ง Egg Benedict ของโปรดที่เสิร์ฟมาบนเนื้อขาเป็ด Duck Confit ถูกใจมากๆ
อิ่มแล้วสายๆก็เดินออกกำลังในสวนสาธารณะ Plains of Abraham ซึ่งเป็นสวนใหญ่มากของเมือง มีคนมาพักผ่อนอาบแดดออกกำลังกันพอสมควร ได้เห็นบ้านเรือนของคนที่อยู่นอกเขตนักท่องเที่ยว สถาปัตยกรรมแถวนี้มีความเป็นยุโรปพอสมควร จากนั้นเราขอเข้าไปชมงานศิลปะร่วมสมัยที่พิพิธภัณฑ์ Musée national des beaux-arts du Québec อาคารใหญ่มีถึงสามอาคารออกแบบตกแต่งภายในได้สวยมากๆ เราได้เข้าไปชมหลายส่วน ทั้งส่วนที่เป็นภาพวาด งานศิลปะจัดวาง งานแกะสลักเครื่องปั้น แต่ต้องบอกว่าน่าผิดหวังเพราะสู้ที่ยุโรปไม่ได้เลย หรือฉันจะคาดหวังเอาไว้สูงก็ไม่ทราบเนื่องจากเดินไปที่ไหนไม่ว่าจะใน Montreal หรือ Quebec City ก็เห็นอาร์ตแกลเลอรี่เต็มไปหมด เลยคาดหวังว่าศิลปะที่นี่จะปัง ผิดหวังเล็กน้อย แต่มีส่วนที่เราชอบมากก็คืองานศิลปะแบบชาวเผ่า Inuit ซึ่งเป็นคล้ายชาวเผ่าอินเดียนแดงซึ่งอยู่ทางขั้วโลกเหนือของแคนาดาที่เต็มไปด้วยหิมะ แต่งานพวกนี้เป็นงานที่ทำโดยศิลปินในยุคปัจจุบันโดยใช้กระดูกปลาวาฬ กระดูกแมวน้ำ หิน มาแกะสลักเป็นรูปแบบงานที่แปลกไม่เคยเห็นมาก่อน อันนี้ตื่นตาตื่นใจมาก
หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นมาตามถนน Grande Allée ชมบ้านเรือนที่ผู้คนอยู่อาศัยจริง ปรากฏว่าเขามีการปิดถนนจัดดนตรีสดกันด้วย คึกคักพอสมควร เราจึงเลือกร้านอาหารหนึ่งร้านริมถนนนั่งกินอาหารกลางวันแล้วฟังเพลงไปด้วย กลมกลืนกันไปกับชาวเมือง
เป็นวันอาทิตย์ที่ง่ายๆก่อนนั่งรถไฟกลับมา Montreal เพื่อเตรียมทำงานต่อวันจันทร์ ครั้งที่สองที่ฉันได้มา Quebec City นี้คิดว่าได้เห็นเมืองฝรั่งเศสใหม่แห่งนี้อย่างครบถ้วนพอใจแล้ว