เสาร์-อาทิตย์กลางหน้าร้อนของปีก่อนฉันไปเที่ยวเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในประเทศออสเตรียมา มันเป็นทริปที่แปลกไปจากความเป็นเที่ยวเหนือฟ้าอย่างมาก ปกติฉันจะไม่เที่ยวอะไรแบบนี้เลย แต่พอไปกลับมาแล้วต้องบอกเลยว่ามันมีเสน่ห์และสนุกมากในแบบของมันเอง ประทับใจจนต้องเขียนถึงทีเดียว
ทริปนี้เป็นทริปเที่ยวประจำปีของกลุ่มร้องเพลงของผู้ชายในหมู่บ้าน สามีฉันเป็นสมาชิกร้องเพลงอยู่ในกลุ่มนี้จึงได้รับเชิญให้ไปด้วย กลุ่มร้องเพลงที่เรียก Männerchor นี้ เป็นวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่ในโลกนี้น่าจะมีเหลืออยู่แต่ในสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้นที่ยังรวมตัวกันอย่างจริงจังแบบนี้ ตามหมู่บ้านเล็กหมู่บ้านน้อยในสวิตฯนี้จะมีผู้ชายในหมู่บ้านมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อร้องเพลงประสานเสียงและทำกิจกรรมให้หมู่บ้านแทบทุกหมู่บ้าน เป็นการสร้างสัมพันธ์และความแข็งแรงให้สังคมไปในตัว แต่มันก็ลดความนิยมลงไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีคนรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมแล้ว ในหมู่บ้านของฉันนี้เมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อนที่สามีเข้าไปเป็นสมาชิกในกลุ่มนั้น เขาดีใจกันมากว่าจะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมสานต่อ ซึ่งตอนนั้นสามีก็อายุ 40 ปลายๆแล้ว แต่เข้าไปก็เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในวงเลย คนที่อายุมากที่สุดนี้เกือบ 90 ปี กิจกรรมที่เขาทำกันนั้นก็คือรวมตัวกันร้องเพลงทุกสัปดาห์ ถ้าถามฉันๆว่าเขาก็ไม่ได้ร้องกันเพราะมากหรอก คนแก่แล้วก็เสียงแหบแห้งเป็นธรรมดา แต่ว่าเขาจริงจังกันมาก อย่างที่หมู่บ้านนี้เขาจ้างไวทยากรณ์มาช่วยฝึกและสอนทุกสัปดาห์ทีเดียว ซ้อมกันจริงจัง เวลาหมู่บ้านมีงานก็ไปร้องกันทั้งงานรื่นเริงและงานศพ และในหนึ่งปีจะมีกิจกรรมใหญ่ คือคอนเสิร์ตประจำปี คนในหมู่บ้านก็จะซื้อตั๋วมาชมมาสนับสนุนกัน มีอาหารเสิร์ฟขณะคอนเสิร์ตเล่นด้วย ซึ่งทำและเสิร์ฟโดยพวกภรรยานักร้องนี่แหละ เรียกว่าคืนนั้นทั้งหมู่บ้านก็จะมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมใหญ่ของโรงเรียนประถมซึ่งเป็นที่จัดงานกันเลย งานนี้เป็นงานที่ทำให้วงประสานเสียงหาเงินเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆได้มาก นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆในหมู่บ้านอีกเช่นกันที่ทำให้วงมีรายได้ เช่นการเก็บหนังสือพิมพ์จากบ้านต่างๆในหมู่บ้านเพื่อนำไปรีไซเคิล โดยสภาหมู่บ้านจะให้เงินสนับสนุน รวมแล้วเขาก็จะเหลือเงินเพื่อจัดทริปไปเที่ยวด้วยกันประจำปี ซึ่งนั่นก็คือทริปที่ฉันไปมานั่นเอง
ปีนี้เขาพากันไปประเทศออสเตรียที่เมืองเล็กๆชื่อ Tannheim เป็นเมืองในหุบเขาซึ่งฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ก่อนไปจึงไม่ได้จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ตื่นแต่เช้ามืดวันเสาร์ เดินไปขึ้นรถบัสไฮเทคคันโตที่จอดรออยู่ที่ลานกลางหมู่บ้าน มีคนไปกันทั้งหมดเกือบ 60 คน มีแต่คุณตาคุณยายคุณลุงคุณป้าทั้งนั้นเลย พวกภรรยาก็ไปกันด้วยเพราะเขารู้จักสนิทสนมกันอยู่แล้ว โปรแกรมเที่ยวดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก นั่งรถไปชั่วโมงครึ่งก็จอดที่ปั๊มน้ำมันเพื่อกินอาหารเช้าร่วมกัน มีกาแฟและครัวซองต์วางรออยู่เสร็จสรรพ พออิ่มอร่อยสบายท้องแล้วก็นั่งรถต่อไปจนถึงเมือง Tannheim ได้เวลากินข้าวกลางวันพอดี เมืองนี้แม้จะเล็กแต่โรงแรมที่เราพักใหญ่โตมากๆ มีตึกใหญ่ถึงสองตึก มีสปาและ Wellness ขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำหลายสระทั้งด้านในนอก ส่วนห้องอาหารก็มีหลายห้อง แต่ละห้องตกแต่งแบบตั้งใจมาก เหมือนไปเดินเล่นอยู่ดิสนีย์แลนด์ ถามว่าสวยเหนือฟ้าหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่ แต่มันมีความดีงามหลายอย่างชนิดที่ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกทีเดียว
พอกินมื้อกลางวันเสร็จแล้วเขาก็พาเราไปเดินเขาซึ่งอยู่สูงขึ้นไปเหนือหมู่บ้าน ตอนแรกฉันก็แอบนึกว่ามันจะมีอะไรให้ชมนักหนา แต่ก็เดินไปคุยกับคุณลุงคุณป้าไป สักชั่วโมงครึ่งก็ถึงบนยอดเขา ปรากฏว่ามีร้านอาหารอยู่บนนั้นน่ารักมากๆ เราแวะพักเหนื่อยดื่มเครื่องดื่มกัน ฉันแอบไปเดินชมในร้าน เขามีไม้แกะสลักเป็นรูปปั้นสัตว์ต่างๆประดับประดาเต็มไปหมดเลย ให้อารมณ์แบบกระท่อมน้อยในป่าใหญ่ และมีระเบียงให้นั่งอาบแดดอุ่นๆจิบเครื่องดื่มเคล้าวิวทะเลสาบกับหมู่บ้านในหุบเขาด้านล่างไปด้วย น่ารักเหนือความคาดหวังทีเดียว
จากนั้นเราก็เดินไต่เขากลับลงมาที่โรงแรม รวมเวลาเดินทั้งหมดก็ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ต้องนับถือคุณลุงคุณตาพวกนี้จริงๆ อายุ 70-80 กันแล้วแต่ยังเดินเขากันได้แข็งแรงอึดมากๆ คนสวิสเป็นแบบนี้ทั้งนั้น แล้วเราก็ไปเข้าซาวน่าแช่บ่อน้ำร้อนคลายกล้ามเนื้อ ว่ายน้ำเล่นในสระพลางชมวิวธรรมชาติของภูเขารอบตัว ตกค่ำก็แต่งตัวสวยมาดื่มแชมเปญและไวน์ในสวน แล้วย้ายไปดินเนอร์กันในห้องอาหารใต้ดินที่ตกแต่งเป็นบรรยากาศเหมือนหมู่บ้านจำลองออสเตรีย สนุกแบบอบอุ่นดีไม่อยากเชื่อว่าฉันจะตื่นตาตื่นใจกับการเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์คนแก่นี้ทีเดียว
วันที่สองตามโปรแกรมบอกว่าให้มากินอาหารเช้าตอน 7 โมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาที่ห้องอาหารเปิดพอดี ฉันมาถึงประมาณ 7 โมง 35 นาที ปรากฎโอ้โหคนแก่นั่งกันเต็มพรึ่บเริ่มกินกันแล้ว ตรงเวลากันเป๊ะจริงๆ เสร็จแล้วต่างคนก็ต่างไปเช็คเอาท์ เวลาล้อรถหมุนคือ 9 โมงเช้า ฉันมาถึงรถก่อนเวลาประมาณ 5 นาที คนแก่ขึ้นนั่งเต็มรถพร้อมกันหมดแล้ว เป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดทริปไม่มีใครมาตรงเวลาเลย คือมาก่อนเวลากันหมด คนแก่สวิสนี่เป็นนักเรียนดีเด่นมาก
วันนี้เราไปเดินเขากันต่อจากในหมู่บ้านนั่นแหละ แต่เป็นเขาอีกลูกหนึ่ง รถพาไปส่งที่สถานีกระเช้าสกี เพราะเราต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขา Neunerköpfle พอลงจากกระเช้าด้านบนแล้วยังมีเขาสูงชันต่อขึ้นไปอีกลูกหนึ่งซึ่งมีไม้กางเขนพระเยซูปักอยู่เด่นเป็นสัญลักษณ์ ทางเดินขึ้นชันทีเดียวแต่กลุ่มคนแก่จ้ำอ้าวนำหน้ากันไปก่อนเลย ฉันยังเดินได้ช้ากว่าเสียอีก ชมวิวกันจากด้านบนจนพอใจแล้วเราก็เริ่มเดินจากยอดเขากลับลงมาหมู่บ้านด้านล่าง