วันถัดมาเป็นวันที่ฉันจัดโปรแกรมเต็ม และเป็นวันที่ตั้งตารอคอยที่สุดของทริปนี้ เพราะเราจะไปชมสถานที่ๆเป็นของโปรดของเหนือฟ้าแบบสุดๆ “สุสาน” นั่นเอง Valley of the Thracian Kings เป็นพื้นที่กินบริเวณกว้างที่มีสุสานโบราณกระจายอยู่ เพิ่งขุดพบไม่กี่สิบปีมานี้ แต่มีอายุถึงราว 3000 ปี แต่ก่อนจะไปถึงบริเวณสุสาน เราต้องผ่านเมืองหน้าด่านก่อน จึงขอแวะเที่ยวเป็นน้ำจิ้มเป็นรายการแรกของวัน

Shipka เป็นเมือง หรือจะว่าไปแล้วเรียกว่าหมู่บ้านดีกว่าเพราะเล็กมาก มีพลเมืองพันกว่าคน ตั้งอยู่ตรงกลางของประเทศบัลแกเรีย พอเข้าเขตหมู่บ้านก็เห็นโดมทรงหัวหอมสีทองอร่ามมลังเมลืองตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้านอย่างโอ่อ่าเป็นหน้าเป็นตาของเมืองนี้ นั่นคือ Shipka Memorial Church หรือ Shipka Monastery หรือ Memorial Temple of the Birth of Christ เป็นโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์สไตล์รัสเซีย มีอายุถึง 100 ปี สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับทหารที่เสียชีวิตในสงครามการปลดปล่อยอิสรภาพให้ประเทศบัลแกเรีย และโบสถ์นี้ยังเป็นอาคารอนุรักษ์วัฒนธรรมแห่งชาติของบัลแกเรียด้วย เราสามารถขับรถขึ้นไปชมได้สบายๆ จอดรถด้านหน้าแล้วก็เดินชมในโบสถ์และบริเวณรอบๆได้เลย ตอนที่ฉันไปนั้นใบไม้สีเหลืองกำลังร่วงหล่นเต็มสนามรอบโบสถ์พอดี สวยงามมาก นอกจากจะได้ชมความงามหยดย้อยในโบสถ์แล้ว จึงได้เดินเล่นชมธรรมชาติสูดอากาศบริสุทธิ์ในสวนรอบโบสถ์อีกด้วย ถ่ายรูปออกมาก็สวยงามคู่ควรแก่การแวะไปเยือนทีเดียว

ชมโบสถ์แล้วก็ถึงเวลาไปเยี่ยมชมสุสาน ซึ่งมีอยู่หลายแห่งกระจายกันไปในพื้นที่ ก่อนอื่นขอเล่าให้ฟังย่อๆเกี่ยวกับประวัติของกลุ่มสุสานนี้ก่อน Thracian เป็นกลุ่มชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินย่านประเทศบัลแกเรียปัจจุบันนี้เมื่อราว 3000 ปีมาแล้ว มีกษัตริย์ปกครองเป็นของตัวเอง ต่อมาได้ถูกรวบรวมเข้าอยู่ภายใต้จักรวรรดิกรีก จึงได้ถูกกลืนเผ่าพันธุ์กลายเป็นกรีกไป ช่วงเวลาที่เป็นอิสระอยู่ก่อนกลืนเป็นกรีกนั้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ปัจจุบันเราจึงไม่ค่อยมีเรื่องราวเกี่ยวกับชนกลุ่มนี้ให้ได้ยินได้ฟังกันมากนัก สุสานโบราณของ Thracian ที่ค้นพบแห่งนี้จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่กี่อย่างที่เหลืออยู่เกี่ยวกับชนเผ่านี้และสภาพที่พบเจอก็ดีมาก จึงเป็นสถานที่ที่องค์การยูเนสโก้ยกให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

การค้นพบสุสานเหล่านี้ก็เป็นไปด้วยความบังเอิญ สุสานแต่ละแห่งถูกฝังอยู่ในเนินดินสูงที่เขาเอาดินมาถมทับปิดเอาไว้ ว่ากันว่ามีสุสานใต้เนินดินที่ฝังพระศพและศพของกษัตริย์ ขุนนาง และชนชั้นสูงในบริเวณนี้กระจายอยู่เป็นพันกว่าสุสานที่เดียว แต่ว่าที่ได้ขุดค้นแล้วนั้นมีประมาณ 300 แห่ง และที่เปิดให้เข้าชมได้ในปัจจุบันมีประมาณ 15 แห่งที่อยู่กระจายกันไประหว่างเมือง Shipka และ Kazanluk เราสามารถขับรถไปจอดแวะชมแต่ละแห่งได้โดยซื้อตั๋วแยกเข้าไปในแต่ละที่ สุสานแต่ละแห่งมีดีไซน์ลักษณะต่างกันไป บางแห่งมีห้องด้านหน้าหนึ่งชั้น บางแห่งมีสองชั้น แต่ที่เหมือนกันคือชั้นในสุดที่เป็นส่วนเก็บโลงศพนั้นจะอยู่ในห้องทรงกลมที่มีหลังคาเป็นโดมกลมครอบอยู่ ผนังทั้งหมดทำด้วยหินสี่เหลี่ยมมาก่อเรียงต่อกัน ดูแล้วมันน่าอัศจรรย์มากที่เขาเอาหินสี่เหลี่ยมผืนผ้ามาเรียงซ้อนกันให้เป็นเพดานโดมกลมอยู่ข้างบนโดยที่ไม่ตกลงมาได้อย่างไร มีเพียงหลุมศพแห่งเดียวที่มีเสาตรงกลางค้ำโดมอยู่ แต่หลุมอื่นไม่มีเลยค่ะ และบางหลุมก็มีซากให้เห็นว่าเมื่อก่อนนั้นผนังและเพดานเคยมีการทาสีและวาดรูปจิตรกรรมเอาไว้ด้วย จะว่าไปแล้วคล้ายกับหลุมศพในปิระมิดที่อียิปต์มากเลย เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า และแต่ละหลุมก็ถูกซ่อนอยู่ในเนินดินแทนที่จะอยู่ในปิระมิด

