ได้ไปเจาะลึกอิตาลีมาหลายเมืองในแทบจะทุกแคว้น เมืองหนึ่งที่ฉันใฝ่ฝันเหลือเกินที่จะไปสัมผัสแบบแนบชิด และเมื่อได้ไปแล้วก็อิ่มสมใจสุดๆ นั่นก็คือ Matera เมืองในแคว้น Basilicata ตรงส้นรองเท้าบูทของอิตาลีนั่นเอง

แม้จะเป็นเมืองเล็กไม่ใหญ่ แต่มาเตร่ามีของดีสุดๆ และเป็นของประเภทที่ฉันชอบอย่างมากๆ เอาเสียด้วย นั่นคือ Sassi di Matera ซึ่งเป็นหมู่บ้านถ้ำที่คนในสมัยก่อนขุดภูเขาเข้าไปเป็นโพรงเพื่ออยู่อาศัย เจ้าโพรงนี้มีมากมาย เหมือนโพรงละห้องๆ ติดๆ กัน เรียกว่าเจาะจนภูเขาพรุนเหมือนรังมดเลย บรรดาบ้านถ้ำนี้มีอายุเก่าแก่ถึง 7000 ปี และใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนเมืองมาเตร่ากันมาหลายพันปี มาจนกระทั่งเมื่อ 30 ปีที่แล้วนี่เองรัฐจึงให้คนย้ายออก ปัจจุบันนี้ Sassi di Matera ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกยูเนสโก้เลยทีเดียว

บ้านถ้ำเหล่านี้เป็นที่อยู่ที่จะว่าไปแล้วก็สำหรับคนที่ไม่มีฐานะนัก คือไม่ต้องมีเงินปลูกบ้าน ขุดภูเขาเข้าไปเลยก็มีที่อยู่ได้ ข้างในไม่มีห้องน้ำหรือความสะดวกสบายอันใด เมื่อราวช่วงปี 1960 นี่เองที่รัฐบาลให้คนอพยพออกไปจนหมด โดยไปสร้างบ้านให้อยู่ใหม่แทนในมาเตร่า เพราะสุขอนามัยของบ้านถ้ำเหล่านี้ไม่ดี คนที่โดนย้ายออกไปนั้นมีถึง 15,000 คน คิดเป็นพลเมืองครึ่งหนึ่งของมาเตร่าตอนนั้นทีเดียว จากนั้น 30 ปีให้หลัง รัฐก็เริ่มโปรเจ็คบูรณะบ้านถ้ำเหล่านี้ โดยให้สัมปทานภาคธุรกิจมาทำเป็นโรงแรม ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ เปิดให้คนเข้าชม และอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกโลก ปัจจุบันยังมีถ้ำอีกมากมายที่ยังไม่ได้เอามาใช้งาน เดินเล่นชมเมืองก็เห็นถ้ำเก่าที่ยังไม่ได้ทำอะไรเยอะทีเดียว

ฉันมาถึงเมืองมาเตร่าตอนพระอาทิตย์ยอแสงจะตกดินพอดี พอจอดรถในเมืองแล้วโผล่จากถนนเพื่อจะเดินเข้า Sassi หรือตรงเมืองถ้ำมรดกโลกนั้น ก็ปะทะเจอวิวภูเขาพรุนอย่างที่เคยฝันว่าจะมาเห็นด้วยตาเปล่าในแสงสีส้ม สวยตะลึงมาก นี่เลยภาพที่อยากเห็น สมเป็นมรดกโลกโดยแท้

ฉันรีบเดินลากกระเป๋าทะลุเมืองเก่าขึ้นไปโรงแรมซึ่งอยู่ในถ้ำของ Matera Sassi เช่นกัน เป็นถ้ำเก่าที่แปลงมาเป็นโรงแรมเก๋ทันสมัย การตกแต่งสวยมากๆ ฉันตื่นเต้นสุดๆ เพราะโรงแรมนี้ก็จดไว้ในโพยมาหลายปีแล้วว่าจะต้องมาพักให้ได้ มาชมเมืองถ้ำก็ต้องมานอนในถ้ำสิ แถมเป็นถ้ำโบราณมรดกโลกอีก มันช่างตอบโจทย์โรงแรมแบบเหนือฟ้าเป็นที่สุด ในที่สุดฝันของฉันก็เป็นจริง

หลังจากที่รัฐบาลได้ย้ายผู้คนออกไปจากถ้ำหมดแล้ว ก็มีโครงการจะเอาถ้ำโบราณเหล่านี้มาให้สัมปทานทำประโยชน์เป็นเมืองท่องเที่ยว โรงแรมนี้ก็ได้สัมปทานมา 21 ถ้ำ เขาใช้เวลาหลายปีทีเดียวกว่าจะบูรณะซ่อมแซมเพราะต้องการให้อยู่ในสภาพเดิมๆ มากที่สุด แต่ก็ต้องใส่ความสะดวกสบายทุกสิ่งอย่างเข้าไป จึงต้องค่อยๆ ทำไป พนักงานที่พาชมโรงแรมบอกว่าต้องรื้อพื้นหินออกทั้งหมดทีละก้อนๆ และใส่ระบบฮีตเตอร์ฝังเข้าไปในพื้น แล้วปูหินเข้าไปใหม่ ส่วนความสะดวกสบายทั้งหลายก็มีครบครัน อ่างอาบน้ำแบบทันสมัยทรงไข่ตั้งอยู่เก๋กลางห้องข้างเตียงนอน สุขภัณฑ์ก็ทันสมัยมาก ขัดแย้งกับฝาผนังหน้าต่างตู้โต๊ะซึ่งเป็นไม้เก่าผุพังที่เคยใช้อยู่ในถ้ำแถวนั้น ฉันว่ามันแลดูเก๋สุดๆ ไปเลย ถูกใจอย่างมาก

ห้องอาหารของโรงแรมเป็นถ้ำที่เคยเป็นโบสถ์มาก่อน จึงมีเพดานสูงกว่าห้องนอนปกติ และมีช่องโค้งและเสาเหมือนโบสถ์เลย มื้อเช้าเรากินอาหารกันในห้องนี้ อาหารเช้าอลังการมาก ใช้วัตถุดิบทุกอย่างในท้องถิ่น สด คุณภาพดี เยอะแยะมากมายและอร่อยมากๆ อิ่มไปจนถึงเย็นเลย โรงแรมนี้ไม่มีห้องอาหารสำหรับมื้อกลางวันและเย็น แต่หากใครต้องการกินมื้อเย็นในถ้ำโบสถ์เก่านี้ก็จะมีการจัดดินเนอร์พิเศษให้แบบ private ทีเดียว เป็นเซตเมนูและมีเชฟมาทำอาหารให้แบบส่วนตัวภายใต้แสงเทียนในถ้ำเลย

ที่เก๋และโรแมนติกจนคนที่เดินผ่านไปมาต้องอิจฉา (เนื่องจากห้องต่างๆ ของโรงแรมอยู่กระจายกันไปตามถ้ำของภูเขา ไม่ได้อยู่ติดกันเป็นก้อนเดียว ทางเดินสาธารณะที่ไต่ไปตามถ้ำและเข้าไปในเมืองจึงต้องผ่านบริเวณของโรงแรมด้วย) ก็คือตอนพระอาทิตย์ตก เขามีเสิร์ฟเครื่องดื่มและของว่างบนโต๊ะเก้าอี้ที่นั่งพิงกำแพงมองออกไปในหุบผาเบื้องหน้า มันเลิศมาก ใครที่ไม่ได้พักที่นี่แล้วเดินผ่านมาก็ต้องหยุดถ่ายรูปและมองด้วยความอิจฉา

ถ้าถามฉันก็ต้องบอกว่า ไปมาเตร่าก็ต้องนอนโรงแรมนี้เท่านั้นแหละ แต่จะมีข้อเสียก็คือในห้องนอนไม่มีฝักบัวอาบน้ำ มีแต่อ่างอาบน้ำ และห้องอาจจะมืดไปสักนิดเพราะเป็นถ้ำ และต้องไปจอดรถในที่จอดรถไกลและแพง หรือไม่ก็ต้องจอดริมถนนในเมืองไกลหน่อยแล้วต้องเดินลากกระเป๋าเดินทางไต่ไปตามบันไดหินโบราณระหว่างถ้ำมาเอง ถ้าจะใช้บริการโรงแรมก็จะต้องเหมาพร้อมที่จอดรถ แพงถึงวันละ 30 กว่ายูโร

ส่วนข้อดีของโรงแรมอีกอย่างคือสามารถเดินขึ้นไปใจกลางเมืองสะดวกมาก ฉันชอบพวกถ้ำหรืออาคารเก่าที่เอามาดัดแปลงใช้งานมากๆ เมื่อมาเมืองที่ทั้งเมืองเป็นเมืองถ้ำแบบนี้ทั้งทีจึงทุ่มเวลาให้ทั้งวันเดินเล่นอยู่ที่ Sassi di Matera อย่างเดียวเลย ในเมืองมีที่เที่ยวพอควร มีโบสถ์ใหญ่ใจกลางเมือง Cathedral จากศตวรรษที่ 13 มีบรรดาโบสถ์ Rupestrian มากมายที่ควรเข้าไปชมให้หมด

ที่เด็ดคือโบสถ์ในถ้ำโบราณที่มีถึง 4 โบสถ์ทะลุติดกัน Convicinio di Sant’Antonio เพิ่งเปิดหมาดๆเดือนที่แล้วหลังจากบูรณะอยู่หลายปี จึงยังไม่มีในไกด์บุคใด แต่เหนือฟ้าได้ไปมาเรียบร้อยแล้ว

ส่วนใครที่ไม่ได้นอนพักในถ้ำโบราณอย่างฉัน หากอยากรู้ว่าชีวิตคนถ้ำสมัยศตวรรษที่ 18 เขาอยู่กันอย่างไร ไปดูได้ที่ Casa Grotta of Vico Solitario เขาจัดห้องไว้เหมือนที่คนเคยอยู่ ในถ้ำหนึ่งห้องนั้นมีเตียงที่ยกสูง (เผื่อน้ำท่วม และให้ไก่อยู่ใต้เตียง) มีคอกลาอยู่ปลายเตียงกันเลยทีเดียว ครัวมุมหนึ่ง กี่ทอผ้ามุมหนึ่ง เปลลูกเล็กวางบนพื้น กลางคืนดึงลิ้นชักออกเอาเบาะวางให้ลูกอีกคนนอน คือหลายคนรวมทั้งหมูลาไก่สัตว์เลี้ยงทั้งหลายอยู่รวมกันในถ้ำเดียวเลย ห้องน้ำไม่มี ถึงว่ารัฐต้องให้ย้ายออกเพราะมันไม่ค่อยถูกสุขลักษณะนั่นเอง

อีกแห่งที่น่าสนใจคือบ่อน้ำขนาดใหญ่ใต้ดินโบราณ Palombaro Lungo สร้างเมื่อปี 1864 โดยขุดใต้ดินเป็นโพรงเก็บน้ำให้ชาวเมืองใช้ โดยใช้ถังหย่อนลงไปตักน้ำแล้วสาวขึ้นมา ต่อมาบ่อน้ำใต้ดินนี้ถูกปิดตายอยู่หลายปี และถูกค้นพบใหม่ไม่นานมานี้ ปัจจุบันเปิดให้เดินเข้าไปชมได้อย่างสะดวกโดยทำทางให้เดินชมใต้ดิน เป็นอีกอย่างที่ฉันชอบมาก

ในเมืองเองก็เดินเล่นได้น่ารักเหมือนเมืองเล็กอิตาลีทั้งหลาย ดังนั้นมีเวลา 1 วันก็สามารถชมที่เที่ยวสำคัญได้หมด และยังชมเมืองได้อีกด้วย

แต่ที่ฉันขอแนะนำมากๆ คือ ให้เดินสำรวจออกนอกเมืองไปนิด จะมีพวกถ้ำทั้งหลายที่มีคนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หรือที่ยังไม่บูรณะ มันน่าสนใจมาก ดีไม่ดีเจอคาเฟ่น่ารักๆ หรือบ้านคนน่ารักน่าถ่ายรูป หรือถ้าใครเดินเขาเก่งๆ แนะนำให้ข้ามไปฝั่งตรงข้าม Sassi เป็นภูเขาที่เดินไต่ขึ้นไปได้ เห็นมีถ้ำโบ๋ๆ อยู่เต็มเลย เขาเก็บไว้เป็นสวนป่าสาธารณะไม่ได้ดัดแปลงใช้งานแต่ให้ไปเดินชมวิวออกกำลังได้ ฉันไม่ได้เดินไปเพราะหน้าร้อนอากาศร้อนจนหมดแรง ได้แต่ยืนเล็งชมอยู่จากฝั่ง Sassi

ในที่สุดฉันก็ได้มา Matera แบบแนบชิดสนิทเนื้อ ได้อยู่ในถ้ำโบราณอันอัศจรรย์นี้ถึงสองคืน สวยและสนุกสมกับที่รอคอยจริงๆ

NO COMMENTS