เมืองริมทะเลที่ใกล้ที่ซูริกที่สุดน่าจะเป็นเมือง Portofino ของอิตาลี เพราะเส้นทางขับรถจากซูริกคือลากเป็นเส้นตรงดิ่งจากเหนือลงใต้มาชนกับ Portofino เลยพอดี บังเอิญฉันมีธุระจะต้องมาเมืองตูริน จึงขอย้วยมานอนที่ นี่หนึ่งคืนในฤดูที่ใบไม้ใกล้จะร่วงแล้ว

ใครที่เคยไปเที่ยว Cinque Terre หมู่บ้านเล็กทั้ง 5 ที่มีสีสันสดใสริมอ่าวของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาแล้วก็คงจะนึกภาพตามได้ไม่ยาก เพราะ Portofino ก็มีหน้าตาและบรรยากาศแบบเดียวกันเลย ตึกสีสันสดใสตั้งเรียงกันอยู่ริมอ่าวเล็กๆที่เว้าเข้ามาจากทะเลสีฟ้าเข้ม น่ารักอย่างกับหมู่บ้านในฝัน เห็นแค่ครั้งแรกก็สวยติดตาติดใจ แต่เดิมเมืองนี้เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงมาก่อน มีขนาดเล็กมากๆ แต่ตอนนี้เป็นรีสอร์ทตากอากาศที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมในแวดวงเจ็ทเซ็ท เพราะเมื่อ 30-40 ปีก่อนพวกดาราฮอลลีวูดและมหาเศรษฐียุโรปนิยมมาเที่ยวกันมาก ด้วยขนาดที่เล็กคงจะทำให้ดาราและเศรษฐีเหล่านั้นรู้สึกว่ามีความเป็นส่วนตัวไม่มีใครมายุ่ง ปัจจุบันนี้ Portofino ก็ยังคงเป็นเมืองตากอากาศของเศรษฐีอยู่ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าโรงแรมค่าอาหารทั้งหลายของที่นี่แพงลิบลิ่วหรือเปล่า เพราะฉันเที่ยวอิตาลีมาเยอะ ยังไม่เคยเจอที่ไหนแพงเท่าที่นี่เลย

วันเสาร์ที่ฉันไปนั้น พอตกเย็นมีขบวนรถ Ferrari มาจอดเรียงกันเต็มไปหมดหลายสิบคัน เหมือนกับขับกันมาเป็นคาราวานแล้วมารวมตัวกันที่นี่ สร้างความคึกคักให้หมู่บ้านยิ่งขึ้นไปอีก ฉันเป็นคนชอบรถ แม้จริงๆจะไม่ได้ตื่นเต้นกับเฟอรารี่เท่าไหร่ ก็ยังอดเดินดูด้วยความตื่นตาตื่นใจไม่ได้ มันหรูหราคึกคักเข้าบรรยากาศอิตาลีมากๆ แล้ว Ferrari นี้มีรุ่นที่ตั้งชื่อว่า Portofino เสียด้วย คิดดูก็แล้วกันว่าหมู่บ้านเล็กแห่งนี้มีความไฮโซขนาดไหน

Portofino เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมากจึงไม่ได้มีสถานที่อะไรให้เที่ยวมากนัก การมาที่นี่จะเป็นการละเลียดชิมบรรยากาศของหมู่บ้านและทะเลริมอ่าวสบายๆมากกว่า ซึ่งก็ต้องบอกว่าการนั่งจิบไวน์ตอนเย็นแกล้มของขบเคี้ยวไป ดูเรือในอ่าวลอยอยู่บนน้ำสีฟ้าเข้มไป มันก็ได้บรรยากาศดีจริงๆ

ในหมู่บ้านเองมีโบสถ์อยู่สองสามแห่งให้เดินชม เช่น Church of St. Martin, Church of St. George, Oratory of Santa Maria Asunta ซึ่งจะว่าไปแล้วทุกโบสถ์จะมีด้านในเรียบง่ายแทบไม่มีการตกแต่งอะไรเลย ความสวยงามจะอยู่ด้านนอกมากกว่า จึงไม่ต้องใช้เวลาดูอะไรมาก