วันที่ฉันไปนั้นเขาไม่ได้เปิดให้ดูทุกสุสาน ได้ข่าวว่าเดาล่วงหน้าไม่ค่อยได้ว่าเมื่อไหร่จะเปิดให้ดูที่ไหน แต่ทั้งหมดก็ได้เข้าไปชมถึง 5 แห่ง ตื่นตาตื่นใจในความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรมของโบราณมาก ตั้ง 3000 ปีมาแล้ว เขามีความรู้ความสามารถทำได้ และยังอยู่คงทนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ทรัพย์สินมีค่าและซากศพข้างในจะไม่เหลือให้เห็นอยู่แล้วตอนที่ขุดพบ แต่ตัวสถาปัตยกรรมที่เหลืออยู่นั้นสมบูรณ์น่าทึ่งมากจริงๆ เป็นอีกหนึ่งในสถานที่ๆน่าไปชมของประเทศบัลแกเรียที่ขอแนะนำอย่างเป็นที่สุด

ขากลับจาก Valley of the Thracian Kings มาเมือง Veliko Tărnovo เราได้แวะหมู่บ้านเล็กอีกแห่งหนึ่ง  อันว่าบัลแกเรียนี้มีหมู่บ้านเล็กๆหลายแห่งที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นจุดท่องเที่ยวที่ดังมาก แต่ก็มีความน่าสนใจ อย่างเช่นหมู่บ้าน Tryavna แห่งนี้ ที่มีสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวจากสมัย Bulgarian Renaissance ตอนที่ฉันไปนั้น ทั้งเมืองเงียบเชียบไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นเลย เราจึงเดินดูบ้านเรือนถ่ายรูปกันได้อย่างโล่งสบายใจ ลักษณะบ้านเรือนแลดูแตกต่างจากเมืองอื่น ทั้งเมืองจะเป็นอาคารสีขาว มีกรอบประตูหน้าต่างไม้สีน้ำตาลเข้ม หลังคาจะปูด้วยหิน แลดูเป็นโทนสีเดียวกันทั้งเมือง เมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลางของงานไม้งานฝีมือมาตั้งแต่สมัยเก่า ชั้นล่างของบ้านและอาคารพวกนี้จึงมักจะใช้เป็นร้านค้าหรือพื้นที่ทำงานไม้แกะสลักงานฝีมือและผ้าทอ ปัจจุบันนี้พวกร้านค้าทั้งหลายก็จะขายของพวกงานฝีมือที่ระลึกเหล่านี้

ฉันได้เข้าไปชมข้างในบ้านหลังหนึ่งซึ่งเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ คือ Daskalov house สร้างขึ้นในปี 1808ด้านในมีการจัดแสดงพวกงานฝีมือและการตกแต่งบ้านให้ดูว่าสมัยก่อนเขาอาศัยกันอยู่อย่างไร แต่ที่ฉันสนใจนั้นก็คือสถาปัตยกรรมของตัวบ้านเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง ประตู หรือเพดานไม้แกะสลักที่สวยมาก

ใจกลางเมืองมีลาน Capitan Diado Nikola Square ซึ่งมีหอนาฬิกาเป็นสัญลักษณ์เด่นประจำเมือง ใกล้กันมีสะพานหินน่ารักข้ามแม่น้ำอยู่ใกล้ๆ ชื่อสะพาน Kivgireniyat และตรงใจกลางเมืองนี้มีโบสถ์ขนาดไม่ใหญ่แห่งหนึ่งคือ St. Archangel Mihael Church ด้านในมีลักษณะงานไม้ที่แปลกไม่เหมือนที่อื่น น่าสนใจมากๆ และชั้นบนมีระเบียงไม้สีเข้มโค้งเป็นคลื่นล้อมสามด้าน สมัยก่อนเอาไว้ให้ผู้หญิงที่มาโบสถ์แยกขึ้นไปอยู่ข้างบน

ถ้าใครวางแผนเที่ยวตอนภาคกลางของบัลแกเรียแล้วสามารถขับรถย้วยผ่านมาเมืองนี้ได้ แนะนำให้เผื่อเวลาเอาไว้เที่ยวสัก 2-3 ชั่วโมง จะได้ดูอะไรที่แตกต่างออกไป และฉันว่าสำหรับใครที่ชอบซื้อของพื้นเมืองที่ระลึก เมืองนี้ก็นับว่าเหมาะเป็นอย่างยิ่งเลย

NO COMMENTS