Caracol ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นหูนักท่องเที่ยวบ้านเรานัก แต่มันคืออาณาจักรโบราณของอารยธรรมมายาที่เคยรุ่งเรืองและมีความสำคัญสูงสุดทีเดียว อาณาบริเวณกินพื้นที่ถึง 200 ตารางกิโลเมตร เคยมีพลเมืองอาศัยถึงหนึ่งแสนคน ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่กว่า Belize City เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเบลิซในปัจจุบันเสียอีก! (ปัจจุบันเบลิซมีประชากรประมาณสี่แสนคน)
การไปนี้มันก็ไปยากมากๆ แต่ฉันก็ดั้นด้นถ่อไปเพราะอยากจะไปเห็นอย่างที่สุด เคยไป Tikal ซึ่งเป็นซากเมืองและปิระมิดของมายาในกัวเตมาลามาแล้ว ยังติดตรึงใจไม่หาย อยากจะไปชมซากอารยธรรมมายาเสียทุกที่ ได้ไปประเทศเบลิซครั้งแรกนั้นมีเวลาน้อย จะไปไหนก็ใช้เวลาเดินทางเยอะ จึงต้องตัดใจเลือก และโดยที่ไม่ต้องคิดมาก ฉันเลือกไปเยือน Caracol อันไปยากที่สุดในบรรดาซากเมืองทั้งหมด เหตุผลด้วยปรัชญาเดิม คือ ยิ่งยากต้องยิ่งรีบไปก่อนที่จะแก่เดินไม่ไหว
จาก Belize City เราขับรถไปเกือบ 3 ชั่วโมงเพื่อเข้าพักที่ Blancaneaux Lodge ซึ่งอยู่ใจกลางป่าในเขต Cayo District ใช้เป็นฐานในการไปสำรวจ Caracol โรงแรมนี้ฉันได้ยินชื่อและหมายมั่นปั้นมือมานาน มันเป็นของ Francis Ford Coppola ผู้กำกับฮอลลีวู้ดชื่อดัง ที่มาหลงรักและลงทุนสร้างโรงแรมอยู่หลายแห่งที่เบลิซ กว่าจะถึง ถนนแย่มาก ต้องค่อยๆกระเด้งกระดอนไป แต่พอถึงแล้วหายเหนื่อยเลยทีเดียว เพราะร่มรื่นเขียวชอุ่ม สมกับเป็น Jungle lodge การตกแต่งออกแบบกลมกลืนกับธรรมชาติทุกสิ่งอัน ห้องเป็นกระท่อมๆกระจายกันไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ฉันจองห้องในกระท่อมริมแม่น้ำไว้ มีระเบียงกว้างหันหน้าออกแม่น้ำ Macal ร่มรื่นสบายมาก ที่สำคัญคือโรงแรมนี้บริการดีมากๆ ดูแลทุกเรื่องอย่างใส่ใจ อบอุ่นกันเองเหมือนต้อนรับแขกในบ้าน นี่คือหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในเบลิซ แต่จะว่าไปฉันว่าระดับมันน่าจะได้แค่ 3 ดาวครึ่งหรือ 4 ดาวเท่านั้นถ้าเทียบกับมาตรฐานโลก จานชามที่เคยหรูหราแต่เก่าลอกแล้ว โต๊ะเก้าอี้โบราณไม่เก๋ร่วมสมัย แต่มันได้ใจตรงที่เขายังใส่ใจรายละเอียด ในห้องมีดอกไม้ใบไม้วางเสียบแทรกบนผ้าเช็ดตัว โต๊ะ เตียง กลางคืนมาจุดเทียนหอมประดับวิบแวมให้ทั้งห้อง และขออะไรก็ตั้งใจทำให้สุดใจทุกอย่าง น่ารักมากจนมองข้ามเครื่องใช้เก่าเกินไปได้ทีเดียว
ฉันจองไกด์จากโรงแรมให้พาไปชม Caracol เพราะสถานที่แบบนี้ต้องมีคนเล่าเรื่องที่รู้ลึก เราใช้รถที่เช่ามาเองขับไปเองโดยไกด์นั่งไปด้วย จากโรงแรมขับลึกเข้าไปในป่าอีกประมาณเพียง 50 กิโลเมตรแต่ต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง เพราะทางมันสุดติ่งมาก ต้องขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น เป็นหลุมบ่อขรุขระ โคลนลื่น ข้ามแม่น้ำด้วยสะพานที่ไม่มีราว แทบจะออฟโร้ดไปตลอดทาง เรียกได้ว่าไปด้วยใจจริงๆ
แต่พอถึงแล้วหายเหนื่อยเลย เอ็ดดี้ไกด์เราเล่าเรื่องเก่งมาก ความรู้เยอะ และฉลาด มีปรัชญา ทำให้เวลาเล่าเรื่องเหมือนเรามีบทสนทนาถกกันไปพร้อมกับการฟังความรู้ใหม่ๆไปด้วย เรียกว่าคุยกันสนุกมากตลอดหลายชั่วโมง ปิระมิดและซากต่างๆที่ขุดและบูรณะให้เห็นที่ Caracol ปัจจุบันนี้สร้างขึ้นในช่วงสูงสุดของอารยธรรมมายา คือช่วงปีค.ศ. 250-900 แต่มีหลักฐานพบว่ามีการอาศัยอยู่ที่นี่เก่าแก่ไปถึง 1200 ปีก่อนคริสต์ศักราชทีเดียว
เราปีนขึ้นไปชมปิระมิดทั้งหมด ที่สำคัญเลยคือ Caana เป็นที่อยู่ของกษัตริย์มายา เผ่ามายาเชื่อว่ากษัตริย์เขาสืบเชื้อสายมาจากเสือจากัวร์ ซึ่งนับเป็นเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว พอลูกกษัตริย์เกิดมาจึงต้องจับรัดหน้าผากตั้งแต่แบเบาะ เพื่อให้โตมามีลักษณะหัวไม่เหมือนคนทั่วไป แต่จะแบนเหมือนเสือจากัวร์ ดึงตาให้รี และตะไบฟันให้แหลมเหมือนจากัวร์ด้วย พวกกษัตริย์นี้จะอยู่บนปิระมิดสูง ไม่ลงมาข้างล่าง เราเห็นข้างบนแบ่งเป็นห้องต่างๆ มีแท่นเตียงนอนด้วย มีการแกะสลัก Glyphs หรือตัวอักษรแบบไฮโรกลิฟฟิกภาษามายันซึ่งมีพื้นฐานบนภาพเหมือนอียิปต์ จะว่าไปก็อดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะเป็นต้นกำเนิดของ Emoji นั่นเองและมีหลุมที่ใช้เผาศพ ที่ขุดเจอกระดูกและเครื่องบวงสรวงต่างๆ ในหลุมศพนี้จะมีการสลักชื่อ อายุ และรายละเอียดคนตายเอาไว้ ทำให้นักโบราณคดีเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้เยอะทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีห้องที่มีช่องเจาะให้แสงแดดส่องเข้ามาที่กำแพง โดยในแต่ละวันของปีนั้นแสงจะตกกระทบไปที่ตำแหน่งต่างๆกัน การวางตำแหน่งปิระมิดและอาคารต่างๆก็เป็นไปตามสูตรดาราศาสตร์ อันเป็นความชำนาญของมายาอย่างยิ่งตามที่เรารู้กันเกี่ยวกับปฏิทินมายา ว่าซับซ้อนและแม่นยำมาก ปิระมิดที่ Caracol นี้ถูกวางตำแหน่งโดยตรงตามหลักการดาราศาสตร์ของมายา โดยทุกวันที่ 21 ธันวาคมหรือวันเหมายันของทุกปี พระอาทิตย์จะส่องแสงลงตรงทางขวาสุดของปิระมิด จากนั้นทุกวันแสงจะเคลื่อนไปเรื่อยๆทางซ้าย และถึงวันที่ 21 มิถุนายนหรือวันครีษมายัน ก็จะมาจบที่ตำแหน่งซ้ายสุด จากนั้นจะเคลื่อนย้อนกลับทางขวา มาจบปีที่ตำแหน่งขวาสุดตอน 21 ธันวาคมอีกครั้ง มันช่างมหัศจรรย์มากจริงๆ
ปฏิทินมายานี้มี 20 วันใน 1 เดือน และมี 18 เดือนใน 1 ปี รวมเป็น 360 วัน และจะเพิ่มอีก 5 วันพิเศษเป็นการปิดท้ายปี ซึ่งเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องฉลองกันใหญ่โต ใน 52 ปีจะครบรอบปีใหญ่หนึ่งครั้ง แล้วก็จะเริ่มนับวงปีกันใหม่
ได้ชม Caracol จนหนำใจแบบเจาะลึกในเวลา 3 ชั่วโมง เพราะขนาดของซากปรักหักพังนี้ไม่ใหญ่มาก ที่ขุดขึ้นมาให้เราเที่ยวชมได้นี้มีขนาดเล็กกว่า Tikal เยอะเลย แต่นี่นับเป็นเพียงแค่ 5% ของขนาดและซากทั้งหมดที่มีเท่านั้นเอง! จึงนับว่าเป็นซากอารยธรรมโบราณของมายาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเบลิซ ไกด์บอกว่าเราต้องออกจากสถานที่ภายในเวลาบ่าย 2 โมง ฉันสงสัยว่าทำไมเขาให้ออกเร็วนัก ได้คำตอบว่า Caracol นี้อยู่ติดกับชายแดนประเทศกัวเตมาลาซึ่งมีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองกันอยู่ ไกด์บอกว่าไม่นานมานี้ทหารตระเวนชายแดนซึ่งดูแลอยู่ในบริเวณนี้ถูกทหารกัวเตมาลาฆ่าตายในป่า ฟังแล้วน่ากลัวจัง แล้วก็จริง พอบ่าย 2 โมงนิดๆในบริเวณปิระมิดที่เงียบสงบที่เราเดินเล่นกันอยู่นั้นก็เห็นทหารใส่ชุดพรางถือปืนค่อยๆปรากฏตัวขึ้นบนยอดปิระมิดสามคน ไม่รู้อยู่ดีๆโผล่ออกมาจากไหน ไกด์บอกว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในป่านานแล้ว และพอถึงเวลาก็จะออกมาดูแลให้นักท่องเที่ยวกลับออกไปให้หมด เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะขับรถลุยถนนที่หฤโหดนี้ออกไปพ้นบริเวณได้ก่อนค่ำ
เราจึงขับรถออกจาก Caracol มาเมื่อเวลาประมาณบ่าย 2 โมงครึ่ง ล้อทางฝั่งซ้ายของรถมีเสียงเหล็กกระทบกันเอี๊ยดอ๊าดค่อนข้างดัง ซึ่งจริงๆเราได้ยินมาตั้งแต่ขาขับเข้ามาแล้ว คิดว่าถนนมันเป็นหลุมเป็นบ่อจึงอาจทำให้แหนบเสียดสีกันหรืออย่างไร ตอนแรกตั้งใจว่าจะเช็คดูแต่พอถึงปิระมิดก็มัวแต่ตื่นเต้นรีบวิ่งเข้าไปดูกัน ขากลับนี้เสียงมันดังขึ้น ยังไม่ทันไรสามีร้องบอกว่า ล้อรถชั้นหายไปแล้วๆๆๆๆ แล้วก็เบรครถหยุดอยู่นิ่งกับที่ ปรากฏว่าล้อรถข้างซ้ายหน้ามันหายไปเลย!เหลือแต่จานเหล็กกลมๆ ฝังอยู่บนดินลูกรังของถนน สามีบอกว่าขับๆ อยู่เห็นล้อรถกลิ้งแซงรถพุ่งหายเข้าไปในป่าข้างทางเลยกับตา!!! เรามองเข้าไปในป่า มันทึบดงดิบมาก แต่ปรากฏไกด์เอ็ดดี้ของเราซึ่งตาดีและเป็นนายพรานมาก่อน เราเพิ่งชมอยู่ว่ามองเห็นลิงอยู่บนยอดไม้แล้วชี้ชวนให้เราดูได้อย่างไร ตาดีมาก เขามองแล้วชี้ให้ดูว่านั่นไงล้ออยู่ตรงนั้น สองหนุ่มเลยวิ่งเข้าป่าไปอุ้มล้อรถกลับมา ปรากฏว่าน็อตห้าตัวที่ขันล้อรถนั้นมันหลวมได้อย่างไรไม่รู้ หลุดกระเด็นหายไปหมดเลย เราขับไปเรื่อยๆล้อมันจึงคลายตัวหลุดออกมา เป็นเรื่องประหลาดมากเพราะตอนรับรถน็อตก็อยู่ครบทุกตัว และที่เราขับมานั้น ต่อให้ถนนทุลักทุเลขนาดไหนเราก็ไม่ได้ขับตกหลุมหรืออะไรรุนแรงที่จะทำให้ล้อหลวมได้เลย คิดไม่ออกจริงๆ ได้แต่สงสัยว่าตอนที่จอดรถทิ้งไว้ที่โรงแรมหรือตอนที่ไปจอดสถานีรถบัสนั้นมีใครแอบมาจารกรรมไขน็อตให้หลวมหรือเปล่า ซึ่งมันน่ากลัวมาก ถ้าเกิดขึ้นบนถนนที่แล่นโดยมีความเร็วได้รถอาจจะคว่ำได้เลย แต่ตอนนั้นยังไม่มีเวลาคิดหาสาเหตุ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนเพราะมีเวลาอีกประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนจะมืด และในบริเวณนั้นก็ไม่มีคลื่นโทรศัพท์เลย และถนนก็ไม่มีรถแล่นผ่านไปมาเลย เราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มรองสุดท้ายที่ขับออกมาจากปิระมิดดังนั้นจะไม่มีใครใช้ถนนเส้นนี้อีกแล้วทั้งคืน สามีบอกว่าต้องเอาน็อตออกมาจากล้อทั้งสามที่เหลืออย่างละหนึ่งหรือสองตัว แล้วเอามาขันเข้าไปกับล้อซ้ายหน้าที่หลุดออกมา ปฏิบัติการอย่างเข้มแข็งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย แต่เราไม่มั่นใจว่าน็อตสามตัวแทนที่จะเป็นห้าตัวนี้มันจะแข็งแรงพอที่จะทำให้เราขับกลับไปได้ถึงโรงแรมหรือเปล่า ถนนก็ขรุขระมาก และหลังจากนั้นก็ไม่รู้จะขับกลับเมืองได้อย่างไร เราจึงทดลองวิ่งช้าๆ และมองดูการเคลื่อนไหวของล้อจากนอกรถประมาณ 20เมตร เห็นว่าแข็งแรงดีจึงค่อยๆ ขับช้าๆ ออกมา โดยที่คอยจอดและตรวจความแน่นหนาเป็นระยะๆ พบว่าสามารถเล่นได้ดี พอมาถึงตรงสถานีลงทะเบียนเข้าป่าซึ่งเป็นระยะทางประมาณครึ่งหนึ่งก่อนถึงโรงแรมก็เข้าไปบอกเจ้าหน้าที่ ซึ่งวิทยุไปบอกโรงแรมเราให้ว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แล้วเราก็ค่อยๆ ขับออกมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดเห็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อของโรงแรมพร้อมพนักงานสองคนขับสวนมาเพื่อกู้ภัยเราพร้อมอุปกรณ์ครบ แต่เราบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว รถขับได้ จึงขับประคองคู่กันไปจนถึงโรงแรม สรุปแล้วคือใช้เวลาทั้งหมด 4 ชั่วโมงอยู่ในป่าแทนที่จะเป็น 2 ชั่วโมง จากนั้นก็โทรไปบริษัทรถเช่าเพื่อตกลงว่าจะให้ทำอย่างไรเพราะวันรุ่งขึ้นเราต้องออกตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อย้อนกลับมาเม็กซิโกให้ทัน ร้านเช่ารถซึ่งเป็นบริษัทคนท้องถิ่น มีความยืดหยุ่นกว่าบริษัทใหญ่ๆ ก็ดีใจหาย โทรคุยกับช่างซ่อมรถแล้วบอกว่าเราสามารถขับรถเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่เพื่อความสบายใจพรุ่งนี้เช้าตอน 6 โมงเช้าให้เราค่อยๆขับออกมา เขาจะออกจากเมืองมากับช่างตั้งแต่ตีสี่แล้วขับสวนมาพบเราระหว่างทาง แล้วจะให้เราขับรถคันใหม่กลับแทน โดยให้ช่างขับคันเก่าแทนเรา
สรุปคือวันรุ่งขึ้นตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เช็คเอาท์ขับรถปุเลงๆ ออกมาเจอช่างและเจ้าของบริษัทรถเช่าขับคู่กันมา ทำเรื่องเคลียร์ค่าเสียหายและประกันต่างๆ นานา ที่บริษัทไม่มีใครรู้ว่าทำไมน็อตถึงหลวม บริษัทรถบอกว่ามันก็เป็นไปได้ที่มีคนมาแกล้งไขน็อตแต่ก็พูดไม่เต็มปากเต็มคำเพราะคงจะทำให้ประเทศเขาดูไม่ดี เราไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด รอดชีวิตมาได้ก็ดีใจแล้ว
การไปเยือนคาราโคลในฝันของฉัน จึงนอกจากจะได้ชมซากอารยธรรมโบราณอันลึกลับสมใจแล้ว ยังได้ประสบการณ์ลึกลับโดยไม่คาดคิดอีกด้วย ว่าล้อรถมันหลุดออกมาได้อย่างไร เป็นอีกทริปหนึ่งในละตินอเมริกาแสนรักที่ไม่อาจจะลืม
หมายเหตุ: อ่านเรื่องในเวอร์ชั่นที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร The Cloud ได้ที่นี่