อีกเมืองหนึ่งของประเทศบัลแกเรียที่ฉันอยากจะเล่าถึงก็คือเมือง Ruse เมืองนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศบัลแกเรีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบที่กั้นชายแดนทางตอนเหนือของประเทศ มองข้ามฝั่งไปเห็นประเทศโรมาเนียเลย ซึ่งเมืองบูคาเรสต์เมืองหลวงของโรมาเนียก็อยู่ไปไม่ไกลเลยทีเดียว
ด้วยตำแหน่งที่มีที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบเช่นนี้ เมือง Ruse จึงเป็นเมืองท่าสำคัญของบัลแกเรียในการขนส่งสินค้าทั้งหลาย แต่แปลก ตอนที่ฉันไปเดินเล่นริมแม่น้ำกลับไม่เห็นเรือขนส่งมากเท่าไหร่นัก และท่าเรือก็ไม่เห็นมีเรือจอดอยู่กี่ลำเลย บรรยากาศโรงเก็บของและอาคารศุลกากรต่างๆก็แลดูเก่าโทรมเหมือนกับไม่ได้ใช้งานมาเป็นปี แล้วสถานีรถไฟที่อยู่ตรงท่าเรือก็แลดูเก่าและมีขนาดเล็กมาก ไม่อยากเชื่อเลยว่าบรรยากาศเมืองท่าจะเงียบเชียบขนาดนี้ แต่บัลแกเรียก็เป็นประเทศเล็กและไม่ได้มีความคึกคักอะไรมากอยู่แล้วในภาพรวม และจะว่าไปแล้ว เมืองที่ว่าใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศนี่ก็มีพลเมืองเพียงแค่แสนกว่าคนเท่านั้นเอง
สำหรับตัวเมืองเขาขึ้นชื่อว่ามีสถาปัตยกรรมแบบ Neo-Baroque และ Neo-Rococo จากศตวรรษที่ 19 และ 20 อยู่มากมาย จนได้ชื่อว่าเป็น Little Vienna เลย
ได้เดินถ่ายรูปชมตึกสวยๆทั้งหลายในบรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงก็เพลิดเพลินถูกใจใช้ได้ทีเดียว และมีถนนคนเดินซึ่งถึงแม้จะไม่คึกคักมากอย่างเมืองท่องเที่ยวอื่นแต่ก็ได้ความรู้สึกว่าเป็นบรรยากาศของคนเมืองท้องถิ่นแท้อยู่กัน
และการจบวันโดยไปเดินเล่นทอดอารมณ์ช้าๆบนทางเดินชมวิวกว้างสูงที่เขาทำไว้อย่างดีริมฝั่งแม่น้ำดานูบก็ได้บรรยากาศดีทีเดียว ได้ชมพระอาทิตย์ตกตอนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม มีแสงสีส้มแดงตัดที่ขอบฟ้าอยู่เหนือฝั่งประเทศโรมาเนีย สุดแสนจะโรแมนติกจริงๆ
มีซากโบราณสถานแห่งหนึ่งในบัลแกเรียที่ฉันอยากเขียนบันทึกเอาไว้มาก ทั้งๆที่รูปที่ถ่ายมาก็มีไม่มากและไม่ค่อยสวยเพราะแดดไม่เป็นใจ แต่เนื่องจากไปแล้วชอบมากจึงจำเป็นต้องเขียน สถานที่แห่งนี้ก็คือ Nicopolis ad Istrum ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมือง Veliko Tarnovo
