ก่อนออกจากเมือง Skopje เราขับรถขึ้นไปบนภูเขาเพื่อชมโบสถ์ Saint Panteleimon กันเสียหน่อย เพราะฉันเป็นคนชอบจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์แบบนิกายออร์โธด็อกซ์ฝั่งยุโรปตะวันออกนี้จริงๆ แถมที่ตั้งของโบสถ์ก็ยังสวยงามอีกด้วย จากริมหน้าผาด้านหน้าโบสถ์มองลงมาเห็นเมืองหลวงของประเทศ North Macedonia แผ่อยู่ในหุบเขาด้านล่าง มีเทือกเขาโอบรับอยู่ด้านหลัง

โบสถ์นี้มีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 ก่อด้วยอิฐสีแดงแนวเดียวกับที่ประเทศบัลแกเรียและโรมาเนีย ด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังจากยุคไบเซ็นไทน์ โทนออกสีฟ้า ถึงจะลอกและสีจางไปบ้างแต่ก็ยังนับว่าอยู่ในสภาพดีทีเดียว สวยมากๆ

เส้นทางขับรถวันนี้ของเราจะต้องผ่าน Matka Canyon หุบเขาในโตรกผาที่ได้ยินมาว่าธรรมชาติสวยงามมาก จึงขับรถย้วยเข้าไปชมเสียหน่อย เดินขึ้นไปด้านบนมีทะเลสาบที่เกิดจากการกั้นเขื่อน ธรรมชาติสวยงามใช้ได้ทีเดียวเลย ในเขื่อนมีเรือให้เช่าสำหรับพายเล่นด้วย เสียดายเราไม่มีเวลามากพอจึงได้แต่เดินชมวิว แล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังเมือง Ohrid ริมทะเลสาบชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นจุดหมายสำคัญของประเทศนี้ที่ฉันตั้งใจมาโดยเฉพาะ

ฉันเคยได้ยินมาว่าเมือง Ohrid ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Ohrid นี้คือ Hidden gem ของคาบสมุทรบาลข่าน เรื่องไปชมเมืองเล็กเมืองน้อยที่ไม่มีใครรู้นี่คือจริตของเที่ยวเหนือฟ้าโดยแท้ จึงต้องจัดมาให้รู้เรื่องกันไป

อันที่จริงเมืองนี้มีขนาดไม่ใหญ่เลย แต่มีตำแหน่งที่ตั้งที่สวยงามมาก เมืองตั้งอยู่ริมทะเลสาบ มองออกไปเห็นภูเขาเป็นฉากเบื้องหลังอยู่ไกลๆ ในส่วนของเมืองเก่านั้นมีบ้านเรือนตั้งลดหลั่นกันไปบนเขา จึงทำให้ทุกหลังต่างได้วิวทะเลสาบโดยที่ไม่ต้องบังกัน ถนนปูด้วยก้อนหินโบราณลดเลี้ยวซอกซอนไปตามบ้านเหล่านั้น เสียดายที่เขาอนุญาตให้รถแล่นไปตามถนนในเมืองเก่านี้ การเดินเล่นจึงต้องระวังรถไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะยิ่งน่ารักน่าเดินมากกว่านี้ บ้านเรือนเหล่านี้มีทั้งบ้านแบบสมัยใหม่ที่คนอยู่กัน แต่ก็มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่เหลือให้เห็นหลายหลัง เช่น Robevi family house เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Ohrid แท้เลย

พ้นส่วนที่เป็นบ้านเรือนในเมืองเก่าก็จะเป็นจุดริมทะเลสาบที่เปิดโล่งให้คนมาพักผ่อนหย่อนใจ มีร้านรวงสมัยใหม่กับร้านอาหารตั้งอยู่ ตรงนี้คนจะเยอะหน่อย

แต่ส่วนที่ฉันชอบมากกว่าคือบริเวณบ้านเรือนในเมืองเก่า และส่วนถนนหินที่เดินเลียบทะเลสาบด้านล่างของเมืองเก่า บางช่วงเขาทำเป็นสะพานไม้ข้ามน้ำให้คนเดินเลียบหน้าผาไปได้ ตรงนี้จะเดินไปชมโบสถ์สำคัญได้สองแห่ง คือ St. Jovan Kaneo ซึ่งตั้งอยู่บนชะง่อนหน้าผาสูงที่ยื่นออกไปในทะเลสาบ จึงได้วิวชมทะเลสาบสวยงามสุดๆ ไปเลย และอีกโบสถ์คือ St. Clement and Pantalaimon ซึ่งก็อยู่ริมทะเลสาบเหมือนกันแต่วิวจะสวยน้อยกว่าเพราะอยู่ต่ำลงมาหน่อย อาคารสร้างเป็นอิฐสีแดงสลับก้อนหิน ขนาดใหญ่โตโอฬาร แต่ด้านในกลับไม่ได้มีภาพวาดฝาผนังสวยงามแบบโบสถ์อื่น โดยรอบมีซากปรักหักพังซึ่งเหมือนยังขุดค้นไม่หมด อีกหน่อยถ้าบูรณะขึ้นมาคงจะยิ่งน่าชมกว่านี้

ส่วนใจกลางเมืองเก่านั้นมีโบสถ์สำคัญอีกแห่งคือ St. Sophia มีขนาดใหญ่โตและด้านในก็มีจิตรกรรมฝาผนังสีน้ำเงินเข้มที่ดูเก่าขลังมาก แบบนี้ชอบเลย ส่วนรอบๆ โบสถ์นั้นก็จะมีร้านอาหารสองสามร้านที่น่านั่งกินกาแฟชมบรรยากาศเมืองเก่า มีวันหนึ่งฉันเดินลงมากินอาหารเช้าและกาแฟตรงนี้ ใช้ได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้ในเมืองเก่ายังมีโรงละครโบราณแบบโรมันที่สร้างเป็นทรงกลมแล้วมีอัฒจันทร์สูงเป็นแถวขึ้นไป เขาบูรณะแล้วมีเวทีใหม่ตั้งเอาไว้เพราะใช้งานเป็นที่เล่นคอนเสิร์ตจริงด้วย ดีจังเลย เหมือนได้ย้อนยุคกลับไปชมการแสดงในสมัยโรมัน รอบเมืองมีกำแพงเมืองและป้อมปราการเรียก Samuel’s Fortress อันนี้ฉันไม่ได้เข้าไปชมข้างในเพราะโชคไม่ดีไปแล้วเขาปิดวันนั้น

ฉันพักที่นี่สองวัน เดินวนไปมาในเมืองเก่า ไต่ขึ้นลงบันไดไปกินข้าวบ้างไปเที่ยวชมตรงนั้นตรงนี้บ้างหลายรอบเลย ขนาดเมืองจริงๆ ไม่ใหญ่ เดินแป๊บเดียวก็ทั่ว แต่ด้วยความชันถ้าเร่งเดินหน่อยก็เมื่อยใช้ได้ทีเดียว ส่วนที่ฉันชอบคือส่วนริมน้ำของเมืองเก่าที่บอกว่ามีสะพานให้เดินเลาะได้ เพราะตรงนี้จะมีบ้านคนอาศัยอยู่จริงและมีจุดที่เหมือนชายหาดให้คนลงไปว่ายน้ำเล่นได้ด้ว

และฉันค้นพบร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่งซึ่งบรรยากาศดีและอาหารอร่อยมากๆ เมนูก็เป็นแบบประยุกต์ถูกปากมากๆ ชื่อร้าน Kaneo Letna เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากโบสถ์ St. Jovan Kaneo แนะนำให้ไปกินอาหารเย็นยามพระอาทิตย์ตก โรแมนติกสุดๆ เมืองนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกด้วย โดยที่ขึ้นทะเบียนอยู่ในสองกลุ่มเลย ทั้งในกลุ่มวัฒนธรรมและกลุ่มธรรมชาติ เพราะมีทั้งสถาปัตยกรรมโบราณที่สวยงามเฉพาะตัว และธรรมชาติของทะเลสาบที่สวยนั่นเอง สมควรแล้วที่เขาเรียกเมืองแห่งนี้ว่า Hidden Gem

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY