Dresden เป็นเมืองหลวงของรัฐ Saxony ทางเยอรมนีตะวันออก มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จัดเป็นอันดับที่ 4 ของเยอรมนีทีเดียว แต่มีพลเมืองน้อยกว่า Leipzig ในรัฐเดียวกัน สมัยก่อนมีความสำคัญมาก เคยเป็นเมืองหลวงและที่พำนักของบรรดากษัตริย์ จึงมีความโอ่อ่าหรูหราอยู่มากในแง่สถาปัตยกรรม สถานที่สำคัญ รวมทั้งงานศิลปะและทรัพย์สมบัติของแผ่นดินทั้งหลายที่ปัจจุบันแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ บรรดาตึกรามอาคารสำคัญนั้นมีทั้งสไตล์ Baroque และ Rococo อันโก้หรู เดรสเดนจึงได้ชื่อเล่นว่าเป็นดัง “Jewel Box” หรือกล่องอัญมณีของเยอรมนี

อาคารสำคัญที่ฉันได้ไปเดินชมวนไปวนมาอยู่หลายรอบใน 2 วัน เพราะเมืองเก่าขนาดไม่ใหญ่ ก็เช่น ปราสาท Dresden Castle หรือ Royal Palace ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมที่เราพักเลย ข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์ใหญ่มาก มหาวิหารประจำเมือง โบสถ์ Frauenkirche โรงโอเปร่า Zwinger Palace โบสถ์ Kreuzkirche อาคาร Academy of Arts ตึก Lipsiusbau ที่มีหลังคาโดมแก้วเหมือนที่คั้นน้ำมะนาว ระเบียงทางเดินยาว Brühl’s Terrace และป้อมปราการที่มองเห็นเมืองเก่าอยู่ด้านในฝั่งหนึ่ง และแม่น้ำ Elbe ที่ต่ำลงไปทางด้านนอกเมืองอีกฝั่งหนึ่ง และพิพิธภัณฑ์ Albertinum ที่มีงานศิลปะเด็ดๆ แต่ที่สวยงามเป็นสัญลักษณ์ไม่เหมือนเมืองใดก็คือ Stallhof und Fürstenzug ซึ่งเป็นกำแพงยาวถึง 101 เมตรที่มีภาพวาดสีดำบนพื้นเหลือง ใครไปก็ต้องไปถ่ายรูปที่นี่ และเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่านี่คือเมือง Dresden

น่าเสียดายเดรสเดนถูกระเบิดในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 จนย่อยยับราบคาบ อาคารสวยงามมีค่าทั้งหลายพังแทบไม่เหลือ แต่หลังจากนั้นเขาก็บูรณะสร้างขึ้นมาใหม่กันจนได้เมืองสวยงามดังเก่า เก่งจริงๆ เยอรมันเสียอย่าง จนบัดนี้เดรสเดนก็เป็นศูนย์กลางการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และการเมืองที่สำคัญของเยอรมนี มีมหาวิทยาลัยทางเทคโนโลยีที่ดีมาก และมีบริษัททางไฮเทคใหญ่ๆตั้งสาขาอยู่มากมาย จนบางคนเรียกเดรสเดนว่า Silicon Saxony เสียเลย

Dresden Castle หรือ Royal Palace เป็นอาคารที่สำคัญมากๆ แห่งหนึ่งในตัวเมือง Dresden มีอายุประมาณ 400 ปี เคยเป็นที่อยู่ของกษัตริย์ที่ปกครอง สถาปัตยกรรมผสมผสานหลายแบบ ด้านนอกว่าดูสวยงามมากๆ แล้ว ด้านในยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจใหญ่

ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทั้งให้ชมการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ของใช้ตามห้องหับต่างๆ ในวัง และยังมีส่วนที่เป็นจัดแสดงศิลปะสมัยใหม่ ภาพวาด ภาพถ่าย รวมทั้งทรัพย์สมบัติของสะสมต่างๆ ของแผ่นดินด้วย ไม่ว่าจะเป็นห้องเสื้อเกราะ ซึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน ห้องอาวุธที่ใช้ในการรบ ห้องเหรียญกษาปณ์ โอ้ยจะมากมายไปถึงไหน ส่วนที่ฉันชอบมากๆ อีกจุดก็คือ New Green Vault ซึ่งจัดแสดงของใช้หรูหราฟู่ฟ่าที่ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เช่นพวกตู้ โต๊ะ ที่มีฟังก์ชันการใช้งานแปลกๆ มีช่องลับซ่อนอยู่ มีโต๊ะที่ด้านหนึ่งเป็นเปียโนแต่โดยรอบเป็นช่องเก็บเครื่องเขียนบ้าง เป็นช่องเก็บเครื่องแต่งตัวบ้าง แล้วแถมยังมีเก้าอี้พับได้ซ่อนอยู่อีก พวกช่างไม้ที่ทำงานไม้พวกนี้ต้องมีฝีมือมากๆ จึงทำของออกมาได้ซับซ้อนขนาดนี้ แล้วยังมีพวกของใช้ที่สุดแสนจะช่างคิดอีก เช่นชุดกระเบื้องที่ใช้เสิร์ฟกาแฟสำหรับสี่คน ทำขึ้นมาเหมือนกับเป็นภูเขาเป็นช่อเป็นชั้นวางจานบ้างถ้วยกาแฟบ้างและกาน้ำอยู่ด้านบน โอ้ยสุดยอดแห่งจินตนาการ แต่ที่เด็ดที่สุดคือเพชรสีเขียวขนาด 40 กะรัตที่เข้าเรือนล้อมด้วยเพชรขาวอีกไม่รู้กี่ 100 เม็ด สวยมากๆ