มันคือซากเมืองเก่าจากยุคโรมันและไบเซ็นไทน์ตอนต้น ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่สอง มีความสำคัญและรุ่งเรืองในอดีต แต่ก็มีความรุ่งเรืองอยู่เพียงแค่ประมาณ 300 ปีเท่านั้น ปัจจุบันยังมีการขุดค้นอยู่อย่างต่อเนื่อง เท่าที่ฉันไปเห็นจึงมีบางส่วนที่บูรณะขึ้นมาให้เห็นชัดเจนแล้ว และบางส่วนที่มีหลังคาคลุมเพราะกำลังขุดและศึกษากันต่ออยู่ และยังไม่รู้อีกว่าใต้ดินและในป่ามีอีกเท่าไหร่ สถานที่ที่เห็นนั้นไม่ได้ใหญ่มาก และเป็นซากที่พังลงอยู่ระดับพื้นดินเสียส่วนมาก มีบางส่วนที่บูรณะขึ้นมาตั้งให้พอเห็น ฉันรู้สึกชอบที่นี่มากเพราะสามารถจินตนาการเห็นภาพเมืองในสมัยโบราณได้อย่างชัดเจนมีถนน มีท่อระบายน้ำ มีการทดน้ำเข้ามาใช้ มีอัฒจันทร์ มีตลาด มีบ้านเรือน ซากที่เหลือให้เห็นมันไม่มากไม่น้อย กำลังพอดีให้จินตนาการได้อย่างสนุก เดินดูซากที่เห็นและอ่านคำอธิบายก็พอจะนึกได้ว่าผังเมืองเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่ถึงกับสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์จนไม่เหลืออะไรไว้ให้จินตนาการ
สายชมซากเก่าคงจะชอบที่นี่แบบฉัน นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่เคยได้ยินชื่อหรือรู้จักมาก่อนเลย และในบัลแกเรียเองที่นี่ก็ไม่ถึงกับจะเป็นที่เที่ยวอันดับต้นๆ จะต้องเป็นคนชอบจริงๆจึงจัดเวลามาชม ที่นี่ได้ลงชื่อขอพิจารณาเป็นมรดกโลกยูเนสโก้มาตั้งแต่ 1984 ก็ยังไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่และได้เมื่อไหร่ ฉันว่าอีก 10 ปีหรือ 20 ปีกลับไปเที่ยวอาจจะมีอะไรให้ชมมากกว่านี้เมื่อการทำงานขุดค้นคืบหน้าไปมากขึ้น และเมื่อนั้นเขาอาจจะได้เป็นมรดกโลกแล้วก็ได้
แต่ที่แน่ๆ มีสิ่งหนึ่งที่ได้เป็นมรดกโลกยูเนสโก้แล้วที่เราได้ไปชมในทริปนี้นั่นก็คือ Madara Rider ผนังหินหน้าผาของภูเขาสูงชันที่แกะสกัดเป็นรูปนักรบบนหลังม้า ความพิเศษคือรูปสลักนี้อยู่บนหน้าผาสูงตั้งฉากจากพื้นขึ้นไปถึง 23 เมตรทีเดียว ดูในรูปอาจจะไม่ชัด แต่จริงๆมองเห็นจากพื้นที่ยืนอยู่ได้ชัดมากทีเดียว ส่วนขนาดนั้นก็ไม่ได้เล็กอย่างในรูป แต่ขนาดเท่าตัวม้าและคนจริงเลยทีเดียว นอกจากม้าและคนแล้วยังมีสิงโตหมอบอยู่และมีหมาด้วย ท่าของนักรบที่ชูถ้วยขึ้นนั้นเป็นท่าที่แสดงชัยชนะจากการรบ และมีภาษากรีกแกะสลักเอาไว้ด้วย ทำให้เราเข้าใจได้ว่านี่คือการประกาศชัยชนะและให้เกียรติแก่นักรบบัลแกเรียสมัยก่อนที่ไปช่วยจักรพรรดิไบเซนไทน์รบ รูปแกะสลักแบบนี้เขาว่ามีที่นี่ที่เดียวเท่านั้นในยุโรป ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกยูเนสโก้
มรดกโลกยูเนสโก้อีกแห่งคือ Nesebar หรือ Nessebar เป็นเมืองเล็กอยู่ริมทะเลดำของบัลแกเรีย พูดถึงทะเลดำ ความขึ้นชื่อของเมืองริมชายฝั่งทะเลดำทั้งหลายนี้คือการเป็นเมืองตากอากาศริมทะเล ซึ่งผู้คนก็จะแห่แหนกันมาในช่วงฤดูร้อน โรงแรมทั้งหลายจะมีขนาดใหญ่เหมาะสำหรับครอบครัวมาพัก และมีสวนน้ำอยู่ในโรงแรมเบ็ดเสร็จเป็นส่วนมาก แต่สำหรับฉันสาเหตุที่มาเมือง Nesebar นั้นก็เพราะจะมาชมเมืองเก่าโบราณอายุเกือบ 3000 ปีซึ่งมีความแปลกเฉพาะตัวของที่นี่ต่างหาก
ในส่วนของเมืองใหม่และส่วนที่เป็นเมืองตากอากาศริมทะเลนั้นฉันจึงข้ามไปเลย แต่พุ่งเข้าไปพักและสำรวจในส่วนที่เป็นเมืองเก่ามรดกโลกซึ่งอยู่บนเกาะเล็กๆออกไปจากชายฝั่ง ปัจจุบันนี้เขาถมถนนคล้ายเป็นสะพานให้รถแล่นจากฝั่งเมืองใหม่ข้ามไปในเมืองเก่าได้เลย ดูเผินๆจึงเหมือนว่าเมืองเก่านี้ตั้งอยู่บนพื้นดินที่เป็นติ่งยื่นออกไปในทะเล และเมื่อเราข้ามสะพานเข้ามาในเมืองเก่าบรรยากาศก็จะเปลี่ยนทันที อย่างแรกที่เห็นก็คือกังหันไม้โบราณ และอย่างที่สองก็คือป้อมประตูและกำแพงเมืองเก่า ที่แม้จะเป็นซากปรักหักพังแต่ก็ยังตั้งมั่นเป็นประตูเมืองเด่นอยู่ทันทีที่รถข้ามสะพานมา
ส่วนเมืองเก่านี้เดินเล่นได้ทั่วในครึ่งวันหรือหนึ่งวัน ทั้งเมืองเต็มไปด้วยบ้านเรือนในรูปแบบเฉพาะตัวของเมืองนี้ คือจะเป็นไม้ผสมหินออกโทนสีน้ำตาลไปหมดทั้งเมือง บ้านพวกนี้มีบ้างที่ดัดแปลงมาเป็นร้านอาหารและโรงแรม แต่ส่วนมากยังเป็นบ้านที่คนในปัจจุบันอาศัยกันอยู่จริง จุดเด่นอีกอย่างของเมืองโบราณนี้ก็คือมีโบสถ์โบราณที่สร้างด้วยหินสีน้ำตาลส้มแทรกอยู่เต็มไปหมด เกาะเล็กนิดเดียวมีอยู่ประมาณถึง 40 โบสถ์ทีเดียว แต่ละแห่งอายุรวม 2000 ปีทั้งนั้น ทุกแห่งจึงเป็นพิพิธภัณฑ์หมด ไม่ได้ใช้เป็นโบสถ์แล้ว และมีซากปรักหักพังของโบสถ์เก่าอยู่กลางเมืองด้วย เข้าไปเดินแล้วเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุคโบราณจริงๆ
ถ้าหากไปเดินตามถนนที่วนรอบเกาะก็จะเห็นท่าเรือและเรือของชาวประมงจอดอยู่ตามอ่าวต่างๆ เป็นบรรยากาศเหมือนหมู่บ้านประมงเล็กๆโบราณ มีความน่ารัก แปลกเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์จนเป็นอีกหนึ่งสถานที่ๆพลาดไม่ได้ของบัลแกเรีย
เมืองสุดท้ายของทริปบัลแกเรีย ซึ่งกลายเป็นเมืองที่ฉันชอบที่สุดของประเทศนี้คือ Plovdiv หรือชื่อโบราณว่า Philippopolis เพราะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเมืองใหญ่โดยกษัตริย์ Philip the Great แห่ง Marcedonia เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของบัลแกเรีย แต่มีพลเมืองไม่ถึงล้านคน และเมื่อปี 2019 ได้รับการคัดเลือกเป็น European Capital of Culture อีกด้วย
ตัวเมืองเก่านั้นสร้างอยู่บนเนินเขาที่เป็นหินสูง เราสามารถเดินทะลุซอกซอนไปตามถนนต่างๆชมสถาปัตยกรรมบ้านเรือนได้อย่างจุใจทีเดียว บ้านเรือนที่นี่มีลักษณะแปลกตรงที่ว่าชั้นล่างจะสร้างเป็นกำแพงหิน ส่วนชั้นบนจะเป็นไม้ซึ่งยิ่งชั้นสูงขึ้นไปบ้านเขาจะบานออกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทุกชั้น แปลกดีจริงๆ ฉันว่าดีนะ ด้านล่างแบ่งถนนกันใช้ ส่วนด้านบนก็ทำให้บ้านใหญ่ขึ้นมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น แต่ละหลังก็จะทาสีสันจัดจ้านต่างกันไป
บ้านเหล่านี้ถ้าสงสัยว่าข้างนอกสวยขนาดนี้ข้างในจะสวยขนาดไหน หายสงสัยได้ เพราะหลายบ้านปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เราซื้อตั๋วเข้าไปชมได้ ฉันจึงเข้าไปชมมากที่สุดเท่าที่จะเข้าไปชมได้ ส่วนมากมักจะเป็นบ้านของพ่อค้าเศรษฐีในสมัยก่อน ตกแต่งสวยงามทั้งพื้นเพดานผนังและเฟอร์นิเจอร์ แต่ละหลังจะอลังการมากๆ
แต่หลังด้านหน้าที่สวยที่สุดห้ามพลาดน่าจะเป็น Museum of Ethnography ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ในเมืองยังมีอัฒจันทร์แบบโรมันโบราณอยู่ถึงสองแห่งอีกด้วย แห่งแรกเป็นลักษณะครึ่งวงกลม ตั้งอยู่บนเนินสูง เวลาเข้าไปนั่งชมการแสดงแล้วสามารถเห็นเมืองทั้งเมืองอยู่เป็นแบคกราวด์ต่ำลงไป สุดยอดมากๆ
ส่วนอีกแห่งหนึ่งอยู่ใจกลางเมืองใหม่ที่เป็นถนนคนเดิน Shopping เลย เข้าใจว่าคงมาขุดเจอทีหลัง ดังนั้นจึงมีความแปลกอยู่มากตรงที่ว่าเดิน Shopping อยู่กลางบ้านเมืองตึกแบบใหม่ดีๆก็มีซากโรมันโบราณโผล่ขึ้นมาให้เห็นอยู่ต่ำลงไป ซากนี้ส่วนที่เห็นเป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้นจึงแลดูไม่ใหญ่มาก แต่อันที่จริงแล้วที่นั่งบนอัฒจันทร์เป็นลักษณะยาวขนานกันไปสองด้าน จึงจุคนได้ถึง 30,000 คนทีเดียว นึกภาพตามแล้วทึ่งว่าสมัยก่อนคงจะอลังการเอามากๆ
นอกจากการไปชมซากเมืองโบราณ เมืองเก่าศิลปวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ อาร์ตแกลเลอรี่แล้ว ด้วยความเป็นเมืองใหญ่ บรรยากาศในเมืองยังมีความคึกคักในยามคืนวันศุกร์และวันเสาร์เหมือนกับเมืองใหญ่ทั่วไปที่คนเลิกงานแล้วมาปาร์ตี้กัน จึงมีร้านอาหารคาเฟ่และบาร์ต่างๆน่ารักคึกคักแทรกอยู่มากมาย Plovdiv อยู่ห่างจากเมืองหลวงโซเฟียไปเพียงขับรถแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ใครมาประเทศบัลแกเรียไม่ควรพลาดเมืองนี้อย่างที่สุดด้วยประการทั้งปวง
ทริปบัลแกเรียเก้าวันของฉันอัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ส่วนมากเป็นสถานที่ๆย้อนไปในอดีต นี่คือรูปแบบการเที่ยวที่ฉันชอบที่สุด มากกว่าการเที่ยวธรรมชาติเสียอีก ดังนั้น จากที่ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้มากกับบัลแกเรียจึงกลายเป็นเกินคาด ถึงแม้ส่วนตัวจะคิดว่ายังสู้โรมาเนียที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกันไม่ได้ แต่ก็ต้องบอกว่าประทับใจพอควรทีเดียว ที่สำคัญ ยังเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวยังไม่มาก และทุกอย่างราคาถูกเป็นที่สุด ถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปเก็บตกสำรวจสถานที่อีกหลายแห่งแน่นอน