Bratislava เมืองหลวงของประเทศ Slovakia ในปัจจุบัน มีเพื่อนชาวสโลวักเคยบอกฉันว่า มันเป็นเมืองหลวงที่เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ!

แต่ก่อนจะเล่าว่ามันบังเอิญอย่างไรก็ต้องย้อนกลับไปเข้าใจประวัติศาสตร์สักนิดหนึ่งก่อน อันที่จริงบราทิสลาวาหรือที่คนสโลวักเรียกชื่อเล่นสั้นๆ ว่า Blava นี้ เคยเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรฮังการีอยู่ถึง 200 กว่าปีในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 18 สมัยนั้นชื่อเมืองคือ Pressburg ต่อมาถูกโจมตีโดย Ottoman และตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ Habsburg เมืองจึงได้กลายมามีความสำคัญมาก เคยเป็นเมืองที่จัดงานราชาภิเษกให้พระราชาถึง 11 องค์และพระราชินีถึง 8 องค์ทีเดียวในโบสถ์ St. Martin ใจกลางเมืองเก่า เคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของฮังการี และก็ยิ่งรุ่งเรืองขึ้นไปอีกในยุคที่ปกครองโดยสมเด็จพระราชินี Maria Theresa มีการสร้างอาคารสถานที่สำคัญหลายอย่างและเมืองก็ขยายใหญ่ขึ้น ที่แปลกคือพลเมืองส่วนมากเป็นชาวเยอรมันและฮังกาเรียน มีชาวสโลวักเป็นส่วนน้อย ต่อมาบทบาทของเมืองได้ถดถอยน้อยลงไปหลังจากยุคพระราชินีมาเรียเทเรซ่า เพราะความสำคัญได้ถูกย้ายไปเวียนนาและบูดาเปสต์แทน จำนวนพลเมืองของบราทิสลาวาก็น้อยลงไปด้วย จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีการตั้งประเทศเช็กโกสโลวะเกียขึ้น และบราทิสลาวาก็กลายมาเป็นเมืองหลวงของประเทศ ในช่วงนี้มีความเข้มข้นทางการเมืองเกิดขึ้นหลายอย่างเกี่ยวกับการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ และมีการเกิดใหม่ของประเทศของยุโรปตะวันออกหลายประเทศ โดยสั้นๆก็คือสรุปว่า เช็กโกสโลวะเกียถูกแบ่งเป็นสองประเทศคือ เช็ครีพับลิกและสโลวาเกีย กรุงปรากกลายเป็นเมืองหลวงของเช็ครีพับลิก และเมืองบราทิสลาวาก็จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นเมืองหลวงของประเทศสโลวาเกียนั่นเอง

บราทิสลาวาอาจจะไม่ใช่เมืองที่คุ้นหูนักท่องเที่ยวเท่าไรนัก พลเมืองก็มีไม่มาก เพียงประมาณ 500,000 คนเท่านั้น และขนาดของเมืองก็ไม่ใหญ่มาก มีเมืองเก่าซึ่งเดินได้ทั่วภายในไม่กี่ชั่วโมง ถัดจากเมืองเก่าไปเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการเงินมีตึกสูงๆ ทันสมัย แต่จะว่าไปก็มีบริเวณไม่ใหญ่มาก แม้แต่การเดินทางมาบราทิสลาวาคนส่วนมากก็ยังบินไปลงที่เวียนนาแทนเลย เพราะเป็นสนามบินที่ใหญ่กว่าและนั่งรถไฟต่อมาอีกเพียงแค่ไม่ถึง 1 ชั่วโมงดีก็มาถึงบราทิสลาวาแล้ว เมืองนี้จึงมีสถานะเสมือนเมืองเล็กที่คนละเลยไปอย่างช่วยไม่ได้

ฉันเองก็ไม่เคยคิดจะมาเที่ยวทั้งๆ ที่อยู่ไม่ไกลเลย แต่พอได้มาแล้วพบว่าประทับใจมากกว่าที่คาดเอาไว้  เมืองเก่าที่คิดว่าจะเล็กและไม่ได้สวยงามเท่าไรกลับเดินเล่นเที่ยวได้อย่างสบายใจ วนไปวนมาหลายรอบก็ไม่เบื่อ บ้านเมืองสะอาดและปลอดภัย มีอาคารสำคัญสถานที่ให้ชมไม่มากสัก 10 กว่าแห่งเท่านั้นแต่ก็ชมได้อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ สวยงามไม่แพ้เมืองพี่ที่อยู่ติดกันเช่นเวียนหน้าหรือปรากเลย

Bratislava เป็นเมืองเล็กมีที่เที่ยวไม่เยอะมาก แต่ถ้าจะมีที่ใดให้เลือกเพียงที่เดียวที่จะต้องไปละก็ น่าจะเป็น Bratislava Castle ตัวปราสาทนี้ตั้งอยู่บนเนินสูง มาถึงเมืองแล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็จะต้องเป็นวิวแรกที่ทุกคนมองเห็น นอกจากปราสาทจะมีอายุเก่าแก่และเคยเป็นที่พักของเจ้าหญิงในสมเด็จพระราชินีมาเรียเทเรซ่าแล้ว ปัจจุบันนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Slovak National Museum และ Museum of History อีกด้วย ดังนั้นการไปชมเราจึงจะได้ชมทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมอาคารเก่า และสิ่งที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์นั้น

ถ้าจะให้ถามความเห็นฉันเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แล้วละก็ ขอบอกว่า จะว่าดีก็ดี จะว่างงก็งง คือว่าตัวปราสาทนั้นใหญ่มาก ใหญ่จริงๆ มีพื้นที่เยอะมีความสูงหลายชั้น ของที่จัดแสดงจึงมีมากมายหลากหลายตามไปด้วย แต่ฉันมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาต้องหาของมาวางให้เต็มพื้นที่ และด้วยความเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติและประวัติศาสตร์ ข้าวของที่จัดแสดงจึงมีตั้งแต่ของที่ขุดเจอในพื้นที่นี้จากยุคหิน พวกปะวะหล่ำกำไลหม้อไหเหรียญโบราณ ไปจนถึงของเกี่ยวกับเรื่องราวสมัยประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันออก เช่นภาพวาด งานศิลปะ งานศิลป์ทางศาสนา และไปจบที่ยุคคอมมิวนิสต์ล่มสลายม่านเหล็กได้เปิดออก มีการเล่าเกี่ยวกับการเมืองการเปลี่ยนแปลงจากประเทศเช็กโกสโลวาเกียมาเป็นสโลวาเกีย แสดงภาพถ่ายวิดิโอการประท้วง หนังสือพิมพ์ ฯลฯ นอกจากนั้นก็มีการจัดแสดงงานศิลปะทั้งหมดทั้งปวงของประเทศ ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนเอามารวมกันหมด เวลาเดินชมจึงต้องคอยปรับสมองให้ทันเล็กน้อยว่านี่เราดูเรื่องอะไรของสมัยไหนอยู่ แต่ด้วยความที่เรามีเวลาแล้วอยากรู้ จึงเดินดูทุกห้องทุกชั้นจนคุ้มเงินไปเลย แต่ส่วนที่ฉันชอบที่สุดน่าจะเป็นชั้นใต้ดินที่แสดงให้เห็นฐานเก่าของปราสาทแต่ดั้งเดิม

ใครมา Bratislava ก็จะต้องเดินเล่นในเมืองเก่า ชมอาคารสถาปัตยกรรม ร้านรวงบ้านเรือน ประตูเมืองเก่า สะพานข้ามคูน้ำ เดินทะลุไปมาครึ่งวันก็ทั่ว บ้านเรือนสีสันสดใสถ่ายรูปสวยหลายมุม และเมืองนี้เขาชอบพวกรูปปั้นอนุสาวรีย์ เห็นมีอยู่เยอะทีเดียว ไม่ใช่เฉพาะรูปปั้นโบราณทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่พวกรูปปั้นใหม่ๆเขาก็ทำขึ้นมาให้เห็นอยู่หลายแห่งในเมือง เช่นรูปปั้นทหารของนโปเลียนเกาะอยู่บนม้านั่ง รูปปั้น Hans Christian Andersen รูปปั้น Schindler Naci หรือที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ใครๆก็ต้องไปถ่ายรูปด้วยก็คือรูปปั้น Cumil ที่เป็นคนโผล่ออกมาจากท่อระบายน้ำที่พื้นดินถนน น่ารักน่าชัง

นอกจากเดินเล่นในเมืองเก่าแล้ว เดินออกไปตรงขอบของเมืองเก่าจะมีโบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ใครๆ เรียกกันว่า Blue Church เพราะด้านนอกทาด้วยสีฟ้าหวานแหวว และด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโวของสโลวาเกียทำให้แลดูเหมือนบ้านขนมปังขิงเคลือบน้ำตาลสีฟ้าอย่างไรอย่างนั้น แต่อันที่จริงโบสถ์นี้มีชื่อว่า The Church of St. Elizabeth มีอายุเพียงแค่ 100 ปีเท่านั้น และมีขนาดไม่ใหญ่มาก สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโบสถ์สำหรับโรงเรียนมัธยมในชุมชน ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมาย แต่ด้วยความที่สีสันสดใสและดีไซน์ที่แตกต่าง ถ่ายรูปขึ้น ใครผ่านไปมาก็ต้องหยุดมอง จึงกลายมาเป็นจุดท่องเที่ยวที่ใครๆ ก็ต้องมาชม จนถึงขนาดได้รับเกียรติใช้เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของประเทศสโลวาเกียที่ Mini Europe เมืองจำลองในกรุงบรัสเซลส์เลย ตอนที่ฉันไปนั้นโบสถ์ปิดเข้าข้างในไม่ได้ แต่ที่อ่านมาคือข้างในก็ไม่มีอะไรมาก ลองส่องดูผ่านกระจกเห็นเก้าอี้ไม้ทาสีฟ้าโทนเดียวกับด้านนอกตึกเลย เป็นโบสถ์ที่สวยงามน่ารักจริงๆ

หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นบนทางเดินเลียบแม่น้ำดานูบ จากเมืองเก่าถ้าลงไปทางใต้จะถึงย่านศูนย์การค้าและอพาร์ตเม้นต์ใหม่ที่สร้างขึ้น ได้เห็นชีวิตคนเมืองที่อยู่อพาร์ตเม้นต์เหนือแม่น้ำ มีที่ให้วิ่งออกกำลังรับอากาศบริสุทธิ์

ส่วนทางเลียบแม่น้ำขึ้นไปทางเหนือนั้นฉันเดินเพื่อจะไปเยี่ยมชมสุสานคนยิวซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของเมือง สุสานนี้มีหลุมศพถึง 7,000 หลุม คนยิวที่สำคัญก็ฝังอยู่ที่นี่ (ที่นี่เคยผ่านการสังหารหมู่คนยิวมาแล้ว) แต่แหมพอไปถึงมันช่างเงียบเชียบห่างไกลผู้คนเหมือนเขาจะปิด แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้ พอลองเปิดประตูลูกกรงเหล็กดูพบว่าเปิดได้ ถึงแม้จะมีเสียงหมาตัวใหญ่เห่าแลดูน่ากลัวเราก็ไม่ย่อท้อ เดินขึ้นบันไดไป มีคุณป้าคนหนึ่งเปิดประตูออกมาจากบ้านพักในบริเวณ ซักถามเราหลายคำถามเหมือนกับไม่อยากให้เราเข้าไปเยี่ยมชม ถามว่าเรามีญาติที่ฝังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า เป็นคนยิวหรือเปล่า พอเราบอกอยากไปเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ป้าก็บอกว่าผู้ชายต้องใส่หมวกนะ แล้วก็บอกว่าให้ดูได้แค่ 5 นาทีแล้วห้ามถ่ายรูปด้วย แล้วป้าก็ปิดประตูปังหายไป เราจึงเดินดูได้แป๊บเดียว และฉันก็อดไม่ได้ต้องแอบถ่ายรูปมาได้หนึ่งรูป

บางคนว่าเที่ยว Bratislava วันเดียวก็พอ แต่ฉันว่าหากมีเวลาก็เจาะลึกให้ทั่วสัก 2 วันได้ ส่วนฉันนั้นอยู่ไป 4 วันเพราะไปฉลองคืนปีใหม่กันที่นั่นด้วย ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับยุโรป เพราะคืนสิ้นปีนั้นเมืองใหญ่ไหนๆก็แพงและแน่นไปด้วยผู้คน แต่ Bratislava กลับมีคนน้อยและราคาไม่แพง แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกของการเฉลิมฉลองผ่านเข้าปีใหม่น้อยกว่าเมืองอื่นเลย คุ้มมากๆ

สุดท้าย เราต้องจบทริปเที่ยวเมือง Bratislava ประเทศ Slovakia ด้วย “กินเหนือฟ้า” ตามธรรมเนียม

อาหารประเทศนี้เขามีความคล้ายกับประเทศฮังการีและเช็ครีพับลิคอยู่มาก คือเขาจะชอบกินเป็ดห่านกันมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะกินเนื้อหรือตับ เนื้อก็เอามาย่างทั้งตัว และหากสั่งสำหรับกินคนเดียวก็จะเสิร์ฟมาเป็นส่วนขา ตับมีทั้งแบบเอาไปทำเป็นตับบดกินกับขนมปัง หรือแบบทอดกินกับแยมผลไม้หรือน้ำผึ้งและขนมปังกรอบ และเขาชอบกินคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายกันมาก โดยเฉพาะมันฝรั่งที่ไม่ค่อยจะกินแบบต้มนึ่งย่างทั่วไป แต่มักจะเอามาแปรรูปผสมแป้งแล้วไปปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ ไม่ว่าจะกินเป็นอาหารหวานหรือคาวก็จะมีมันฝรั่งผสมแป้งทั้งนั้น อย่างเช่นแป้งสีขาวแผ่นบางเหมือนแพนเค้กที่เรียกว่า Lobse นั่นก็มีมันฝรั่งบดผสมอยู่ อันนี้นิยมกินกับเป็ดหรือห่าน แต่จะเอามาใส่ไส้หวานกินเป็นขนมก็ได้เช่นกัน

เนื้อสัตว์ที่เขาชอบกินกันมากอีกก็คือแนวสัตว์ป่า เช่นเนื้อกวางและหมูดำพันธุ์พิเศษที่เรียกว่า Mangalica จะต้องเอามาตุ๋น หรือทำเป็นกูลาช กินกับกะหล่ำม่วงตุ๋น

Sulance เป็นตัวแป้งปั้นหน้าตาคล้ายตัวขนมปลากริมไข่เต่า กินได้ทั้งเป็นอาหารคาวหรือขนมหวานซึ่งก็จะนิยมกินกับ Poppy seed ที่เอามาบด หรือกับแยมหรือครีมหรือถั่ว พูดถึง Poppy seed นี่เขาก็ชอบกินมากเป็นพิเศษทีเดียว เห็นมีในจานขนมหลายจาน เวลาเดินผ่านร้านเบเกอรี่ก็จะเห็นพวกเพสตรี้ที่โรยหน้าด้วย Poppy seed อยู่เป็นประจำ

อีกอย่างที่นิยมกินกันมากคือเกี๊ยวที่ทำจากมันฝรั่งผสมแป้งจับจีบเป็นรูปครึ่งวงกลม เรียกว่า Bryndzové pirohy ข้างในเป็นไส้ที่ทำจากชีสนมแพะ กินโดยเอาเกี๊ยวมาต้มแล้วโรยหน้าด้วยเบคอนชิ้นเล็กๆ กับต้นหอม หอมเจียว และครีมเปรี้ยว อันนี้ถ้าทำมาแป้งไม่หนามากฉันจะชอบมากเลย

อาหารเขาฉันว่าโดยรวมดีกว่าอาหารออสเตรีย แต่ที่ไม่ชอบคือมันมีแต่เน้นแต่เนื้อแดงกับคาร์โบไฮเดรต และที่ไม่ชอบอย่างมากคือเขาจะปรุงมามันเยิ้มทุกจานเลย เหมือนคนที่นี่ทำอาหารติดจะต้องใส่เนยและน้ำมันเยอะ ฉันไม่สามารถกินอาหารเกินวันละสองมื้อได้เลยเพราะจุกน้ำมันตลอด แถมกลับบ้านมาแล้วต้องมากินสลัดล้างท้องอีกหลายวัน

ร้านอาหารโดยรวมคุณภาพปานกลาง ไม่มีอะไรตื่นตาตื่นใจมาก เริ่มมีร้านทันสมัยแนวคิดใหม่ๆ บ้างแล้วเหมือนกันแต่ไม่มาก และก็ยังไม่เปรี้ยวจี๊ดถึงใจ ไม่ว่าจะการตกแต่งหรือเมนู แต่ฉันไปเจอร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งซึ่งชอบมาก อยู่ตรงขอบเมืองเก่าทางเดินขึ้นไปปราสาทชื่อ Modra Hviezda อันนี้เขาขายอาหารสูตรดั้งเดิมมานานมากจึงรสชาติอร่อยทีเดียว แถมร้านยังน่ารักอีกด้วย เราได้นั่งโต๊ะที่อยู่ในถ้ำ น่ารักได้บรรยากาศมากๆ ใครไปต้องแนะนำให้ไปชิมเลย

NO COMMENTS