ประเทศหนึ่งที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะมาเยือนมากๆ แต่ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตัดสินใจมา กว่าจะพร้อม ด้วยความกลัวลำบาก กลัวเรื่องความปลอดภัย และในที่สุดเมื่อปัจจัยหลายอย่างลงตัวจึงได้มา และก็อยากกลับไปอีก เพราะทริป 11 วันที่ว่าลุยเจาะลึกแล้วนั้น ก็ยังได้ไปเห็นไม่เท่าที่อยากเห็น ด้วยประเทศนี้นั้นช่างมีความหลากหลาย และมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่ไม่มีทางชื่นชมได้ครบถ้วนเลยไม่กี่วัน และนั่นก็คือปากีสถานนั่นเอง

แม้ว่าปกติจะเป็นคนที่ชอบเที่ยวชมศิลปะวัฒนธรรมมากกว่าธรรมชาติ แต่คราวนี้ฉันเลือกเจาะทางเหนือของปากีสถานที่เน้นธรรมชาติ ภูเขา ทะเลสาบ ธารน้ำแข็ง และวิวอันอลังการ เพราะฉันอยากไปเห็นก่อนที่ผู้คนจะไปกันเยอะและธรรมชาติแท้ๆ ถูกทำลายไป และขอเก็บศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไว้คราวหน้า ดังนั้นเส้นทางของฉันจึงคือการนั่งเครื่องจากกรุงเทพมาลงที่เมือง Islamabad แล้วก็ต่อเครื่องเล็กมาลงที่เมือง Gilgit ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางหลักของเขต Gilgit-Baltistan ทางภาคเหนือที่ติดจีนและอัฟกานิสถาน จากนั้นเราก็ขึ้นรถจี๊บขับมุ่งไปตาม Karakoram Highway หรือเส้นทางสายไหมที่ฉันอยากมามานานแล้ว เพราะมันเป็นเส้นทางการค้าโบราณที่ได้ยินเรื่องราวมาแต่เด็ก ฟังดูเหมือนจะไม่มีวันได้มาถึง เคยแต่ได้ยินว่าเป็นเส้นทางการค้าจากตะวันตกไปถึงจีน ผ่านภูเขาสูงไต่ไปตามหุบเขา อากาศหฤโหด อเล็กซานเดอร์มหาราชก็เดินทางผ่านเส้นนี้ มันช่างมหัศจรรย์ว่าคนโบราณมาได้อย่างไร ทั้งไกลทั้งลำบาก ส่วนถนนในปัจจุบันที่ตัดให้รถแล่นไปตามเส้นเดิมนี้ เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1966 ใช้เวลา 20 กว่าปี ยาว 500 กว่ากิโลเมตร ว่ากันว่ามีคนสังเวยชีวิตหนึ่งคนทุกหนึ่งกิโลเมตรทีเดียว

วันแรกของทริปเราใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าแล่นไปตามเส้นทางสายไหมสู่เมือง Karimabad ระหว่างทางเราได้หยุดที่จุดชมวิว Rakaposhi และกินข้าวกลางวันที่นี่ ที่จุดชมวิวนี้เขามีให้เล่น Ziplining ด้วย มีทั้งแบบใช้มือโหนตัวลงมา หรือจะมัดเท้าห้อยหัวลงมาแบบค้างคาว หรือแบบที่ขี่จักรยานบนลวดก็มี มองไปจึงเหมือนคนขี่จักรยานอยู่บนฟ้าอย่างกับฉากในหนังเรื่องอีทีเลย

ระหว่างทางได้ผ่านหมู่บ้านหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการขายเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ ขณะที่เราแล่นทะลุผ่านหมู่บ้านไปบนถนนเล็กๆ จึงเห็นเพิงร้านค้าขายเนื้อแขวนสัตว์ที่ชำแหละแล้วอยู่เต็มสองข้างทาง มีทั้งหัวแพะเป็นหัวๆ ตั้งเรียงกัน โอ้ยเห็นแล้วน่าขนลุกมากกว่าน่ากิน

พอถึงเมือง Karimabad เราก็เดินไต่เขาขึ้นไปชม Baltit Fort ก่อน ซึ่งเคยเป็นวังของเจ้าเมืองเก่าอายุ 700 ถึง 800 ปี ได้ชมสถาปัตยกรรมแบบโบราณของท้องถิ่นซึ่งตอนนี้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ วิวจากข้างบนมองลงมาเห็นเมืองทั้งเมืองโอบล้อมอยู่ในหุบเขา Hunza Valley

จากนั้นขาเดินกลับลงมาจากข้างบน Fort เราก็เดินผ่านร้านรวงในตลาดของ Karimabad ขายเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวแบบพื้นเมือง พรม ผลไม้แห้ง ถั่ว แถวนี้ปลูกผลไม้พวกแอพพริคอต พีช แอปเปิ้ล ได้ดีมากๆ รวมทั้งถั่ววอลนัตด้วย จึงมีของกินที่ทำจากผลไม้และถั่วพื้นเมืองเยอะมากๆ แต่ฉันยังไม่มีอารมณ์อยากจะซื้ออะไรจึงเดินชมบรรยากาศเล่นเฉยๆ ก่อน คืนนี้ขับรถขึ้นไปนอนบนเนินเขาเหนือเมือง Karimabad วิวภูเขาสูงอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขนาดคนอยู่สวิตเซอร์แลนด์อย่างเรายังต้องบอกว่าสวยมากๆ

วันต่อมาเราไปเดิน Hiking เป็นเวลา 2 ชั่วโมงเพื่อไปดูธารน้ำแข็ง Passu Glacier เส้นทางขาขึ้นนับว่าชันและเหนื่อยเอาการอยู่แต่ไม่เรียกว่ายาก หินธรรมชาติของภูเขาแถวนั้นเป็นชั้นๆ เหมือนหินกาบสวยมากๆ เขาเอามาปูบนพื้นให้เราเดินไปอย่างสบาย และเราได้เข้าไปเห็นธารน้ำแข็งอย่างใกล้มากๆ ขากลับไกด์คงเห็นเราเดินเก่งจึงไม่พากลับทางเดิม แต่ยิ่งพาไต่สูงขึ้นอ้อมไปอีกทางหนึ่งแล้วค่อยย้อนกลับลงมา ปรากฏว่ามีจุดชมวิวที่ยิ่งสวยมากขาดใจอยู่ตรงนั้น ประทับใจที่สุดจริงๆ

ขากลับเราได้แวะชมวิวถ่ายรูปที่ทะเลสาบ Attabad ซึ่งโรงแรมที่เราพักคืนนี้ก็ตั้งอยู่ริมทะเลสาบนี้ เปิดประตูห้องพักออกไปก็แทบจะแตะน้ำได้เลย สีของทะเลสาบเป็นสีฟ้าน้ำนมสวยสดมากๆ แต่เห็นสวยแบบนี้มันคือทะเลสาบที่เกิดจากภัยธรรมชาติ เพราะว่าเมื่อปี 2010 เกิดดินถล่มน้ำท่วมหมู่บ้าน Gulmit บ้านเรือนเสียหายเป็นร้อยหลัง กว่าจะระบายน้ำได้ใช้เวลาอยู่หลายเดือน ถนน Karakoram Highway เองก็เสียหายจนต้องสร้างใหม่ให้สูงขึ้น แต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วน้ำที่ไหลท่วมลงมานั้นกลับกลายเป็นทะเลสาบแห่งใหม่เกิดขึ้น จนปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีโรงแรมใหม่ๆ มาสร้างอยู่ริมทะเลสาบหลายแห่ง ชาวบ้านมาสร้างท่าเรือให้นักท่องเที่ยวเช่าเรือออกไปแล่นชมทะเลสาบ และมีร้านค้าร้านอาหารเกิดขึ้นมากมายที่ริมทะเลสาบ

การมาทัวร์ส่วนตัวแบบนี้ก็ดีตรงที่ว่าทำอะไรคล่องตัวใช้เวลาน้อย เราจึงมีเวลาเหลือตอนเย็น ไกด์ซึ่งเป็นคนจากหมู่บ้าน Gulmit จึงพาเราไปชมหมู่บ้านของเขามีบ้านเก่าอายุถึง 700 ปีทำเป็นพิพิธภัณฑ์ และได้ชมบ้านที่ผู้หญิงทอผ้าแบบพื้นเมือง จากนั้นจึงชวนเราไปหมู่บ้าน Passu ซึ่งภรรยาเขาเป็นคนจากหมู่บ้านนี้ และวันนั้นมีงานแต่งงานของญาติเขาพอดี เราจึงได้เข้าไปชมงานแต่งงานแบบท้องถิ่นของชาวบ้าน แล้วไกด์ยังชวนเราไปดื่มชาในบ้านส่วนตัวของเขาอีกด้วย จึงได้เห็นบ้านที่คนเขาอยู่จริงในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะเพิ่งสร้างใหม่ไม่กี่ปีแต่เขาทำข้างในเหมือนกับบ้านโบราณอายุ 700 ปีเลย คือที่ผนังจะไม่มีหน้าต่างเลยแต่กลับมีหน้าต่างที่เปิดบนหลังคา และมีห้องรับรองปูพรมนั่งพื้นโดยรอบอย่างโบราณ น้ำชาและโรตีที่มาเสิร์ฟก็วางกินบนพื้นร่วมกัน ได้อารมณ์ Exclusive มาก

ฉันได้ไปเดินเล่นในหมู่บ้าน Passu นี้ด้วย เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีแต่บ้านชาวบ้าน ไม่มีร้านค้าร้านอาหารหรือนักท่องเที่ยวเลย แต่ล้อมไปด้วยภูเขาที่สวยจนแทบขาดใจ เราเดินเลาะไปตามบ้านของชาวบ้าน เป็นทางเดินเลียบไปกับคูน้ำ ผ่านสวนแอปเปิ้ลของชาวบ้านไปจนถึงริมแม่น้ำที่มีหาดทรายสีดำ โอ้ยสวยมากๆ จนฉันบอกสามีเลยว่าให้มาสร้างบ้านอยู่ที่นี่ก็เอา

ขากลับขับออกมา เห็นยอดเขา Cathedral Spires สวยมากๆ ช่วงพระอาทิตย์ตก ทางซ้ายมองไปก็เห็นธารน้ำแข็ง Passu ที่เราเดินขึ้นไปชมมาเมื่อเช้า และพอดีช่วงนี้มีทีมจักรยานขี่กันเป็นคาราวานลงเขาไปพอดี เลยได้เก็บภาพสวยๆ ของจักรยานธารน้ำแข็งและภูเขาอยู่ด้วยกัน สวยจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรเลยจริงๆ

NO COMMENTS