เมือง Nuremberg หรือ Nürnberg ในภาษาเยอรมัน คือเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากมิวนิค ในแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี


ฉันรู้จักเมืองนี้ครั้งแรกก็ด้วยชื่อเสียงของเขาเกี่ยวกับไส้กรอก อันที่จริงเยอรมนีกับไส้กรอกก็เป็นของคู่กันอยู่แล้ว แต่เมืองนืนแบร์กนี้มีไส้กรอกประจำเมืองเป็นแบบสีขาวและใช้ต้มแทนการย่างหรือทอด เวลาเราไปกินอาหารเช้าตามโรงแรมต่างๆในเยอรมนีบางครั้งเราจะเห็นหม้อที่มีน้ำร้อนตั้งอยู่แล้วมีไส้กรอกสีขาวแช่อยู่ นั่นแหละไส้กรอกขาวแบบนืนแบร์กนั่นเอง และแถมในเมืองนี้ยังมีร้านอาหารขายไส้กรอกที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมนีด้วย

แต่เมืองนี้มีความน่าสนใจมากกว่าแค่ไส้กรอก เขาเคยรุ่งเรืองมากเมื่อ 500 กว่าปีมาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองตึกรามบ้านช่องในเมืองถูกทำลายไปถึง 90% หลังจากนั้นจึงมีการสร้างอาคารต่างๆในดีไซน์แบบยุคกลางขึ้นมาใหม่ทดแทน ดังนั้นเวลาเราเดินเห็นตึกเก่าในเมืองนั้นคือไม่ได้เก่าถึงขนาดยุคกลาง แต่เป็นการสร้างขึ้นมาใหม่

สถานที่สำคัญที่ควรไปเยี่ยมชมก็มีหลายแห่ง เช่นปราสาท Nuremberg Castle ที่เป็นป้อมปราการตั้งอยู่สูงเหนือเมือง แต่อันนี้ฉันไม่ได้เดินขึ้นไปเพราะฝนตกเลยขี้เกียจ แต่สามีเดินขึ้นไปชมวิวจากข้างบน เราเลยบอกว่าไว้กลับมาใหม่จะได้เข้าไปดูข้างในกัน

แต่ที่ฉันประทับใจก็คือบรรดาโบสถ์และวิหารของเมือง ได้เข้าไปชมถึงสามแห่งคือ St. Lorenz, Frauenkirche และ St. Sebald ประทับใจมากๆทั้งสามที่เลยเพราะมีศิลปะที่ต่างไปจากวิหารอื่นที่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดบนกำแพงหรือการตกแต่งที่แปลกไป อีกอย่างคือเราสามารถเดินอ้อมไปถึงพื้นที่ด้านในสุดหลังแท่นบูชาได้เลยซึ่งเป็นส่วนที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของโบสถ์ และที่ฉันชอบเป็นพิเศษก็คือพระเยซูที่ตรึงกางเขนอยู่นั้นได้ถูกยึดเอาไว้กับคานโค้งระหว่างเสาเหมือนทรงลอยอยู่บนอากาศ งดงามมาก สำหรับที่วิหาร St. Lorenz นั้นยังมีรูปปั้นที่ฉันว่าพิเศษและสวยงาม คือรูปของนักบุญลอเรนซ์ รูปพระแม่มารีอุ้มพระเยซูตอนเป็นทารกที่ทรงมีรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน และรูปแกะสลักที่แท่นบูชาสวยงามเหมือนจริงมากๆ ในเมืองยังมีโบสถ์อีกหลายแห่งที่น่าเข้าชม ต้องเก็บไว้คราวหน้า

อีกแห่งที่แนะนำให้แวะชมก็คือบ้านและพิพิธภัณฑ์ของ Albrecht Dürer จิตรกรชื่อดัง ซึ่งนับเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของเมืองขนาดที่ให้เกียรติใช้ชื่อเป็นชื่อสนามบินประจำเมืองทีเดียว ภาพวาดของเขาเป็นจุดเปลี่ยนจากยุคเก่าที่เริ่มมีความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น และมีเรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับตัวเขาหลายอย่างซึ่งนักประวัติศาสตร์ก็ยังสรุปไม่ได้ เช่นเหตุใดเขาจึงวาดภาพเหมือนของตนเองทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้เงินค่าจ้างจากใคร ภาพเหมือนของเขานั้นเป็นหนึ่งในภาพเหมือนที่สำคัญที่สุดของยุโรปทีเดียว บางคนก็เดาว่าอาจจะเป็นการวาดเพื่อเป็นการโฆษณาตนเองเพราะหลังจากนั้นเขาก็ได้รับงานจ้างวาดรูปมากมายต่อมา ภาพวาดชิ้นที่ดังของเขาก็มีเช่น ภาพอีฟกับอดัมซึ่งมีการตีความต่างไปจากคนอื่น ที่น่าสนใจก็คือภาพวาดทั้งหมดของเขานั้นแทบไม่มีหลงเหลืออยู่ในตัวเมืองนืนแบร์กเลย เพราะผู้ซื้องานของเขานำไปเก็บเป็นส่วนตัวอยู่ที่อื่นทั้งหมด หรือไม่ก็ไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วโลก เช่น Uffizi ที่เมืองฟลอเรนซ์  จนเมื่อหลายปีมาแล้วมีการขอยืมภาพมาจัดนิทรรศการในเมือง จึงมีการจ้างศิลปินต่างๆให้มาวาดก๊อปปี้ขึ้นใหม่ทั้งหมดและนำจัดแสดงเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์นี้ทดแทนภาพจริง

สำหรับตัวเมืองนืนแบร์กเองนั้นก็น่าเดินเล่นเดินชมเพลินเพลินอยู่มาก เพราะมีส่วนที่เป็นถนนคนเดินอยู่กว้างทีเดียว จากสถานีรถไฟเดินไล่มาถึงแม่น้ำซึ่งมีเกาะอยู่ตรงกลางแม่น้ำ ข้ามมาถึงร้านกลางเมืองไปจนถึงปราสาทด้านบนได้เลย สะพานต่างๆที่ข้ามแม่น้ำนั้นน่ารักทีเดียว

และเห็นเป็นเมืองเก่าอย่างนี้ ในเมืองมีโรงแรมทันสมัยกับร้านอาหารแบบโมเดิร์นที่สร้างอยู่ในตึกเก่าน่าสนใจหลายแห่ง ฉันพักโรงแรมใจกลางเมืองซึ่งเป็นตึกเก่าแต่ด้านในแต่งเป็นแบบ Modern industrial ซึ่งสไตล์แบบนี้พี่เยอรมันเขาชำนาญมาก

ส่วนอาหารเยอรมันนั้นจะว่าไปแล้วฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะมีแต่แป้ง มันฝรั่ง กับเนื้อสัตว์  แต่ครั้งนี้ได้ไปลองร้านอาหารติดดาวมิชลินซึ่งดูด้านนอกเหมือนเป็นร้านอาหารคลาสสิก แต่ข้างในนี้ทันสมัยมาก และอาหารก็โมเดิร์นและเก๋มาก เป็นผักล้วนแทบทุกจาน อร่อยแปลกใจจนไม่อยากเชื่อเลยว่าอยู่ในเยอรมันนีและรังสรรค์โดยเชฟเยอรมัน

นับว่าเป็นเมืองน่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของเยอรมนีที่นักท่องเที่ยวพูดถึงกันไม่มาก แต่น่าไปเยือนทีเดียว

ไม่ไกลจากนืนแบร์กมีเมืองน่ารักราวกับหลุดไปในนิทานที่ควรควบไปเยือนในทริปเดียวกัน เมืองนี้ก็คือ Rothenburg ob der Tauber ที่นักท่องเที่ยวอาจจะคุ้นกันดีอยู่แล้ว

เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่จากสมัยยุคกลาง ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำ Tauber (ชื่อเมืองแปลตรงตัวว่า ภูเขาสีแดงเหนือแม่น้ำ Tauber) มาเที่ยวแล้วเหมือนได้ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ และบังเอิญโชคดีเพราะพอมาถึงปรากฏว่ามีเทศกาลประจำเมืองพอดี ผู้คนแต่งชุดย้อนยุคกันเต็มไปหมดทั้งเมือง มีเดินพาเหรด ร้องเพลง เต้นรำ และกิจกรรมย้อนยุคหลายอย่าง ยิ่งทำให้มาเที่ยวแล้วเหมือนหลุดย้อนเข้าไปในอดีตเลย สนุกมาก

ตึกรามบ้านช่องที่นี่ทาสีสันสดสวยเหมือนลูกกวาด ส่วนมากเป็นบ้านแบบ Half-timber ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจถ่ายรูปให้สวยมากเพราะว่าคนเยอะจริงๆ คงจะเป็นเพราะว่าเก็บกดกันมานานจากโควิด พอตอนนี้ออกมาข้างนอกกันได้โดยที่ไม่ต้องใส่หน้ากากแล้ว แถมยังมีเทศกาลอยู่ด้วย ผู้คนจึงค่อนข้างเยอะ ฉันยังไม่ค่อยอยากเบียดเสียดแย่งถ่ายรูปกับคนเท่าไหร่นักจึงเดินผ่านไปก็หลายจุด เช่นจุดเช็คอินยอดฮิตของนักท่องเที่ยวตรง Plönlein ตัวเมืองจริงฉันว่าน่ารักกว่ารูปที่ถ่ายมาเยอะเลย

นอกจากเดินทะลุตรอกเล็กซอกน้อยชมบ้านเรือนที่น่ารักทั้งหลายแล้ว ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งและอาคารสำคัญอีกหลายอาคาร รวมทั้งยังมีกำแพงเมืองโบราณที่สมบูรณ์มาก เราสามารถขึ้นไปเดินเล่นบนระเบียงไม้รอบกำแพงเมืองได้เลย อันนี้ไม่ควรพลาด ใครไปเที่ยวบาวาเรียหรือไป เมือง Nuremberg แนะนำว่าต้องวางแผนไปเที่ยวเมืองน่ารักในนิทานเมืองนี้สักหนึ่งวันเต็มๆ

NO COMMENTS