หลังอาหารกลางวันที่เมือง Prizren ของโคโซโวเราขับรถมุ่งต่อไปยัง Skopje เมืองหลวงของ North Macedonia โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้นก็ถึง แต่ก่อนอื่นเราควรมาทำความรู้จักกับประเทศนอร์ธมาซิโดเนียกันก่อนดีกว่า

North Macedonia หรือชื่อเต็มเป็นทางการว่า Republic of North Macedonia เป็นอีกหนึ่งประเทศในกลุ่มประเทศคาบสมุทรบาลข่านที่เคยเป็นยูโกสลาเวียมาก่อน มีพลเมืองไม่ถึงสองล้านคน หนึ่งในสามเป็นมุสลิมและสองในสามเป็นคริสเตียน

สมัยก่อนคริสตกาลดินแดนแห่งนี้เคยเป็นราชอาณาจักร Kingdom of Macedonia แล้วก็เหมือนประเทศอื่นในเพื่อนบ้านแถบนี้ ที่ถูกผลัดเปลี่ยนมือกันมาหลายมือหลายอาณาจักร ตั้งแต่ อาณาจักรโรมัน ไบเซนไทน์ อาณาจักรบัลแกเรีย อาณาจักรเซอร์เบีย และสุดท้ายก็มาอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมัน ซึ่งพอหลังสงครามบัลข่านก็ตกมาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเซอเบีย แต่ในช่วงเวลานั้นมีการเปลี่ยนไปมาระหว่างเซอเบียกับบัลแกเรียวนกันอยู่หลายรอบ แต่ในที่สุดก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวียเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ จนยูโกสลาเวียแตกแล้วแยกเป็นประเทศอิสระ แต่เรื่องราวที่ไม่เหมือนประเทศเพื่อนบ้านอื่นก็คือ พอประกาศเอกราชเป็นอธิปไตยของตัวเองในปี 1991 แล้วกลับเกิดปัญหาเรื่องชื่อประเทศ เพราะเขาเรียกชื่อประเทศเขาว่า Macedonia ซึ่งไปซ้ำกับชื่อแคว้น Macedonia ในประเทศกรีซ ซึ่งกรีซก็ไม่ยอมให้มาเซโดเนียตั้งชื่อประเทศซ้ำกับแคว้นของตัว ทะเลาะเถียงกันไปมาอยู่หลายปี จนมาตกลงกันว่าให้ชื่อ The Former Yugoslav Republic of Macedonia ย่อว่า FYR Macedonia หรือ FYROM ก็แล้วกัน โอ๊ยประเทศอะไรจะชื่อยาวขนาดนั้น แถมฟังดูประหลาดอีกต่างหาก แต่ในที่สุดพอถึงปี 2018 ก็ตกลงกับประเทศกรีซได้ว่าให้ใช้ชื่อประเทศเป็น Republic of North Macedonia ซึ่งตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมาก็ได้ใช้ชื่อนี้เป็นชื่อประเทศอย่างเป็นทางการมาจนบัดนี้

เมืองหลวงอันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วยคือ Skopje มีพลเมืองประมาณห้าแสนคน เมืองไม่ใหญ่สถานที่เที่ยวไม่มาก แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ เมืองสโกเปียนี้เป็นเมืองเกิดของแม่ชีเทเรซ่า อันที่จริงโดยเชื้อชาติท่านเป็นคนอัลเบเนียน แต่เกิดที่สโกเปียและโตที่นี่ สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองจึงคือ The Memorial House of Mother Teresa แต่ที่ตรงนี้ไม่ใช่บ้านเกิดท่าน หากเป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นมาเมื่อปี 2009 นี่เองบนจุดที่เคยเป็นโบสถ์ที่ทำพิธี Baptize ท่าน โรงแรมที่ฉันพักอยู่ใกล้สถานที่นี้มาก เดินไป 5 นาทีเอง แต่พอไปถึงกลับปิด เพราะเป็นวัน Good Friday พอดี รุ่งขึ้นฉันนึกจะกลับมาใหม่แต่เปลี่ยนใจ เพราะจริงๆ ชอบดูสถานที่โบราณที่มีประวัติศาสตร์จริงๆ มากกว่า เลยได้แต่ถ่ายรูปด้านนอกไว้

