หลังจากพาเที่ยว Seychelles กันมา 12 วันเต็ม วันนี้ฉันจะมารวบรวมทุกอย่างรีวิวไว้ให้ในเรื่องเดียวแบบครบทุกมุม
~~Seychelles อยู่ที่ไหน มีประวัติศาสตร์อย่างไร~~
เซเชลส์หรือชื่อเต็มว่า Republic of Seychelles เป็นประเทศเล็กๆ ที่เป็นหมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรอินเดียทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา ประกอบไปด้วยเกาะ 115 เกาะแต่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ เพียงไม่กี่เกาะเท่านั้น เกาะที่เหลือส่วนมากจะเป็นเกาะที่อนุรักษ์ธรรมชาติเอาไว้ เซเซลส์เป็นประเทศที่เล็กที่สุดในทวีปแอฟริกาและมีพลเมืองน้อยที่สุดด้วยเพียงแค่ประมาณ 100,000 คนเท่านั้น หากแต่เป็นประเทศที่มี GDP สูงเป็นอันดับสองของแอฟริกาทีเดียว
เซเซลส์เพิ่งจะมีมนุษย์เข้ามาอาศัยอยู่ในศตวรรษที่ 18 นี่เอง โดยที่ฝรั่งเศสนำทาสผิวดำมาปล่อยให้อยู่อาศัยที่นี่ ต่อมาอังกฤษก็เข้ามายึดครองโดยที่ฝรั่งเศสก็ยอมมอบให้โดยดี แต่อังกฤษไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไรมาก เมื่อเซเซลส์ได้รับเอกราชเป็นอิสระแล้วเมื่อปี 1976 ก็ยังอยู่ในเครือจักรภพอังกฤษต่อมา ปัจจุบันนี้ภาษาราชการที่ใช้จึงมีทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ และภาษา Creol การขับรถขับทางซ้ายเหมือนอังกฤษ แต่โดยรวมฉันมีความรู้สึกว่าคนจะคุ้นเคยกับความเป็นฝรั่งเศสมากกว่า สังเกตดูจากคนพื้นเมืองจะพูดภาษาฝรั่งเศสกันได้มากกว่าอังกฤษ คนพื้นเมืองเป็นคนผิวดำแอฟริกา มีวัฒนธรรมแบบ Creol เหมือนกับเมืองต่างๆ ที่เคยถูกปกครองด้วยฝรั่งเศสอย่างเช่นพวกเกาะในทะเลแคริบเบียน หรือแม้กระทั่งนิวออร์ลีนส์ เซเซลส์จึงมีเสน่ห์ของทั้งธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรมที่แตกต่าง ถึงแม้พลเมืองส่วนมากจะเป็นคริสเตียนแต่คนที่นี่ก็ยอมรับความแตกต่างหลากหลายและอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นฮินดู จีน คริสเตียน หรือมุสลิม
~~ไปทำอะไร ~~
เซเซลส์นั้นขึ้นชื่อว่ามีทะเลที่สวยมาก ไม่ใช่สวยอย่างเดียวแต่ยังมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนทะเลที่ใดในโลกตรงที่มีก้อนหินแกรนิตโตๆ กองประดับอยู่ที่ชายหาด ทำให้ชายหาดแลดูมีมิติ น้ำที่นั่นสีฟ้าจัดและใสมาก หาดทรายก็ขาวละเอียด พอมีก้อนหินยักษ์สีเทามาประดับอยู่จึงสวยแปลกตายิ่งขึ้นไปอีก เรียกว่าใครได้เห็นก็ต้องตกตะลึงกันทั้งนั้น จึงไม่แปลกที่เซเซลส์จะเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตสำหรับฮันนีมูนของชาวยุโรป
