ฉันว่ามนุษย์เราทุกคนนี่ก็น่าจะมีมุมเพี้ยนๆอะไรของตัวเองที่คนอื่นไม่เข้าใจกันทั้งนั้น สำหรับคนช่างกินอย่างฉันนี่ก็จะมีเรื่องที่คนบางคนคิดว่าประหลาดอยู่เหมือนกัน แต่คอกินเช่นเดียวกันก็คงจะเข้าใจได้ว่า การเดินทางบางครั้งนั้นเราจัดทริปขึ้นมาทั้งทริปเพียงเพื่อจะไปกินอาหารอะไรบางอย่าง หรือร้านอาหารอะไรบางแห่งเท่านั้นเอง 

ฉันเคยจัดทริปเพื่อกินแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว พูดแล้วก็รู้สึกผิดนิดหน่อย เป็นเพราะอะไรไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะฟังดูเหมือน “อยู่เพื่อกิน” ละมัง แต่เป็นเรื่องจริงของคนช่างกินที่ว่า บางครั้งสำหรับร้านอาหารที่จองยากๆนั้น ถ้าเกิดจองได้ขึ้นมานี่ต้องรีบจองตั๋วเดินทางไปกินเลยทีเดียว และสำหรับทริปไปเยือนสโลวีเนียครั้งที่สองของฉันนี้ อันที่จริงแล้วเหตุผลก็เพราะว่าจะไปกินร้านอาหารที่อยากชิมมานานแล้วนี่เอง

เมื่อหลายปีมาแล้วฉันเคยอ่านข่าวว่ามีเชฟผู้หญิงคนหนึ่งจากสโลวีเนียมารุ่งพุ่งแรงมาก และในปี 2020 อันเป็นปีแรกที่สโลวีเนียได้เข้าร่วมดาวมิชลิน เธอก็ได้ 2 ดาว พร้อมกับร้านอื่นอีก 5 ร้านที่ได้แค่หนึ่งดาว สิ่งที่เตะตาเตะใจฉันคือตรงที่ว่านอกจากเชฟจะเป็นผู้หญิง ซึ่งมีน้อยมากในอันดับเก่งๆของโลกแบบนี้แล้ว ยังมาจากประเทศหลังม่านเหล็กที่เพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นานอีกด้วย เวลาผ่านไปหลายปีความดังของเธอก็มีแต่จะมากขึ้นไม่ได้น้อยลงเลย ทำให้ฉันมั่นใจว่าเธอคือเชฟตัวจริงคนหนึ่งซึ่งต้องมีของดีแน่นอน

และปีล่าสุด 2022 นี้ร้านอาหารของเธอถูกจัดให้เป็นร้านอาหารที่ดีเป็นอันดับ 34 ของโลกโดย The World’s 50 Best Restaurants นับว่าอันดับสูงทีเดียว พอดีว่าฉันมีวันหยุดอีสเตอร์สี่วันซึ่งก็สามารถขับรถไปสโลวีเนียได้กำลังดี ลองเช็คดูปรากฏว่ายังมีโต๊ะสำหรับสองคนในวันที่สะดวกพอดี จึงรีบจองทันทีก่อนที่จะจองโรงแรมเสียอีก

ร้าน Hisa Franko ของเชฟ Ana Ros นี้อยู่ที่เมือง Kobarid ซึ่งอันที่จริงเป็นหมู่บ้านเล็กมาก อยู่เกือบจะติดชายแดนอิตาลีแล้ว เรียกว่าไกลปืนเที่ยงสุดๆ จะไปได้ไม่ใช่ง่ายเลย จากเมือง Bled ฉันต้องขับรถข้ามภูเขาหักศอกชนิดที่แม่ฮ่องสอนควรอายไปสามรอบเลย ขับรถอยู่บนเขาแบบนั้นร่วม 2 ชั่วโมงจึงมาถึงหมู่บ้าน ต้องจองโรงแรมง่ายๆในหมู่บ้านอยู่เพราะมันมีให้เลือกแค่นั้น อันที่จริงร้านอาหารเชฟอานามีห้องพักน่ารักแต่งแบบบูทีคโฮเทลให้แขกที่กินอิ่มแล้วไม่อยากขับรถกลับพักได้ด้วย แต่บังเอิญเต็มหมดฉันเลยอด

เราจองโต๊ะไว้ตอนทุ่มครึ่ง ตรงริมลานจอดรถมีพนักงานยืนรอรับแขกอยู่ด้านหน้าสองคน พอเดินเข้าไปใกล้ถึงกับตกใจเพราะคือเชฟ Ana Ros มายืนรับเองเลย ฉันจึงขอถ่ายรูปด้วยเสียเลย และบอกเธอว่าเป็นแฟนที่ติดตามผลงานและตามมาชิม มีน้องหมาชื่อพริ้นซ์ของเธอมาเข้าฉากถ่ายด้วย อานายิ้มแย้มแจ่มใสน่ารักมาก

ส่วนอาหารนั้นจัดมาเป็นเซ็ทเมนูมีให้เลือกแค่เซ็ตเดียว ทั้งหมด 19 จาน โดยที่สามารถเลือกเพิ่มไวน์แพริ่งหรือค็อกเทลแพริ่งได้ ฉันไม่ขอบรรยายอาหารแต่ละจานเพราะมันจะยาวเกินและบางจานก็จำไม่ได้ กินจนงง แต่ถ้าจะให้สรุปประสบการณ์สั้นๆก็คือจะบอกว่า เธอมีความสร้างสรรค์สูงมากและมีความกล้าที่จะเอาวัตถุดิบแปลกประหลาดหลายอย่างมาทำอย่างที่เราไม่คาดถึง เทคนิคในการปรุงก็ล้ำลึกอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรมควัน การเผา การดอง การตากแห้ง ฉันชิมร้านประเภทนี้มาเยอะ เชฟแต่ละคนก็พยายามจะสร้างสรรค์อะไรที่แปลกไม่เหมือนใคร ฉันเจอจนว่าหลายอย่างก็ไม่แปลกแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าเชฟอานามีของดีหลายอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ

อาหารแต่ละจานมาอย่างละคำสองคำแต่ในหนึ่งคำนั้นมีวัตถุดิบและส่วนประกอบถึงสี่ห้าอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างก็ต้องแยกปรุงแต่ละแบบแล้วเอามาประกอบกันเพื่อให้กินเข้าไปทีเดียวได้รสชาติ กลิ่น รสสัมผัส อย่างที่เชฟออกแบบมา หลายจานต้องใช้มือหยิบเข้าปากไปเลยหนึ่งคำ แล้วหลับตาเคี้ยวค่อยๆเสพรสสัมผัสทุกอย่างที่ประดังประเดออกมาพร้อมกันในปาก ที่ฉันชอบคือทุกจานที่มาพนักงานจะแนะนำว่าควรจะกินเรียงจากคำไหนก่อนไปหลังเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด คือไม่ใช่ทุกร้านนะที่จะมาบอกให้กินอะไรก่อนหลัง หรือกินอย่างไร ร้านนี้เขาบอกแม้กระทั่งว่าควรกัดสามคำพอห้ามเกินนั้น เป็นต้น ถ้าถามว่ามีอะไรที่คิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการสร้างอารมณ์ที่น่าจะมีการขึ้นและลงมากกว่านี้ แต่ที่นี่มาด้วยความตื่นเต้นตั้งแต่แรกแล้วก็อยู่ในระดับสูงแบบนั้นอย่างคงที่ ไม่มีการดึงลงมาให้ผ่อนคลายแล้วดึงกลับขึ้นไปให้ตื่นเต้นใหม่ เรียกว่าแขวนสูงอยู่ข้างบนตลอด มันจึงไม่มีความเร้าใจเท่าที่ควร อีกอย่างก็คือวัตถุดิบที่ใช้จะไม่มีเนื้อสัตว์เป็นชิ้นเป็นอันให้ขมวดจบเป็นจานหลักเลย ซึ่งสำหรับคนส่วนมากอาจจะต้องการจานหลักเพื่อปิดจ๊อบแบบมีฟินาเล่นิดหนึ่ง แต่สำหรับฉันนั้นไม่มีปัญหาชอบมากๆ

เป็นประสบการณ์การกินอาหารที่ตื่นตาตื่นใจมากอีกครั้ง เรียกว่าคุ้มกับครั้งหนึ่งในชีวิตที่ดั้นด้นไปเลยทีเดียว

NO COMMENTS