เห็นข้าวของที่แสดงทั้งหลายแล้วต้องบอกว่า Dresden สมัยก่อนคงจะร่ำรวยอู้ฟู่จริงๆ จึงมีสมบัติแผ่นดินแบบนี้อยู่มากมาย เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ดูแล้วสนุกมากๆ ฉันใช้เวลาไป 2 ชั่วโมงดูได้ครึ่งเดียว สงสัยต้องกลับไปดูอีกครึ่งนึงเสียแล้ว

พิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งใน Dresden ที่ฉันชอบมากก็คือ Albertinum Museum พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงงานศิลปะสมัยใหม่เป็นส่วนมาก ทั้งภาพวาด รูปปั้น และศิลปะการจัดวาง ตัวตึกอยู่ในอาคารโบราณน่าสนใจอย่างมาก ด้านในแบ่งเป็นห้องมีสามชั้นสำหรับจัดแสดงงานศิลปะต่างๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ปรากฏว่า ดูๆ อยู่ต้องเอ๊ะหลายทีว่า เอ๊ะนี่รูปปั้นของแท้ของ Rodin นี่นา แล้วพอเข้าไปดูชั้นบนที่เป็นภาพวาดต่างๆ ก็เริ่มชักเอ๊ะอีกว่า อุ๊ยตายเรายืนดูภาพของแท้ของศิลปินเอกของโลกทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น Klimt, Picasso, Van Gogh, Gauguin, Manet, Hodler อยู่ตรงนี้อยู่ตรงหน้า อย่างที่เราดูได้ไม่ต้องแย่งกับใคร แถมภาพวาดของ Gauguin ที่เราชอบมากจนต้องซื้อโปสเตอร์มาใส่กรอบติดอยู่ที่บ้านนั้น ของแท้ดั้งเดิมคือติดอยู่บนกำแพงที่นี่ อยู่ตรงหน้าเรานี้ ชนิดที่เอื้อมมือไปจับได้เลย

การแสดงภาพวาดศิลปะของศิลปินระดับโลกที่นี่เป็นไปแบบผู้มีอารยะอย่างมาก เพราะเขาใส่กรอบติดผนังให้เรายืนดูพิจารณาได้อย่างเต็มปริ่มอย่างใกล้ชิด ไม่จำเป็นต้องกันคอกกั้นระยะไม่ให้เข้าไปใกล้ คงเป็นเพราะผู้คนที่นี่รู้จักกฎกติกามารยาทและให้ความเคารพงานศิลปะ ไม่มีใครเดินเข้าไปใกล้จนเกินควร และคนที่มาดูก็มีปริมาณไม่เยอะมาก ทำให้เหมือนกับเราได้ไปไปดูแกลเลอรี่ส่วนตัวเลยทีเดียว ดังนั้นมันจึงน่ามหัศจรรย์มากที่เราได้ชมงานชิ้นเอกของศิลปินระดับโลกหลายคนขนาดนี้โดยที่ไม่ต้องแย่งกับใคร สามารถใช้เวลาได้เท่าที่เราต้องการ และสามารถยืนพิจารณาจากมุมไหนอะไรอย่างใดก็ได้ที่เราชอบ สุดยอดจริงๆ  เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ฉันขอแนะนำให้ไปชมกันเลย คนส่วนมากไปเยอรมนีก็มักจะไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆ หรือเมืองเล็กน่ารักไปเลย ฉันแนะนำว่า เมืองขนาดกลางที่มีประวัติศาสตร์เยอะแต่ไม่ได้เป็นจุดหมายท่องเที่ยวหลักนี่ล่ะ น่าสนใจมากๆ จนอาจจะเปลี่ยนภาพจำของเยอรมนีไปเลย

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY