ชื่อ Fairy Meadows แค่ได้ยินก็เคลิ้มฝันว่าจะได้ไปเยือนแล้ว แต่กว่าจะไปถึงทุ่งหญ้าของนางฟ้านี้ไม่ง่ายเลย ทางไปสวรรค์นั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมากจริงๆ

จากเมือง Gilgit เราขับรถไปตาม Karakoram Highway 1 ชั่วโมง พอมาถึง Raikot Bridge แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถจี๊ป เพราะทางจากนี้ไม่มีทางที่รถขับเคลื่อนสี่ล้อทั่วไปจะไปได้เลย

เราขอนั่งข้างหน้าข้างคนขับเพื่อประสบการณ์ขั้นสุด! แล้วให้ไกด์กับคนขับรถของเราไปนั่งเบาะสบายข้างหลังแทน ถนนนอกจากจะเป็นลูกรังผสมหินก้อนโต นั่งไปหัวสั่นหัวคลอนไปแล้ว ยังแคบและเลียบไปบนหน้าผา ยิ่งสูงก็ยิ่งหวาดเสียว แต่คนขับเราขับชำนาญมาก หลายครั้งมีรถจี๊ปคันอื่นสวนมาก็หลบให้สวนกันได้อย่างเนียนมาก แม้บางครั้งจะชิดหน้าผาไปหน่อยก็ตาม แถมยังเปิดเพลงแขกดังลั่น ไกด์กับคนขับเราตบมือเข้าจังหวะเพลงพร้อมตะโกนร้องเพลงกันลั่นอย่างสนุก คนขับจี๊ปก็ผสมโรงตบมือไปด้วยเวลาเข้าท่อนฮุค ฉันอยากจะบอกว่าเอามือไว้บนพวงมาลัยตลอดได้ไหม คุณสามีก็สนุกตบมือร้องเพลงไปกับเขาด้วย หนุ่มๆ สนุกกันมาก รถก็โขยกเขยกไปอย่างกับระบำเข้าจังหวะ ยิ่งหวาดเสียวดนตรีก็ยิ่งเร่งจังหวะเร้าใจเหมือนจะรู้ โอย น่าให้รางวัลออสการ์สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด

หัวสั่นหัวคลอนมาหนึ่งชั่วโมงเต็มก็ถึงหมู่บ้าน Tato ถนนสิ้นสุดลงที่ตรงนี้ เรากินกลางวันกันที่ร้านอาหารหนึ่งเดียวของที่นี่ จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปต่อ ใครเดินไม่ไหวก็มีม้าบริการให้นั่งไปโดยมีคนจูง สำหรับเราต้องเดินอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเหมือนมาไม่ถึง ทางเดินไม่ยากเลยแต่ขึ้นชันตลอดจึงเหนื่อยใช้ได้ เราใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า เหนื่อยก็พักแป๊บ ฉันมีเทคนิคการเดิน คือเวลาเหนื่อยฉันจะหยุดแล้วสูดหายใจเข้าให้เต็มท้อง แล้วปล่อยลมหายใจออกมาช้าๆ ทำแบบนี้ 5 ครั้งหายเหนื่อยเลยจริงๆ หรืออย่างมากไม่เกิน 10 ครั้ง เวลาเดินก็พยายามหายใจลึกๆ แบบนี้ไปตลอด จะช่วยให้เหนื่อยช้าลง ส่วนคุณสามีเขามีเทคนิคคือเดินให้ก้าวสั้นกว่าปกติ ซอยเท้าบ่อยขึ้น เขาว่าจะเหนื่อยน้อยลง ฉันลองดูก็ว่าจริงแต่ขัดกับนิสัย หรือขาฉันจะสั้นก็ไม่รู้เลยซอยสั้นกว่าเดิมได้ไม่มาก

ตลอด 2 ชั่วโมงกว่านี้วิวสวยขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นเทือกเขา Nanga Parbat มีหิมะขาวคลุมยอดอยู่ นี่คือยอดเขาที่สูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของปากีสถานรองจากยอด K2 ด้วยความสูง 8 พันกว่าเมตร ชื่อ Nanga Parbat นี้แปลว่า Naked mountain เพราะมันโล้น ต้นไม้อะไรขึ้นไม่ได้ และมีชื่อเล่นว่า Killer Mountain เพราะนักปีนเขาหลายคนต้องมาสังเวยชีวิตที่นี่ จนถูกพิชิตครั้งแรกในปี 1953 โดยชาวออสเตรียเพียงเดือนเดียวหลังจากที่ Everest ถูกพิชิต

เรามาถึงที่พักด้านบนเขาตอนพระอาทิตย์ตกพอดี พอมืดอากาศก็หนาวทันที น้ำอุ่นมีให้อาบแค่ครึ่งชั่วโมง ห้องนอนไม่มีฮีตเตอร์ ดีที่ห้องนั่งเล่นรวมมีเตาให้ความอบอุ่นตรงกลาง เราอาบน้ำแล้วจึงมาเอกเขนกและกินข้าวเย็นกันที่นี่ ระหกระเหินมาทั้งวันยังไม่ได้เห็น Fairy Meadows เลย ดูสิว่ายากลำบากขนาดไหน พรุ่งนี้เถอะ ได้เจอกันแน่

เราตื่นเช้ามาพบกับวิวหน้ากระท่อมที่พัก ที่พอเห็นของจริงแล้ว เข้าใจเลยว่า ทำไมเขาถึงตั้งชื่อสถานที่นี้ว่า Fairy Meadows บนสนามหญ้าสีเขียวตรงหน้าผานั้น มีธงปากีสถานปักอยู่ พร้อมเก้าอี้ให้นั่งชมวิวภูเขา Nanga Parbat อันสูงตระหง่านเสียดฟ้าที่ความสูงกว่า 8,000 เมตร ยอดปกคลุมไปด้วยหิมะ รอบตัวทั้ง 360 อาศาถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาสูงขาวโพลน ช่างราวกับอยู่บนสรวงสรรค์ ที่สำคัญบนสนามหญ้านั้นมีเจ้าม้าหนึ่งตัวยืนเล็มหญ้าอยู่อย่างเพลิดเพลินดูมีความสุข เหมือนกับภาพ Fairy Meadows ที่ฉันเคยเห็นและติดตาจนอยากมาเห็นของจริงมากๆ มันเป็นภาพที่สวยเกินสวยราวกับไม่ใช่ของจริง ดังนั้นทุ่งหญ้าเขียวเรียบตรงนี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากทุ่งหญ้าของเทวดานางฟ้าแน่นอน

บน Fairy Meadows นี้มีรีสอร์ตหลายแห่งกว่าที่คิด และมีบ้านชาวบ้านอยู่ด้วย เดินไปนิดหนึ่งมีบ่อน้ำจิ๋วที่เรียกกันเสียหรูว่า Reflection lake ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นทะเลสาบแต่มันเล็กมากเกินกว่าจะเป็นทะเลสาบ น่าจะแค่บ่อน้ำมากกว่า แต่ความสวยขอมันอยู่ที่มันสะท้อนเงาภูเขาสมชื่อเลยนั่นเอง

ทีนี้ขอหักอารมณ์แบบยูเทิร์นเลยสักนิด….

คือฉันได้มาเห็น Fairy Meadows สมใจก็ดีใจมาก แต่ๆๆๆๆ พอได้เดินชมรอบๆ แล้ว เราตกใจทีเดียว คือมุมที่วิวสวยดังฝันนั้นมันมีมุมเดียว กับตรง Reflection lake อีกนิดแค่นั้น ที่จินตนาการไว้ว่าจะได้เห็นทุ่งกว้างเดินวนถ่ายรูปได้มากมายหายมุมจนอิ่ม มันไม่ใช่เลย แต่ที่ทั้งตกใจทั้งเศร้าใจก็คือ ในบริเวณนี้มีการก่อสร้างรีสอร์ตใหม่ๆ มากมายหลายแห่งติดๆ กันเต็มไปหมด แทบทั้งหมดไม่ได้มีดีไซน์ที่จะเข้ากับธรรมชาติรอบตัวเลย และจำนวนเยอะมากจนตกใจว่าถ้าทุกแห่งเต็มหมดมันจะมีนักท่องเที่ยวมากมายสักเท่าไรบนทุ่งหญ้าของนางฟ้านี้ ความสวยสงบคงไม่เหลือแน่ๆ ที่อยากจะร้องไห้ก็คือ รีสอร์ตทั้งหลายนี้ตัดเอาไม้ในป่าบนเขานี้แหละมาสร้างอาคาร ดูแล้วมันเป็นการตัดไม้แบบใครใคร่ตัด ตัด ต้นไม้ในป่าโดนโค่นมากมายจนโกร๋น ซุงกองระเกะระกะ น่าเป็นห่วงมากๆ ฉันได้คุยกับไกด์ท้องถิ่นคนหนึ่งซึ่งพานักท่องเที่ยวขึ้นมา Fairy Meadows นี้มาหลายสิบปี เขาคอนเฟิร์มว่ามันเป็นการตัดไม้แบบไร้ระบบจริงๆ ชาวบ้านเห็นโอกาสทำเงินจากการท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็พากันสร้างรีสอร์ตโดยเข้าป่าไปตัดไม้มาเลย แม้จะมีคนโดนจับเพราะการนี้ แต่การก่อสร้างก็ยังเร่งดำเนินไปไม่หยุด ฉันเดินเล่นไปทั่วบริเวณยามสาย ทั้งมลภาวะเสียงจากเลื่อยไฟฟ้า เสียงก่อสร้าง และมลภาวะทางสายตาจากอาคารต่างๆ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ และที่พอจะเป็นรูปร่างแล้วฉันก็ว่าไม่สวยเลย เห็นแล้วเศร้าใจมากๆ Deforestation การทำลายป่า และ Overtourism ส่องแววชัดมาก น่าเป็นห่วงจริง

ฉันอดคิดไม่ได้ว่า เทวดานางฟ้าทั้งหลาย คงจะต้องไปหาทุ่งหญ้าใหม่ในไม่ช้าแล้วละมัง

NO COMMENTS