เมื่อเป็นเกาะ กิจกรรมทางน้ำนั้นก็ย่อมมีมาก ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเรือ ดำน้ำ Snorkel แต่ฉันกลับรู้สึกว่าคนส่วนมากจะมาเซเซลส์ เพื่อนั่งๆ นอนๆ ริมทะเล และเล่นน้ำบนชายหาดกันมากกว่า
เนื่องจากเซเซลส์เป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลแผ่นดินใหญ่ และไม่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่จนกระทั่งไม่กี่ 100 ปีมานี้ จึงมีธรรมชาติที่เฉพาะถิ่นไม่เหมือนใคร เพราะมันเหมือนเป็นวิวัฒนาการทางธรรมชาติที่ถูกกันออกมาจากโลกภายนอก เช่นเจ้าต้นมะพร้าว Coco Del Mar หน้าตาเซ็กซี่จั๊กจี้อันเป็นพืชประจำถิ่นและของเซเชลส์และไม่พบตามธรรมชาติที่อื่นใดในโลกเลย หรือเต่ายักษ์ Aldabra ที่ก็มีเฉพาะที่เซเซลส์อีกเช่นกัน สองอย่างนี้จึงเป็นสิ่งที่เมื่อไปถึงเซเซลส์แล้วก็จะต้องไปชมให้ได้ Coco Del Mar นั้นเราเข้าไปชมได้ที่ Vallée de Mai บนเกาะ Praslin ซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโกด้วย เกาะ Aldabra ที่พบเต่ายักษ์นั้น ก็เป็นมรดกโลกเช่นกันแต่ไม่ให้คนเข้าไปที่เกาะเลย เราจะสามารถไปดูเต่านี้ได้ที่เกาะ Curieuse แทน ซึ่งเขาอนุบาลเอาไว้และให้เต่าอยู่อาศัยได้อย่างอิสระ ส่วนนกแก้วสีดำ Black parrot อันเป็นนกประจำชาตินั้นใกล้สูญพันธุ์มากจึงหาดูได้ยากมาก ฉันก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเลย
นอกจากนี้เซเซลส์ยังมีป่าที่เป็นอุทยานแห่งชาติ ด้วยเช่น Morne Seychelles National Park บนเกาะ Mahé อันเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด หลายคนจึงชอบไปเดินป่าและปีนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อชมวิวในอุทยานเหล่านี้ เส้นทางเดินจะค่อนข้างชัน อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ก็ใช้เวลาไม่นานเพราะแต่ละที่มีขนาดไม่ใหญ่ค่ะ เทรลที่นิยมกันก็เช่น Copolia Trail และ Morne Blanc Trail
และอย่างที่เกริ่นเอาไว้แต่แรกว่า เสน่ห์ของเซเชลส์อีกอย่างก็คือวัฒนธรรมครีโอล ดังนั้นถ้าอยากเห็นอารมณ์สีสันซาบซ่าแบบนี้ก็ต้องไปแวะเที่ยวที่เมืองหลวง Victoria ด้วย ซึ่งใจกลางเมืองก็อยู่ไม่ไกลสนามบินสนามบินนานาชาติเลย ตัวเมืองมีขนาดไม่ใหญ่เลย สามารถเดินเล่น 3 ชั่วโมงก็ทั่วทั้งเมืองแล้ว ไปดูตลาดสดขายผักผลไม้ของที่ระลึกและเสื้อผ้าสีสันสดใส ชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในอาคารแบบ Plantation ตรงสี่แยกใจกลางเมืองที่มีหอนาฬิกาที่จำลองมาจาก Vauxhall ของอังกฤษ เดินชมโบสถ์มัสยิด วัดฮินดู วัดจีนซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน แค่นี้ก็เห็นทั่วเมืองแล้ว
~~ควรไปเที่ยวเกาะไหนบ้าง ~~
สามเกาะหลักที่คนนิยมไปเที่ยวก็คือเกาะ Mahe ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุดและเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง Victoria ด้วย สนามบินนานาชาติก็อยู่ที่เกาะนี้ ดังนั้นใครไปเซเชลส์ก็จะต้องไปลงที่เกาะมาเฮอยู่แล้ว เกาะนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดจึงมีชายหาดให้สำรวจหลายแห่ง แต่ละแห่งก็สวยกินกันไม่ลงทั้งนั้นค่ะ สำหรับฉันนั้นขอเลือกพักโรงแรมที่อยู่ชายหาดทางตะวันตกของเกาะจะได้ชมพระอาทิตย์ตก และเช่ารถขับตระเวนชมชายหาดต่างๆ ในแต่ละวันเอา ส่วนเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองนั้นคือ Praslin เกาะนี้ฉันแนะนำว่าอย่างไรก็ไม่ควรพลาดเพราะชายหาดและทะเลยิ่งสวยกว่าที่เกาะมาเฮอีก และถ้าจะมาชมเจ้ามะมะพร้าวกับเต่ายักษ์ก็จะต้องมาดูที่เกาะนี้ เกาะปราแลงนั้นจากเกาะมาเฮมาได้สองวิธีก็คือนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามมาโดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที หรือจะบินมาก็ได้โดยใช้เวลาบินเพียง 20 นาทีเท่านั้น มีสายการบิน Air Seychelles บินวันละเป็น 10 เที่ยวต่อวันแต่ราคาค่อนข้างแพงเลย หรือถ้าจะให้เก๋กว่านั้นหากใครอยู่โรงแรมที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวก็สามารถเหมาเฮลิคอปเตอร์มาได้ในราคาประมาณ 40,000 บาทต่อเที่ยว นั่งได้สี่คน หรือจะเหมาเครื่องบินส่วนตัวสำหรับนั่งแปดคนมาก็ได้เช่นกันในราคาพอๆ กัน
ส่วนเกาะที่สามที่คนนิยมไปเที่ยวก็คือเกาะ La Digue อันมีขนาดเล็กลงอีก และนั่งเฟอร์รี่ไปได้จากเกาะปลาแลงโดยใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาที แต่เฟอร์รี่ขากลับรอบสุดท้ายจะหมดแค่ตอน 5 โมงเย็น ดังนั้นถ้าใครอยากจะใช้เวลาอยู่ที่เกาะนี้นานๆ ก็จะต้องไปค้างคืน
~~Itinerary ของฉัน~~
