จากทริปนครวัดครั้งที่ 2 ในเรื่อง See Angkor Twice and Die! นครวัด ครั้งเดียวไม่เคยพอ พอใครเห็นรูปโรงแรมที่ฉันพักในเมืองเสียมเรียบก็ทักมากันใหญ่ว่าสวยมาก โรงแรมชื่ออะไร วันนี้เลยจะมารีวิวให้ฟัง
ฉันเลือกพักที่โรงแรม Shinta Mani Angkor and Bensley Collection Pool Villas สาเหตุก็เพราะว่าฉันชื่นชอบผลงานของคุณ Bill Bensley ซึ่งเป็นภูมิสถาปนิกอยู่แล้ว เขาออกแบบสวนและโรงแรมสวยๆ หลายแห่งที่เมืองไทยและอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะของกรุ๊ปอนันตรา พอฉันทราบว่าเขาไปเป็นหุ้นส่วนและออกแบบโรงแรมเองที่เมืองเสียมเรียบ จึงตั้งใจไปพักโดยเฉพาะเลย
โรงแรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บริเวณ French Quarter สะดวกมาก และดีไซน์สวยมาก ตั้งแต่เดินเข้าล็อบบี้ไปก็สวยตื่นตาตื่นใจแล้ว ลักษณะการออกแบบเป็นแบบสมัยใหม่ แต่มีการขอยืมดีไซน์ของความเป็นตะวันออกและเขมรมาใช้ ส่วนเรื่องแลนด์สเคปนั้นต้องยกให้เขาอยู่แล้ว ฉันพักห้องพักที่เป็นพูลวิลล่าซึ่งนับว่าเป็นพูลวิลล่าที่สวยที่สุดตั้งแต่เคยพักมาทีเดียว พอเปิดประตูวิลล่าเข้าไปก็จะเป็นส่วนนั่งเล่นริมสระว่ายน้ำแคบยาว สดชื่นทันทีที่ก้าวเข้าไป มีบันไดเดินขึ้นไปบนรูฟท็อปดาดฟ้าด้านบน มีชุดโซฟาให้นั่งนอนดูสบายและเคาน์เตอร์บาร์ เหมาะกับการปาร์ตี้มากๆ ส่วนห้องนอนนั้นอยู่ตรงด้านล่างติดสระว่ายน้ำ ก่อนเข้าห้องมีแพนทรีเตรียมอาหารพร้อมบาร์เครื่องดื่มให้ เปิดเข้าห้องนอนไปก็ต้องตะลึงอีกครั้ง เพราะด้านหนึ่งเป็นกระจกสูงโล่งเห็นสระว่ายน้ำและสามารถเปิดประตูกระโดดลงสระได้ด้วย อีกด้านหนึ่งทางหัวเตียงเป็นกระจกสูงจากเพดานจรดพื้นเช่นกัน มองเห็นสวนในคอร์ทยาร์ดข้างหลัง ในบริเวณห้องนอนนี้มีห้องน้ำอยู่ แต่ส่วนที่จะอาบน้ำจะต้องเปิดประตูผ่านคอร์ทยาร์ดเข้าไปด้านหลัง เป็นส่วนอาบน้ำ ห้องแต่งตัว ห้องเก็บเสื้อผ้า และเปิดออกทะลุไปคอร์ทยาร์ดเล็กด้านหลังอีกส่วนซึ่งมีอ่างอาบน้ำหินรูปไข่ตั้งอยู่ ที่สวยตะลึงก็คือในอ่างอาบน้ำนี้มีกลีบดอกบัวซึ่งบัตเลอร์ส่วนตัวบรรจงเรียงกลีบบัวทีละกลีบๆ เอาไว้เป็นรูปดอกบัวใหญ่ๆ สองดอกเต็มอ่าง เธอว่าใช้เวลาเรียงอยู่เกือบชั่วโมงทีเดียว เป็นอ่างอาบน้ำลอยดอกไม้ที่สวยที่สุด แน่นอนคือเย็นวันนั้นฉันลงไปนอนแช่อย่างสบายใจ รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงเลย
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ในขณะที่พูลวิลล่าสวยงามอลังการขนาดนี้ ห้องพักสแตนดาร์ดกลับดูธรรมดามากๆ วัสดุที่ใช้ก็ธรรมดาไม่เก๋กริ๊บเหมือนอย่างพูลวิลล่า ฉันแปลกใจมากที่เขาปล่อยคุณภาพที่ต่างกันแบบนี้ออกมาในโรงแรมเดียวกัน ดังนั้นถ้าใครไปพักและเลือกห้องธรรมดาก็อาจจะไม่ได้รู้สึกประทับใจอย่างที่ฉันบรรยาย แต่ราคาก็ต่างกันมากอยู่ ส่วนตัวฉันคิดว่าเขาน่าจะคุมความประทับใจให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกันทั้งโรงแรม
สำหรับร้านอาหารมีสองร้าน ห้องอาหารเช้านั้นดีมากๆ มีทั้งส่วนที่เป็นบุฟเฟ่ต์และอะลาคาร์ทให้สั่งได้ตามใจ อร่อยทุกอย่างทั้งอาหารฝรั่งและอาหารเอเชีย อันนี้ให้คะแนนเต็มไปเลย แต่สำหรับมื้ออื่นๆ นั้นทางเลือกค่อนข้างจำกัด เพราะจะเป็นเมนูเดียวกันทั้งกลางวันและเย็น ซึ่งก็เป็นเมนูธรรมดาไม่มีให้เลือกมาก ส่วนร้านอาหารอีกร้านหนึ่งจะเป็นเฉพาะเซ็ตเมนูเราจึงไม่ได้ลอง ที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือเมนูเครื่องดื่มไม่เยอะไม่หลากหลายเท่าที่ควรทั้งๆ โรงแรมมีจุดให้นั่งเล่นชิลล์ๆ มากมาย ถ้ามีเครื่องดื่มดีๆ คงนั่งดริ้งค์กันไปยาวๆ ไม่หยุดเลย แต่ก็ไม่เป็นไรเราออกไปหาอาหารอร่อยๆ กินกันข้างนอกทุกเย็น เดี๋ยวนี้เสียมเรียบก็มีร้านอาหารเก๋ๆ ดีๆ ให้เลือกมากกว่าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วมาก
อีกอย่างที่ต้องให้ดาวเต็มก็คือบริการ ไม่ว่าจะเป็นบัตเลอร์ส่วนตัวของเรา พนักงานด้านหน้า หรือในร้านอาหาร ทุกคนสุภาพเรียบร้อยและมีน้ำใจมาก รู้เลยว่าไม่ได้บริการแค่ตามหน้าที่ แต่เขาใส่ใจเราจริงๆ แถมยังไม่มีความผิดพลาดในเรื่องงานอีกด้วย ขออะไรก็ได้ทุกอย่าง มีความรู้ความเข้าใจในงานของตัวเอง อันนี้ต้องชมเลย
เขาให้พ็อคเก็ตไวไฟเราไว้ใช้หนึ่งอันตลอดสามวันที่พักด้วย ออกไปไหนต้องการอะไรเราก็เขียน WhatsApp เข้ามาบอกบัตเลอร์เราได้ตลอดเวลา แต่ฉันคิดว่าให้สำหรับพูลวิลล่าเท่านั้น และที่ประทับใจสุดๆ อีกอย่างก็คือ ก่อนเรากลับหนึ่งวันบัตเลอร์มาบอกว่า เนื่องจากพวกเราจะต้องขึ้นไฟลท์ตอนกลางคืนแล้วเราต้องเช็คเอาท์ออกตั้งแต่เที่ยง เขาจึงเตรียมห้องเก็บไว้ให้เราอาบน้ำให้สดชื่นสบายใจหลังจากที่ทัวร์เสร็จแล้วเหงื่อออกเต็มมาทั้งวันก่อนขึ้นเครื่องด้วย อันนี้เป็นของแถมที่ประทับใจจริง เพราะมีความใส่ใจและเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นที่สุด
โดยรวมเป็นอีกโรงแรมที่ฉันแนะนำให้ไปพัก แต่แนะนำให้พักห้องพูลวิลล่าหรือห้องระดับสูงๆ ไปเลย และส่วนตัวถ้ามีโอกาสฉันจะไปเยี่ยมชมโรงแรมของเขาอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในป่าไกลนอกเมืองออกไป คือ Shinta Mani Wild ห้องพักเป็นแบบ Luxury tent ได้ข่าวว่ายิ่งสวยงามและเด็ดกว่าที่นี่อีก ถ้าได้ไปก็คงจะได้พักผ่อนแบบตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างแท้จริง
สนใจ Shinta Mani ดูข้อมูลเพิ่มได้ที่เว็บ www.shintamani.com
เล่าเรื่องที่พักแล้วก็ต้องมาเรื่องอาหาร จำได้ว่าไปเขมรเมื่อ 19 ปีที่แล้วร้านอาหารดีๆ มีน้อยมาก แต่ไปครั้งนี้มีร้านอาหารมากมายที่ดูดี ตั้งแต่ร้านริมถนน ร้านข้าวแกงที่ดูสะอาดสะอ้าน ไปจนถึงคาเฟ่และร้านอาหารแบบหรู ทริปนี้เรากินมื้อกลางวันที่ร้านทั่วไปง่ายๆ ที่นักท่องเที่ยวมักจะกินกัน ซึ่งอันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยอยากจะลองแบบนี้เท่าไหร่ แต่ไกด์เป็นห่วงเรื่องความสะอาด เมนูที่เราสั่งก็เหมือนอาหารไทยมาก เช่นห่อหมก ผัดผักบุ้ง ผัดพริกแกง ขนมจีนน้ำยา มีขนมครกด้วย แต่ของเขาจะไม่หวาน อาหารเขมรนี่เหมือนอาหารไทยมากๆ เลยแต่รสชาติไม่เข้มข้นเท่า มีคนบางคนบอกว่าอาหารเขมรก็คืออาหารไทยที่ไม่อร่อยนั่นเอง แหมแต่ที่ฉันชิมมาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นแม้จะแอบเห็นด้วยนิดๆ
สำหรับตอนเย็นฉันเลือกร้านอาหารแบบฟิวชั่นเขมร ทำโดยเชฟอายุน้อย เป็นคนยุคใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบทดลองอะไรแปลกๆ จึงทำให้ได้ชิมอาหารเขมรที่ไม่จืดชืดน่าเบื่อจนเกินไปนัก ทั้งสองร้านจัดมาแบบเป็นเซ็ตเมนูแบบจานเล็กจานน้อย คอร์สหนึ่งก็หลายจานทีเดียว อาหารเขาใช้ผักค่อนข้างเยอะและเป็นผักสมุนไพรเสียมาก เนื้อสัตว์ก็เป็นปลากุ้งเป็นส่วนใหญ่ แทบไม่มีเนื้อแดงเลย ร้านแรกที่ไปคือร้านชื่อ Wat Damnak ร้านสวยมากมีแต่ฝรั่งนั่งกัน
ส่วนร้านที่สองอยู่ลึกลับซับซ้อนสุดซอยลูกรังแทบจะหาไม่เจอ ชื่อ Lum Orng เป็นร้านแนวคิด Farm to table ก็เลยต้องอยู่ในสวนผักละมัง ร้านนี้เลยยิ่งเน้นผักและสมุนไพร ฉันก็อธิบายไม่ถูกว่าอาหารทั้งสองร้านนี้มันเป็นอะไรบ้างเพราะมันเป็นฟิวชั่น เลยถ่ายรูปเมนูมาให้ดูกันเอง แต่ที่แน่ๆ มีคล้ายกับแตงโมปลาแห้งด้วย และมีแกงเลียง มีห่อหมก ส่วนขนมก็มีคล้ายบ้าบิ่นกับไอศกรีมกะทิ และแถมตบท้ายด้วยผลไม้จิ้มพริกกับเกลือ สนุกดีได้กินอะไรแปลกๆ และเห็นว่าเขมรเขาก็เริ่มพัฒนามี Fine Dining และ Creative Cuisine เหมือนกันบ้างแล้ว อยากรู้จังว่าอีก 19 ปีกลับไปอีกครั้งจะเป็นอย่างไร