ฉันเคยมาประเทศสโลวีเนียแล้วเมื่อหลายปีก่อน ได้ไปเที่ยวเมืองหลวง Ljubljana แล้วประทับใจมากกับความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยและความลงตัวระหว่างประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกับโลกสมัยใหม่ เพราะนี่คือประเทศที่เพิ่งแหวกม่านเหล็กออกมาไม่นานหลังจากที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย แต่สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วแซงประเทศที่แตกออกมาจากยูโกสลาเวียอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะพลเมืองของเขาน้อยด้วยกระมัง เพียงแค่ 2 ล้านกว่าคน และคนก็ค่อนข้างมีการศึกษา เมืองหลวงก็เป็นเมืองมหาวิทยาลัย ทำให้ปัจจุบันนี้เศรษฐกิจค่อนข้างดีและเป็นประเทศที่มีช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยน้อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกทีเดียว ฉันชอบจนตั้งใจเอาไว้ว่าอยากจะกลับมาเที่ยวสโลวีเนียอีกเพื่อทำความรู้จักกับประเทศนี้มากขึ้น
จุดหมายที่ตั้งใจเอาไว้ว่าอยากจะมาชมก็คือทะเลสาบ Bled ไม่ไกลจากเมืองหลวง เพราะทะเลสาบเล็กจิ๋วแห่งนี้สวยติดตาตรึงใจมานานแล้ว ด้วยสีที่สวยสดและความแปลกที่ตรงกลางทะเลสาบมีเกาะที่มีโบสถ์ตั้งอยู่ เกาะนี้เป็นเกาะธรรมชาติแห่งเดียวของสโลวีเนีย จากบ้านที่เมืองซูริคเราขับรถมาใช้เวลา 7 ชั่วโมงกว่า จึงนับว่าสามคืนที่นี่เหมาะกับวันหยุดยาวเสาร์-อาทิตย์อย่างกำลังดีทีเดียว
เราพักที่เมือง Bled ชื่อเดียวกับทะเลสาบ เป็นเมืองเล็กจิ๋วกระทัดรัด สถานที่เที่ยวมีไม่กี่แห่ง จึงนับว่าเที่ยวได้อย่างสบายๆไม่แน่นมาก วันนี้เราเดินขึ้นไปชม Bled Castle บนหน้าผาสูงกัน เป็นปราสาทที่เก่าที่สุดของสโลวีเนีย ตั้งแต่ปี 1011 นอกจากจะได้ชมตัวอาคารปราสาทโบราณ ชมพิพิธภัณฑ์ภายในแล้ว ยังได้ชมวิวของทะเลสาบและเมืองจากมุมสูงอีกด้วย ค่าเข้า 13 ยูโรรวมให้ชิมไวน์ฟรีที่ Wine cellar ของปราสาทด้วย
จากนั้นเราก็เดินชมวิววนรอบทะเลสาบกันซึ่งมีความยาวเพียงแค่ 6 กิโลเมตรเท่านั้น ใช้เวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง และทางเดินทำไว้ให้เดินง่ายมาก เลียบทะเลสาบชมวิวไปถ่ายรูปไปได้ตลอดทาง มีจุดที่ลงว่ายน้ำเล่นได้หลายจุด และมีจุดที่กั้นทำเป็นเหมือนสระว่ายน้ำธรรมชาติในทะเลสาบด้วย บางจุดก็มีสวนสาธารณะ มีท่าจอดเรือ ดีมากๆเลย
แต่เดินง่ายขนาดนี้มันไม่สะใจสายเดินอย่างเรา จึงต้องเพิ่มโปรแกรมเดินไต่เขาขี้นไปอีก เราเลือกปีนขึ้นไปบน Mala Osojnica เป็นจุดชมวิวบนเขาริมทะเลสาบ ใช้เวลาเดินขึ้นลงก็ประมาณชั่วโมงหนึ่งพอดี ทางเดินนับว่าไม่ง่ายเพราะค่อนข้างชัน ขาขึ้นต้องหยุดพักเหนื่อย 3-4 ครั้ง บางช่วงก็ต้องเกาะราวและลวดขึ้นไป พอใกล้ถึงข้างบนก็มีบันไดลิงสูงลิ่วให้ไต่อีก แต่พอถึงจุดสูงสุดแล้วหายเหนื่อยเลย เพราะวิวสวยมากๆ ที่ถ่ายรูปว่าสวยมาตลอดทางรอบทะเลสาบนี้จืดไปเลยเมื่อเทียบกับวิวข้างบน
วันรุ่งขึ้นเราเช่าเรือพายเพื่อพายไป Bled Island หรือเกาะกลางทะเลสาบ Bled กัน เกาะนี้คือเกาะธรรมชาติแห่งเดียวในสโลวีเนีย บนเกาะมีโบสถ์ Assumptions of Mary Church ทางเดินขึ้นหลักมีบันได 99 ขั้น และในโบสถ์มีระฆังที่ว่ากันว่าหากไปสั่นระฆังนี้พร้อมอธิษฐานแล้ว คำอธิษฐานจะเป็นจริง จะรออะไรล่ะ ฉันก็ขอไปเคาะระฆังบ้างสิ ไปถึงก็โยกเชือกปลายระฆังซ้ายขวาไปมา เอ๊ะทำไมไม่ดัง คำอธิษฐานจะได้ไหม คุณสามีรีบบอก ไม่ใช่ๆๆ ต้องดึงดิ่งจากบนลงล่าง โอ๊ยขำจะตายทำไมระฆังไม่ดัง ใครจะไปรู้ ก็ตอนอยู่โรงเรียนประจำเวลาครูเคาะระฆังก็โยกซ้ายขวานะคะ โบสถ์ฝรั่งต้องดึงลงเหรอ ไม่เคยรู้ค่ะ เอาเป็นว่า ในที่สุดก็เคาะได้ดังกังวาน ส่วนคำอธิษฐานต้องรอดูผล
ตกเย็นเราขับรถไปเที่ยวหมู่บ้านจิ๋วที่อยู่ห่างจากเมือง Bled เพียงแค่ขับรถ 15 นาที คือ Radovljica เป็นหมู่บ้านเล็กบรรยากาศย้อนยุคที่มีพลเมืองประมาณ 6000 คน ตัวเมืองเก่ามีขนาดกะทัดรัดเป็นโซนถนนคนเดินที่เดินชมได้ทั่วในเวลาไม่กี่นาที ในหมู่บ้านมีอาคารเมืองเก่าทาสีสันสดใส ถนนปูอิฐโบราณ มีน้ำพุตามทางเดิน อารมณ์ไม่ต่างจากเมืองเก่าในเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และยุโรปตะวันออกทั้งหลาย และแน่นอนหัวใจของเมืองก็คือโบสถ์นั่นเอง ตอนฉันไปเป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงของวันเสาร์อีสเตอร์พอดี จึงมีพิธีในโบสถ์ ชาวบ้านในเมืองเร่งเดินไปร่วมพิธีกัน ดูเป็นวิถีชีวิตต่างจังหวัดดี
อาคารเก่าในหมู่บ้านนี้ปัจจุบันก็ทำเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของต่างๆ ที่ทำการของราชการ พิพิธภัณฑ์ และอื่นๆ เหมือนอย่างเมืองเก่าที่ยังมีคนใช้ชีวิตอยู่ในประจำวันทั้งหลาย และในตึกเหล่านั้นยังแทรกปะปนไปด้วยอพาร์ทเม้นท์บ้านเรือนที่คนยังอาศัยอยู่จริง เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าเมืองอื่นๆในยุโรปที่เราเคยเห็นเท่านั้น
นอกจากสถาปัตยกรรมสวยงามให้เดินถ่ายรูปเล่นแล้วก็ไม่มีสถานที่อะไรที่ให้เข้าชมเป็นพิเศษ แต่มีร้านอาหารที่ฉันได้ไปชิมมาตอนเย็น ชื่อร้าน Lectar เป็นอาหารพื้นเมือง ตรงชั้นใต้ดินเขามีพิพิธภัณฑ์ทำขนมปังขิงด้วยเตาอบและวิธีการแบบโบราณเลย สามารถเข้าชมได้ และห้องอาหารของเขาก็น่าสนใจมาก แบ่งซอยเป็นห้องต่างๆหลายห้องทีเดียว แต่ละห้องก็ตกแต่งแตกต่างกันไปแต่อยู่ในบรรยากาศย้อนยุคทั้งหมด อาหารก็จะออกไปแนวออสเตรีย คือเน้นเนื้อเน้นไส้กรอก แต่ก็จะมีอารมณ์ความเป็นอิตาเลี่ยนเข้ามาปนอยู่ด้วย เพราะสโลวีเนียมีชายแดนติดกับอิตาลี ฟ้าได้ชิมจานพื้นเมืองของเขาที่เป็นเกี๊ยวตัวน้อยเหมือนราวีโอลีของอิตาลีแต่เสิร์ฟมากับกูลาชเนื้อแบบออสเตรีย รสชาติก็มาตรฐานสบายท้องแต่ไม่ถึงกับตื่นเต้นเร้าใจ หากใครได้ไปเที่ยวเมือง Bled แล้วแนะนำให้ไปลองชิมอาหารพื้นเมืองที่ร้านนี้ดูเป็นประสบการณ์ ไปถึงหมู่บ้านก่อนเวลาอาหารสัก 1 ชั่วโมงก็เดินชมทั่ว ใช้เวลาไม่มากแถมได้เที่ยวเพิ่มอีกเมืองหนึ่งด้วย
วันถัดมาเราขับรถไปอีกทะเลสาบ Lake Bohinj สวยไม่แพ้กันแต่เน้นธรรมชาติเพราะไม่มีเมืองริมทะเลสาบใดๆ มีแต่วนอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นวนอุทยานธรรมชาติแห่งเดียวของสโลวีเนียทีเดียว มาที่นี่ต้องเดินป่า หรือขี่จักรยาน เราไม่มีเวลาพอจึงได้แต่เดินชมทะเลสาบบางส่วนและเข้าไปชมโบสถ์น้อยซึ่งเก่าแก่และสวยงามคุ้มค่าเข้าคนละ 3 ยูโร ฉันประทับใจธรรมชาติของสโลวีเนียมาก มีทั้งภูเขาสูง หิมะ ทะเลสาบ น้ำตก แม่น้ำ เรียกว่าแทบไม่แพ้สวิตเซอร์แลนด์เลย
ทริปนี้ทำให้ค้นพบว่า สโลวีเนียมีธรรมชาติภูเขา ป่า แม่น้ำ ที่สวยงามมากๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่ติดกับอิตาลีทางตะวันออกเฉียงเหนือ นักท่องเที่ยวไม่เยอะ อาหารและโรงแรมราคาไม่แพง ความก้าวหน้ากิ๊บเก๋เริ่มตามยุโรปตะวันตกมาติดๆ ประเทศนี้คงได้กลายมาเป็นจุดหมายประจำอย่างแน่นอน