คนส่วนใหญ่ถ้าจะไปพักผ่อนริมทะเลที่เซเชลส์เขาก็จะเลือกโรงแรมแล้วปักหลักอยู่ที่นั่นเพื่อเล่นน้ำทะเลแล้วอาบแดดนั่งๆ นอนๆ ที่เดียวกันนานๆ ไปเลย แต่ฉันเป็นโรคกลัวเที่ยวไม่ครบ ก็อุตส่าห์ไปเสียไกลจึงต้องจัดโปรแกรมให้ได้ไปเที่ยวชมหลายสถานที่หน่อย แถมยังไม่พอ บนเกาะมาเฮเกาะใหญ่อยากจะได้บรรยากาศชายหาดที่ไม่เหมือนกันอีกจึงต้องเลือกโรงแรมที่อยู่ทางใต้แห่งหนึ่งแล้วย้ายมานอนทางเหนืออีกแห่งหนึ่ง ทำให้ทั้งทริปนี้ย้ายโรงแรมถึงสี่แห่ง แต่ละวันก็ขับรถสำรวจชายหาดหลายแห่ง จึงเป็นทริปที่แอคทีฟแทบจะทุกวันเลยแทนที่จะนั่งๆ นอนๆ อย่างคนอื่นเขา
โปรแกรมของฉันก็มีคร่าวๆดังนี้
วันที่ 1-4
พักที่โรงแรม Kempinski บนเกาะมาเฮ เที่ยวเมืองวิคตอเรีย ชมโรงกลั่นเหล้ารัม Tamkaka ประจำประเทศ และขับรถสำรวจชายหาดทางใต้ของเกาะเช่น Petite Anse, Anse Soleil, Baie Lazare, Grande Anse, Anse Takamaka, Anse Intendance, Anse Bazarca และ Police Bay
วันที่ 4-6
พักที่โรงแรม Hilton Northolme Resort ส่วนมากจะเล่นน้ำอยู่ที่โรงแรมและได้แวะไปดูชายหาด Beau Vallon อันเป็นชายหาดที่ Popular ที่สุดของชาวเมือง มีความคึกคักมากที่สุดด้วยกิจกรรมทางน้ำเช่นเจ็ตสกีและอื่นๆ และมีโรงแรมตั้งอยู่บนชายหาดหลายแห่ง แต่ฉันกลับไม่ชอบความวุ่นวายของชายหาดนี้ จะชอบชายหาดส่วนตัวในโรงแรมมากกว่า
วันที่ 6-9
นั่งเรือเฟอร์รี่จากเกาะมาเฮข้ามมาเกาะ Praslin พักที่โรงแรม Chauve Souri Relais บนเกาะส่วนตัว Chauve Souri ด้วยความที่อยากพักห้องพักของโรงแรมนี้มาก ฉันจึงต้องยอมลำบากในการที่นั่งเรือข้ามจากเกาะส่วนตัวมาเที่ยวสถานที่ต่างๆ บนเกาะปลาแลงทุกวัน วันละสองรอบ ซึ่งก็เป็นบริการของเกาะโรงแรมอยู่แล้วแต่เราจะต้องนัดหมายเขา ช่วงอยู่โรงแรมนี้สามวันฉันก็ไปเที่ยวชมมะพร้าว Coco Del Mar ที่สวน ที่ Vallée de Mai ขับรถไปเล่นน้ำที่ชายหาด Anse Georgette และหนึ่งวันเต็มที่นั่งเฟอรี่ข้ามไปเที่ยวที่เกาะ La Digue ซึ่งสรุปว่าหนึ่งวันก็ไม่พอแม้จะเป็นเกาะเล็ก เพราะต้องขี่จักรยานหรือเดินเอา ฉันจึงได้ไปเพียงแค่สองสถานที่หลักจากที่ตั้งใจเอาไว้หลายที่ คือชายหาด Anse Source d’Argent ที่เป็นชายหาดที่ถ่ายรูปขึ้นมากที่สุดในโลก และไป L’Union Estate Farm ตั้งใจจะเดินไต่เขาขึ้นไปชมวิวที่ Nid D’Aigles แต่ยางจากจักรยานแบนเสียก่อนจึงหมดเวลา อดไป ทั้งๆ ที่อีกนิดเดียวก็จะถึงอยู่แล้ว และยังมีชายหาดอีกแห่งที่ฉันอยากเห็นคือ Anse Cocos ที่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกลับมาชมเก็บตก
วันที่ 9-12
ย้ายไปพักที่โรงแรม Raffles ซึ่งนับว่าหรูที่สุดบนเกาะปลาแลง เพราะสูตรของฉันคือวันท้ายๆ จะต้องนั่งๆ นอนๆ พักผ่อนแบบหรูหราหมาเห่าก่อนกลับบ้าน สามวันนี้จึงเน้นเล่นน้ำทะเลอยู่ที่หาดของโรงแรมกับสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ห้อง หน้าโรงแรมมีแนวปะการังให้สนอร์เกิลดูได้ด้วย โรงแรมมีอุปกรณ์ให้ใช้ฟรีแล้วยังมีคนดำน้ำนำไปชมให้อีกด้วยถึง 1 ชั่วโมงเต็ม และมีอยู่วันหนึ่งเราซื้อทัวร์ข้ามไปดูเต่ายักษ์ที่เกาะ Curieuse กับสนอร์เกิลที่เกาะ St. Pierre ซึ่งก็พอดีอีกว่าทั้งสองเกาะนี้อยู่ตรงข้ามโรงแรมแบบมองเห็นเลย ดังนั้นทัวร์จึงบริการพิเศษให้โดยเอาสปีดโบ๊ทมารับส่งเราถึงชายหาดหน้าโรงแรมเลย
วันสุดท้ายเรากลับไปต่อเครื่องที่สนามบินนานาชาติเกาะมาเฮโดยการบินกลับแทนที่จะนั่งเฟอร์รี่ ซึ่งก็ทำให้ได้ประสบการณ์นั่งเครื่องบินเล็กขนาด 16 ที่สนุกไปอีก แถมได้ชมทะเลสวยๆ ของเซเชลส์จากมุมสูงอย่างใกล้ชิดเป็นการส่งท้ายอีกด้วย
~~ชายหาดที่ฉันชอบ ~~
หลังจากสำรวจชายหาดมาเยอะมากจนแทบจะครบทุกแห่งที่ติดโพยว่าสวยสุดๆ ฉันฟันธงเลยค่ะว่าที่สวยที่สุดคือ Anse Georgette บนเกาะ Praslin หาดนี้มีขนาดเล็กกะทัดรัดคนไม่พลุกพล่านเพราะจะต้องเดินเท้าผ่านสนามกอล์ฟของโรงแรม Constance เข้าไปครึ่งชั่วโมง และกลับออกมาก่อน 5 โมงเย็น น้ำที่นี่สีสวยมากและคลื่นก็กำลังดี ฉันแช่น้ำอยู่ที่นี่ได้เป็นวันๆ เลย ส่วนที่สวยพอกันแต่มีขนาดใหญ่กว่าและคนเยอะกว่าก็คือ Anse Source d’Argent หาดหาดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นชายหาดที่ถ่ายรูปออกมาสวยที่สุด ใครๆ ก็ต้องมาเห็นที่นี่ให้ได้กับตา แต่ฉันให้เป็นอันดับสองเพราะในทะเลมีสาหร่ายเยอะมากสีน้ำจึงสวยน้อยหน่อยและเล่นน้ำไม่ค่อยสะดวก ต้องเดินออกไปไกลมาก ส่วนชายหาดที่ฉันว่าสวยที่สุดบนเกาะใหญ่มาเฮนั้นคือ Anse Intendance ที่นี่เป็นชายหาดสาธารณะจึงมีคนท้องถิ่นมาเล่นน้ำด้วย แต่คนไม่เยอะเกินไป น้ำสีสวยและคลื่นไม่แรงเกินไป มีก้อนหินแกรนิตยักษ์ประดับอย่างสวยงาม ถ่ายรูปขึ้นมากๆ อีกชายหาดก็คือ Petite Anse แต่ชายหาดนี้ถึงแม้จะเป็นชายหาดสาธารณะแต่ทางเข้าจะต้องเดินผ่านโรงแรม Four Seasons เข้าไปทั้งนั้นคนจึงไม่เยอะมาก ถ้าให้ดีฉันว่าก็ไปพักที่โรงแรมนี้เสียเลยสะดวกดี
ส่วนชายหาด Anse Lazio และ Beau Vallon ที่จะมีชื่อเสียงมากหน่อยฉันกลับไม่ชอบเลยทั้งสองแห่ง เพราะคนเยอะวุ่นวายมาก และความสวยสู้ที่อื่นยังไม่ได้
~~ไปอย่างไร ~~
มีสายการบินหลายสายที่บินไปลงเมือง Victoria เช่น Qatar, Emirates, Etihad, Turkish ซึ่งก็สะดวกหากเดินทางมาจากเมืองไทยหรือยุโรป เพราะเราก็สามารถไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮับของสายการบินพวกนี้ที่ตะวันออกกลางได้ นอกจากนี้ก็มี Air Seychelles, Kenya, Srilankan และ Edelweiss สายการบินจากสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับฉันเองบินจากสวิตฯไปโดยใช้สายการบินกาตาร์ ใช้เวลาบินและเปลี่ยนเครื่องทั้งหมดก็ประมาณ 12 ชั่วโมง
สำหรับใครที่จะนั่งเฟอร์รี่จากเกาะมาเฮไปปลาแลงฉันแนะนำให้จองตั๋วไว้ล่วงหน้ากับบริษัทเรือ Cat Coco ส่วนเรือที่จะข้ามจากปลาแลงไปลาดี้กก็ควรจองเหมือนกันแต่ไม่ต้องจองล่วงหน้านานมาก ก็ได้ ที่แนะนำคือบริษัทเรือ Coco Rose
~~โรงแรมที่พัก ~~
1. Kempinski ห้องพักสบายมาก ห้องอาบน้ำกว้างสุดๆ พร้อมหัวเจ็ทฝักบัวรอบตัวเหมาะกับการอาบน้ำหลังจากเล่นน้ำทะเลมาเป็นที่สุด ที่นี่มีร้านอาหารริมชายหาด และมีบาร์พร้อมดนตรีสดอยู่บนระเบียงติดกับล็อบบี้ที่ดีมากๆ ชายหาดที่นี่ก็ดีมาก จะว่าไปแล้วเช็คอินที่นี่แล้วไม่ควรออกจากไหนอีกเลย เล่นน้ำแหมะอยู่ที่นี่ได้เลยทั้งวัน ตอนฉันไปราคาประมาณคืนละหมื่นกว่าบาท
2. Hilton Northolme Resort ที่นี่ห้องเน้นเป็นวิลล่ากระจายกันไปบนเนินเขา บางวิลล่ามีสระว่ายน้ำส่วนตัวด้วย ทุกวิลล่าจะหันออกได้วิวพระอาทิตย์ตก ห้องที่นี่กว้างและออกแบบได้ดีมากเลย มีทั้งห้องน้ำที่กว้างมากๆ มีห้องทำงานห้องนั่งเล่น และระเบียงชมพระอาทิตย์ตกที่ใหญ่มาก สำหรับชายหาดนั้นมีชายหาดส่วนตัวเลยแต่ขนาดจะค่อนข้างเล็ก ที่นั่งริมชายหาดก็จะไม่เยอะ คนจึงจะกระจายไปนั่งริมสระว่ายน้ำเสียเยอะกว่า ที่นี่ฉันว่าอาหารเย็นและเครื่องดื่มอร่อยสู้ Kempinski ไม่ได้ แต่มุมที่ดีคือที่ Gin Bar สำหรับชมพระอาทิตย์ตก ราคาประมาณคืนละ 20,000 บาท
3. Chauve Souri Relais โรงแรมนี้มีไม่กี่ห้อง เป็นบังกะโลกระจายกันไป จะไม่ใช่โรงแรมห้าดาวหรูหรา แต่อยู่บนเกาะส่วนตัว จะไปไหนทีต้องให้โรงแรมขับเรือมาส่งเข้าฝั่ง แต่ก็จะมีความเก๋และ Exclusive อย่างมาก ชายหาดของโรงแรมนั้นดีทีเดียว น้ำสวยและเล่นน้ำได้สะดวกสบาย ถ้าพักห้องเด็ดสุดของเขาอย่างที่ฉันพักก็จะมีระเบียงและท่าน้ำให้เดินลงไปเล่นน้ำหน้าห้องได้เลย แต่คลื่นตรงนี้จะแรงหน่อย ต้องคอยระวัง และสามารถสนอร์เกิลดำน้ำรอบเกาะได้เลยด้วย ฉันแนะนำว่าถ้าอยากได้อารมณ์กิ๊บเก๋ไม่เหมือนใครควรจะไปพักอย่างน้อยสักสองคืน ราคาคืนละหมื่นกว่าบาทสำหรับห้องที่ใหญ่ที่สุด
4. Raffles โรงแรมนี้เป็นพูลวิลล่าทั้งหมด แต่ละวิลล่าลดหลั่นกระจายกันไปบนเนินเขา จะออกจากห้องไปไหนก็กดเรียกรถบัคกี้มารับ ห้องดีมากๆ และชายหาดก็ดีมาก แถมยังมีแนวปะการังให้ไปดำน้ำดูเล่นได้หน้าชายหาดเลยด้วย กิจกรรมที่นี่ก็เยอะที่รวมอยู่ในค่าห้องแล้วทั้งหมด มีทั้งเดินป่า โยคะ ชมเต่ายักษ์ที่โรงแรมอนุบาลไว้เอง มีส่วนที่เล่นของเด็ก และมีลานเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวด้วย ที่นี่เรื่องบริการต้องยกให้เขาเลย ดูแลเราดีมากๆจนสามีชอบโรงแรมนี้ที่สุดเลย แต่ราคาก็จะสูงกว่าที่อื่นตกคืนละ 30,000 บาท ที่ฉันไม่ชอบสำหรับโรงแรมนี้ก็คืออาหารเพราะมันน่าเบื่อมาก มื้อเย็นมีให้เลือกคือร้านซูชิกับร้านอาหารเอเชียซึ่งก็มีอาหารไทยอยู่เยอะ แต่มันจะอร่อยเหมือนกินที่บ้านเราได้อย่างไร อันที่จริงทุกคืนเขาจะมีอาหารพิเศษเป็นบุฟเฟ่ต์ในธีมที่หมุนเวียนกันไป เช่น Creol night, Tandoori night แต่อันนี้ฉันไม่ได้ชิมจึงไม่ทราบว่ารสชาติเป็นอย่างไร
~~ร้านอาหาร ~~
คนส่วนมากจะกินอาหารในโรงแรมที่พักเพราะสะดวกที่สุด แต่ฉันก็ออกไปกินอาหารนอกโรงแรมหลายวันเหมือนกันเพราะอยากชิมรสชาติพื้นเมืองแท้ แต่บอกเลยว่าร้านอาหารของทั้งประเทศเซเชลส์นี้มีไม่มากเลย ร้านดีๆ มีอยู่หยิบมือเดียว ที่ฉันได้ไปชิมมาแล้วชอบก็มีดังนี้
เกาะ Mahe
Marie Antoinette ในเมืองหลวงวิคตอเรียร้านนี้แนะนำมากๆเพราะเป็นบ้านไม้โบราณสวยมากและเป็นอาหารพื้นเมืองจริงๆสวยงามโรแมนติกแต่ราคาไม่แพง
La Gaulette ที่หาด Gaulette นี่น่าจะเป็นร้านพื้นเมืองที่สุดของทริปนี้แล้ว ซึ่งก็เป็นร้านที่รสชาติอร่อยที่สุดที่กินมาเลย แล้วราคาก็ถูกมาก ร้านนี้แนะนำที่สุดเลย
เกาะ Praslin
Les Rochers ร้านนี้ฉันก็ชอบมากๆ ค่ะ โรแมนติกสุดๆ บรรยากาศดีมาก และมีความกิ๊บเก๋ตรงที่เขาให้เรานั่งดื่มที่โต๊ะบนชายหาดก่อน ดื่มเสร็จแล้วจึงเชิญให้เราย้ายไปนั่งที่โต๊ะดินเนอร์ในบ้านไม้ที่เปิดโล่ง อาหารก็ทำมาอร่อยดีมากเลย แต่ราคาก็ค่อนข้างสูง ฉันว่าบนเกาะปลาแลงร้านนี้ดีที่สุดแล้ว อยากกลับไปอีกเลย
Les Lauriers เป็นร้านอยู่ในโรงแรมชื่อเดียวกันแต่คนนอกก็ไปกินเยอะ เพราะนับว่าเป็นร้านอาหารดังคุณภาพดีอีกแห่งของเกาะ ร้านนี้ก็รสชาติใช้ได้และบรรยากาศดีพอควร แต่สู้ Les Rochers ยังไม่ได้
Cafe des Arts อันนี้อยู่ในโรงแรมอาหารก็จะใช้ได้ดีตามมาตรฐานโรงแรม แต่ที่ดีคือเราโชคดีได้นั่งโต๊ะริมหาดทรายเลย จึงบรรยากาศดีมากๆ ลมพัดพัดเย็นสบาย เหมาะเหมาะกับการจิบค็อกเทล
สำหรับร้านอาหารตามโรงแรมทั้งหลายแม้จะเป็นโรงแรมห้าดาวฉันก็ว่ามันค่อนข้างจะน่าเบื่อมาก และราคาแพงมากอีกต่างหาก แต่ยอมรับว่าสำหรับอาหารเช้านั้นของทุกโรงแรมที่พักเป็นเลิศสุดๆ ที่ Kempinski พวกอาหารที่ควรจะจะต้องแช่เย็น เช่นผักสลัดหรือชีสเขาทำเป็นห้องเย็นทั้งห้องมีประตูอัตโนมัติเปิดให้เราเดินเข้าไปตักได้ในห้องเย็นเลย เก๋มาก ที่ Hilton ก็มีอาหารให้เลือกเยอะมาก หรูหราอลังการสุดๆ และวิวห้องอาหารเช้านี้สวยมากนั่งแล้วไม่อยากลุกเลย ส่วนที่ Raffles นั้นหรูสุดๆ เลย แค่น้ำผลไม้อย่างเดียวก็มีเป็น 10 อย่างแล้ว และทุกที่นั้นอาหารเช้านอกจากจะมีบุฟเฟ่ต์แล้วยังสั่งเพิ่มจากเมนูได้อีกด้วย ไม่ต้องนับว่าทุกที่มีแชมเปญให้รินได้ฟรีในตอนเช้ายังไม่อั้นอีกด้วย
~~ค่าใช้จ่าย ~~
เนื่องจากสินค้าส่วนมากต้องนำเข้า อาหารการกินและค่าโรงแรมที่เซเชลล์จึงไม่ถูกเลย ภาษีแอลกอฮอล์ก็สูง เทียบง่ายๆ คือราคาอาหาร เครื่องดื่ม และค่าห้องพักนี่ไม่ต่างจากสวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว ส่วนค่าเช่ารถนั้นไม่แพงมากประมาณวันละ 1000 บาท ค่าเรือเฟอร์รี่ข้ามเที่ยวละประมาณ 2000 กว่าบาท แต่ถ้านั่งเครื่องบินในประเทศ เที่ยวเดียวก็เข้าไป 6000 บาทแล้ว
โดยสรุปฉันไปกันสองคน 12 วัน พักโรงแรมที่เกรดค่อนข้างดีอย่างที่รีวิวข้างบน โดยที่ฉันมีทริกซื้อห้องต่างๆ ได้ราคาถูกแล้วก็ยังตกคนละ 150,000 บาท ซึ่งอันนี้ยังไม่รวมอาหารมื้อกลางวันและเย็นซึ่งเราจ่ายแยกเองอีกและราคาแพงมาก และไม่รวมตั๋วเครื่องบิน นับว่าเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูงทีเดียว ก็อย่างที่บอกแต่แรกว่า นี่คือประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีที่สุดในทวีปแอฟริกา
~~สรุป ~~
ถึงจะแพงแต่ก็อยากกลับไปอีก เพราะฉันว่าทะเลที่เซเชลส์นี่นับได้ว่าสวยที่สุดในโลกอีกแห่งหนึ่งที่ฉันเคยไปมาทีเดียว เรียกว่าสูสีกันเลยกับ Bora Bora เลย
~~แถมข่าวดี ~~
พาสปอร์ตไทยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศเซเชลส์อยู่ได้เป็นเวลา 30 วัน เราเข้าไปกรอกคำร้องในเว็บไซต์ของประเทศเขา เพียงแค่หนึ่งวันเขาก็จะส่งเมล์ตอบกลับมาพร้อม QR Code ให้เราเซฟไว้ในโทรศัพท์เพื่อสแกนตอนเข้าประเทศได้เลย