ด้านบนมีฟาร์มวัวและป้ายเรื่องราวเกี่ยวกับวัวเต็มไปหมด บังเอิญไม่มีเวลาอ่านจึงไม่แน่ใจว่าเขาว่าอะไรบ้าง แต่แลดูเหมือนจะเป็นการให้ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับน้องวัว ใครมาสวิตเซอร์แลนด์หรือแถวออสเตรียใกล้ๆสวิตฯนี้ก็ต้องถ่ายรูปกับน้องวัวกันทั้งนั้นเพราะเขาน่ารักจริงๆ ที่ฟาร์มข้างบนยังมีเล้าหมูขนยาวด้วย หมูขนยาวเป็นปุยๆมีทั้งตัวสีขาวและสีดำ แปลกจริงๆ และมีสิ่งที่น่ารักอย่างหนึ่งก็คือเขาเอากระดึงคอวัวหลายขนาดมาแขวนเรียงกันเอาไว้ และมีไม้ให้ตีพร้อมกับมีสมุดโน๊ตดนตรีเป็นเพลงคอยบอกด้วยว่าให้ตีอย่างไรจึงจะเป็นเพลงออกมาตามโน๊ต เก๋จริงๆ เรื่องไอเดียต่างๆที่จะทำให้การเดินเขาได้ความรู้และประสบการณ์มากขึ้นนี้ต้องยกให้คนแถวนี้จริงๆ
ทางที่เดินลงนี้ถึงแม้จะไกลจากยอดเขาสูงลิ่วลงมาแต่ก็เป็นทางที่เดินง่ายเพราะเป็นถนนบดอัดธรรมดาไม่ต้องไต่ทางดินในป่า สองข้างทางก็ร่มรื่นด้วยป่าทึบเป็นธรรมชาติ บางช่วงมีน้ำตกไหลตัดทางผ่านเป็นสายต้องทำสะพานข้าม พอเดินมาถึงข้างล่างก็ได้เดินทะลุหมู่บ้าน ชมบ้านเรือนซึ่งต่างก็ปลูกดอกไม้ประดับประดากันอย่างน่ารักมากๆ ใช้เวลาเดินไปทั้งหมด 3 ชั่วโมงกว่าได้
ประมาณบ่ายโมงเราก็ออกรถเพื่อมุ่งหน้ากลับ ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครเหนื่อยเลยะ ฟิตกันมาก สุดยอดจริงๆ คนสวิสเดินป่าเดินเขาจนเป็นชีวิตประจำวันตั้งแต่เด็กจึงแข็งแรงอยู่ตัว น่าชื่นชมมาก เส้นทางที่รถเเล่นกลับนี้สวยมากๆเพราะเป็นการเลาะไปตามถนนเส้นเล็กบนภูเขา ได้ผ่านเมือง Lech เมืองสกีดังของออสเตรียและเมือง St. Anton ที่ฉันเคยมาสกีอยู่หนึ่งสัปดาห์แล้วด้วย เป็นเมืองน่ารักทั้งสองเมือง สุดท้ายเราแวะกินอาหารมื้อกลางวันควบเย็นกันที่ใกล้ๆเมือง Radin อันเป็นเมืองเล็กๆแต่กลับมีโรงแรมใหญ่โตสำหรับคนที่มาตีกอล์ฟเล่นสกี โรงแรมนี้มีร้านอาหารที่อร่อยมากๆชนิดที่งงไปเลย เสิร์ฟมาสามจานบวกขนมหวานอีกหนึ่ง ปกติอาหารออสเตรียจะไม่อร่อย มีแต่พวกเนื้อกับไส้กรอกและแป้ง กินแล้วรู้สึกอ้วนฟรีตลอด แต่ร้านนี้ทุกคนกินเกลี้ยงสี่จานจุกๆกันอย่างไม่เสียใจเลยถ้าจะอ้วน สวยงามและอร่อยมากๆ กินข้าวเสร็จแล้วกลุ่มผู้ชายก็ยืนล้อมวงร้องเพลงกันสี่ห้าเพลง ฉันว่าไม่เพราะเลยสักเพลงแต่นับถือใจทุกคนเลยจริงๆที่ตั้งอกตั้งใจยึดกิจกรรมนี้เป็นงานอดิเรกอย่างจริงจัง ที่สำคัญเป็นการสร้างสัมพันธ์ให้สังคมหน่วยเล็กของประเทศแข็งแรงอย่างดีอีกด้วย
เสร็จโปรแกรมทั้งหมดฝนก็ตกพรำลงมาตอนที่เรานั่งอิ่มสบายอยู่ในรถทัวร์แล้ว ถึงบ้านค่ำๆทุกคนลงมาร่ำลากันอย่างมีความสุข ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเป็นทัวร์ที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยกิจกรรมดีๆ อาหารดีๆ ที่พักดีๆ ที่สำคัญฉันได้สร้างสัมพันธ์กับกลุ่มคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายชาวสวิสท้องถิ่นแท้ๆที่เป็นเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกันซึ่งไม่เคยคุยกันมาก่อน ทุกคนเชิญว่าถ้าจัดงานคอนเสิร์ตประจำปีครั้งหน้าให้มาช่วยงานด้วย ฉันก็ดีใจว่าได้รับการต้อนรับอย่างดี สำหรับทัวร์ปีหน้าจึงตั้งใจแล้วว่าจะต้องขอไปด้วยอีกแน่นอน