มีที่หนึ่งที่ฉันแนะนำให้จ่ายเงินเข้าไปชมคนละ 5 ยูโรเลยก็คือ Castello Brown เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงทางทิศตะวันตกของอ่าว มีทางเดินจากด้านล่างขึ้นไปได้สองทาง คือบันไดที่ไต่ขึ้นไปถึงหน้าโบสถ์ San Giorgio หรือ Church of St. George นั่นแหละ กับอีกทางที่อยู่ตรงสุดปลายอ่าวซึ่งต้องเดินไต่เขาไปบนทางหินในป่าหักศอกทบไปมาจนถึงด้านบน ฉันเดินขึ้นทางโบสถ์แล้วจึงเดินลงทางป่า ด้านบนชมวิวได้อย่างสวยงาม ทั้งวิวของหมู่บ้านและวิวอีกฝั่งของอ่าวมองออกไปนอกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และด้านหลังโบสถ์มีของโปรดของฉันด้วย สุสานของเมืองนั่นเอง ดูด้านนอกเหมือนกับจะเล็กแต่เดินทะลุไต่ขึ้นเป็นห้องต่อไปได้เรื่อยๆจนถึงด้านบนสูงของเนินเขาทีเดียว และมีลักษณะเฉพาะตัวคือเป็นสีขาวทั้งหมดแล้วมีดอกไม้ปลอมประดับแทบจะเหมือนกันหมดทุกหลุมศพเลย เดินชมอ่านป้ายดูรูป น่าสนใจมากๆ

ส่วนตัวปราสาท Castello Brown เองนั้นไม่ได้หรูหราหวือหวาอะไร แต่ว่าวิวข้างบนนั้นสุดยอดจริงๆ บอกเลยว่าเป็นมุมที่ทำให้เห็นหมู่บ้าน Portofinoในมุมที่สวยที่สุด ด้านในปราสาทมีนิทรรศการให้ดูรูปบรรดาคนดังและเศรษฐีที่ต่างพากันมาตากอากาศที่นี่ในอดีต และในห้องบนสุดของหอคอยกลมก็มีการฉายสไลด์รูปบรรยากาศเมืองประกอบเพลง Love in Portofino ที่ร้องโดยนักร้องคนโปรดของฉัน Andrea Bocelli เพราะมากๆ ใครฟังแล้วก็ต้องหลงรัก Portofino แน่นอน

อันที่จริง Portofino มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง แต่อันนี้คงจะลำบากหน่อยที่จะไปดู นั่นก็คือมีรูปปั้นรูปพระเยซูที่อยู่ใต้น้ำทะเลที่ความลึก 17 เมตรด้วย รูปปั้น Christ of the Abyss นี้เขาเอาไปไว้ในทะเลเพื่อความเป็นโชคลาภมงคลของชาวประมง และเพื่อเป็นการระลึกถึงชาวอิตาเลียนคนแรกที่ใช้อุปกรณ์ดำน้ำแบบ SCUBA ฉันเห็นรูปของรูปปั้นพระเยซูชูแขนและมองจากก้นน้ำขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วขนลุกมาก สวยงามจริงๆ นึกอยากจะลงดำน้ำไปดูให้เห็นกับตาสักครั้งทีเดียว

สรุปแล้วถามว่าชอบไหม Portofino ฉันว่ามันก็สวยงามน่ารักตามท้องเรื่องตามแบบอิตาลี แต่ทุกอย่างแพงมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพแล้วก็รู้สึกอกหักนิดหน่อย โดยรวมจึงคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก ได้มาดูมารู้มาเห็นครั้งเดียวพอ หลังจากนี้ไปเมืองอื่นที่น่ารักคุ้มค่าคุ้มเงินกว่าของอิตาลีดีกว่า

NO COMMENTS