ฉันได้เดินชมเมืองสโกเปียเกือบทั่ว ในเมืองมีแม่น้ำ Vardar ไหลผ่าน จึงมีสะพานข้ามหลายแห่งที่ควรไปชม เช่น Art Bridge ที่มีรูปปั้นศิลปินสารพัดแขนงอยู่ถึง 29 รูปปั้น ติดกันคือ The Bridge of Civilisations in Macedonia มีรูปปั้นยืนเต็มสองฝั่งสะพานเช่นกัน ดูแปลกดี จะว่าสวยก็ไม่เชิง เมืองนี้เขาชอบรูปปั้นมากๆ เลย เต็มเมืองไปหมด ไม่ว่าจะในสวนสาธารณะ ริมถนน เยอะจนเกินพอดี เลยมีคนเหน็บเอาว่า นี่คือเมืองหลวงที่ kitsch ที่สุดในโลก สงสารจัง แต่ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน

สะพานอีกแห่งคือ Stone Bridge เป็นสะพานเก่า อยู่ตรงริมลาน Macedonia Square ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งที่มี Museum of the Macedonian Struggle for Independence และ Macedonian Holocaust Museum อยู่ แล้วก็มีอนุสาวรีย์รูปปั้นน้ำพุอีกสองแห่ง รูปปั้นเขาเยอะจริง

จากตรงนี้เดินเข้าไปในตลาด Old Bazaar ได้เลย เป็นตลาดแขกที่ใหญ่เป็นที่สองรองจากอิสตันบูลทีเดียว นอกจากจะร้านค้าขายข้าวของประดามีสไตล์แขกแล้ว ก็ยังมีมัสยิด Mustafa Pasha และร้านอาหารต่างๆ ช่วงเวลาที่ฉันไปร้านส่วนมากปิด จึงแลดูเงียบเหงาหน่อย ไม่ทราบด้วยเหตุผลอันใด แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเดินชมบรรยากาศกันอยู่พอสมควร อันที่จริงฉันชอบเดินดูแบบนี้มากกว่า เพราะชอบดูร้านจากด้านนอก นี่ถ้าตลาดเปิดคนเยอะคงเบียดเสียดกันน่าดู ไม่น่าจะไหว เท่าที่เห็นพื้นที่ตลาดเขาใหญ่จริง แต่ฉันว่าสินค้าและร้านค้ายังไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าอิสตันบูล หลายสิ่งหลายอย่างในประเทศนี้แลดูค่อนข้างเชยๆ และล้าหลัง

ด้านบนเหนือตลาดเราจะมองเห็นป้อมปราการ Kale ตั้งอยู่บนเนินเขา อันนี้ฉันก็ไม่ได้ปีนขึ้นไปชมเพราะคิดว่าไม่มีอะไรมาก จึงได้แต่ชมอยู่ด้านล่าง นอกจากนี้ก็ได้เดินวนไปมาในเมือง ชมสถาปัตยกรรมและบ้านเรือน มีสวนสาธารณะ Park Woman Warrior ซึ่งมีคนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกัน ตกแต่งต้นไม้สวยงาม แต่เต็มไปด้วยรูปปั้นนักรบเต็มไปหมดเลย อยากจะรู้จริงๆ ว่าทั้งเมืองมีรูปปั้นประติมากรรมสักกี่ชิ้น

บ้านเมืองเขายังดูไม่ทันสมัยเท่าบ้านเรา ยังห่างไกลอีกเยอะ ส่วนสถาปัตยกรรมรุ่นเก่าหน่อยก็จะออกสไตล์คอมมูนิสต์ เช่นสถานีรถไฟและไปรษณีย์เก่า ไม่มีสถาปัตยกรรมโบราณสวยงามอย่างยุโรปตะวันตก ฉันได้เดินลัด City park ไป Bohemian quarter กินข้าวเย็นและดื่มในย่านนั้นเพื่อดูวิถีชีวิตคนในปัจจุบันด้วย คนยุคใหม่เขาก็ออกมากินข้าวแล้วปาร์ตี้ดื่มกินกันปกติ เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้มีตัวเลือกที่กิ๊บเก๋จัดอย่างบ้านเรามากมายเท่าไหร่นัก ดีใจที่ได้มาเห็น ทำให้หายสงสัยไปอีกหนึ่งประเทศ

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY