ฉันอยู่สวิตเซอร์แลนด์มา 12 ปี เที่ยวมาก็เยอะ ถ้าถามว่าชอบภาคไหนของสวิตฯที่สุด ตอบได้ไม่ลังเลเลยว่า คือคันโตน Ticino ทางใต้ที่พูดภาษาอิตาเลี่ยนนั่นเอง ถ้ามีโอกาสฉันจึงพยายามไปเที่ยวภาคนี้ อย่างเช่นทริปที่ได้ไปเจาะลึกเที่ยวในบริเวณหุบเขา Vallemaggia มา

บริเวณหุบเขานี้เข้าไปแล้วเหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกโดยแท้จริง เพราะจากเมือง Locarno ก็จะต้องขับรถเข้าไปในหุบเขาโดยใช้ถนนสายเล็กเลียบแม่น้ำ ซึ่งไหลอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขาซ้ายขวา ดิ่งตรงผ่านหมู่บ้านต่างๆ ลึกเข้าไปในหุบเขาแล้วก็เป็นทางตันอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถทะลุออกไปทางไหนได้อีก เข้าไปแล้วก็ต้องออกมาทางเดิม

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งก็คือ ในบริเวณนี้บ้านเรือนจะทำด้วยหินโบราณสีเทาเต็มไปหมด เห็นแล้วนึกถึงบ้านของลูกหมูตัวที่สามในเรื่องลูกหมูสามตัวที่สร้างบ้านให้แข็งแรงด้วยหินเลย น่ารักมากๆ แต่ละหมู่บ้านจะมีบ้านแบบนี้ตั้งกันอยู่เป็นกลุ่มๆ แล่นรถชมไปฉันก็กรี๊ดกร๊าดไปทุกครั้งที่ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นที่หมู่บ้าน Maggie, Coglio, Someo, Cevio, Bignasco, Brontallo, Lavizzara, Peccia, San Carlo หรือ Mogno

อีกอย่างที่ชอบก็คือ ลำธารในหุบเขานี้เป็นธารน้ำตื้นๆ ที่ไหลผ่านหินก้อนกลมๆ สีขาว บางช่วงที่ลำธารกลายเป็นบ่อหรือแอ่งน้ำให้ลงไปเล่นน้ำหรือว่ายน้ำได้นี้ สีจะเป็นสีเขียวมรกตใสอย่างกับคริสตัลเลย สวยมากๆ ต้นไม้ก็เขียวสดชื่น หญ้าบนเขาก็เป็นสีเขียว โอ๊ยสวยเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเมืองในนิทานอย่างไรอย่างนั้น

และแถวนี้ยังมีสะพานแขวนแบบที่ฉันชอบเยอะมากด้วย และยังมีน้ำตกที่สวยที่สุดของคันโตน Ticino อีก ปักหมุดโปรแกรมเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะต้องจัดมาเดินเขาหรือขี่จักรยานเจาะมากกว่านี้แน่นอน

และในบรรดาหมู่บ้านหินในนิทานทั้งหลายที่บริเวณหุบเขา Vallemaggia นั้น ที่ฉันชอบที่สุดก็คือ Sonlerto ที่นี่มีบ้านหินสภาพดีสวยๆ หลายหลังเลย ทั้งหมู่บ้านตั้งอยู่บนเนิน ทำให้ยิ่งดูเหมือนอย่างภาพวาดมากขึ้นไปอีก บ้านแต่ละหลังอยู่ติดๆ กันแบบไม่มีรั้วกั้น เวลาเราเดินไปในหมู่บ้านจึงเหมือนเดินทะลุเข้าไปในสวนคนเขาอย่างไรอย่างนั้น บางทีผ่านคนเขานั่งกินข้าวนั่งคุยกันในระเบียงบ้านอย่างประชิดตัว เราก็เกรงใจ แต่ชาวบ้านน่ารักมาก ทุกคนส่งเสียงทักทายและบอกให้เดินเล่นชมได้เลย บ้านแต่ละหลังน่ารักต่างกัน บางหลังมีสวนผักสวยเชียว บางหลังมีบ่อน้ำ บางหลังมีซุ้มเถาองุ่นคลุมนอกชานไว้นั่งเล่น บ้านหินพวกนี้ดูโบราณและอนุรักษ์ไว้อย่างดี แต่ฉันแอบสังเกตดู หลายหลังเหมือนเขาเก็บไว้แต่เปลือกหินด้านนอก ส่วนด้านในน่าจะกรุด้วยวัสดุและมีความสะดวกสบายแบบบ้านสมัยใหม่ แหมแบบนี้ยิ่งน่าอยู่ใหญ่เลย

กลางหมู่บ้านมีโบสถ์เล็กๆ แต่ที่ต้องชมคืออาคารอนุรักษ์ของเขา นั่นคือยุ้งฉางเก็บพืชพันธุ์ธัญญาหารโบราณ เรียกว่า Torba มีสองหลัง เป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง เราเดินไต่บันไดหินขึ้นไปชมได้เองเลย เป็นหมู่บ้านที่น่ารักมากๆ ที่สุดแห่งหนึ่งทีเดียว

และสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าคือฝันที่เป็นจริงของฉัน ที่ได้มาถึงเสียทีหลังจากรอคอยมาเกือบ 10 ปี โดยต้องใช้เวลาขับรถมาเกือบ 6 ชั่วโมง เพราะมันอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา ต้องขับรถตามถนนคดเคี้ยวหักศอกไม่รู้กี่รอบบนภูเขากว่าจะถึง ลึกลับซับซ้อนและมีถนนเข้าได้ทางเดียว แต่มาถึงแล้วคุ้มกับที่รอคอยสุด สถานที่แห่งนี้ก็คือโบสถ์ San Giovanni Battista ในเมือง Mogno ที่ออกแบบโดย Mario Botta สถาปนิกชื่อดังของสวิตเซอร์แลนด์

งานของเขาน่าทึ่งทุกชิ้น อย่างเช่นโบสถ์แห่งนี้ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กแต่ออกแบบมาอย่างเทพมาก ด้านนอกแม้จะดูโมเดิร์นสุดๆ อย่างสมควรจะขัดกับบ้านเรือนของหมู่บ้านในบริเวณซึ่งเป็นบ้านหินโบราณ แต่กลับไม่ขัดเขินเลย คงจะเป็นเพราะการเลือกใช้หินแกรนิตสีเทาขาวซึ่งเหมือนกับบ้านหินโดยรอบของเขตนี้ และพอเข้าไปข้างในก็ต้องตกตะลึงตึงงัน เพราะแม้จะมีขนาดเล็ก แต่การออกแบบน่าทึ่งมาก ว่าทำไมเหมือนเราถูกวาร์ปเข้าไปอยู่ในพื้นที่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ มาริโอเป็นสถาปนิกที่เก่งในการออกแบบโดยใช้เรขาคณิตที่เรียบง่ายที่สุด แต่ผลงานที่ออกมากลับทำให้รู้สึกพื้นที่ใช้สอยมีความกว้างใหญ่ มีความอลังการ มีพลัง เป็นความใหญ่ที่ไม่ใช่มาจากขนาดพื้นที่ แต่เป็นความใหญ่ที่มาจากอารมณ์และความรู้สึก เก่งมากๆ นับเป็น Hidden gem อีกแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ทีเดียว

อีกจุดหมายอีกแห่งหนึ่งที่ฉันอยากจะมาเช็คดูให้รู้กับตา ก็คือร้านอาหารเรียบง่ายร้านนี้ที่คนสวิสหลายคนบอกว่าเป็นร้านอาหารที่น่ารักที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว ชื่อ Grotto Pozzasc ที่หมู่บ้าน Peccia ร้านอาหารนี้เป็นร้านอาหารประเภทที่เรียกว่า Grotto หรือเดิมก็คือถ้ำในภูเขาที่คนเขาเอาไว้เก็บอาหาร แต่ปัจจุบันมีการดัดแปลงถ้ำพวกนี้กลายมาเป็นร้านอาหาร ซึ่งสมัยนี้ถ้าเรียกคำนี้ก็จะหมายถึงร้านอาหารที่อยู่ริมธารน้ำติดภูเขา อาจจะมีถ้ำหรือบ้านที่อยู่ในผาหิน ซึ่งร้านอาหาร Grotto นี้ส่วนมากก็จะเสิร์ฟอาหารบ้านๆ ง่ายๆ แบบอิตาเลี่ยน เช่น Polenta ไส้กรอก Cold cuts ปลาเทร้าท์ แต่ร้านนี้มีจุดเด่นตรงที่ตั้ง เพราะเขาตั้งอยู่ริมธารน้ำลึกในหุบเขา ตัวร้านอาหารก็เหมือนบ้านเกาะอยู่กับผาหิน มีระเบียงอยู่รอบภูเขาหิน และตรงริมธารน้ำก็เป็นเหมือนหาดกรวดเล็กๆ ให้คนลงไปแหวกว่ายน้ำเล่นได้ในสระมรกต น่ารักมากๆ การตกแต่งร้านเขาก็ใช้หินธรรมชาติทั้งหมด ทั้งโต๊ะเก้าอี้ที่นั่ง ร้านนี้ถ้าจะนั่งด้านนอกริมลำธารแบบนี้ปีหนึ่งมาได้แค่ไม่กี่เดือน เพราะอากาศจะหนาวเร็วกว่าที่อื่นเนื่องจากอยู่ในหุบเขา โต๊ะก็มีไม่กี่โต๊ะ ดังนั้นกว่าจะมาได้ในบรรยากาศแบบนี้ ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนทีเดียว

ก่อนกลับบ้านหลังจากเที่ยวชม Vallemaggia แล้วฉันก็แวะเดินเล่นและกินข้าวเย็นที่เมืองเล็กจิ๋วในเขต Ticino อีกแห่งหนึ่ง คือเมือง Giornico

เคยอ่านมาว่าเมืองนี้แม้จะเล็กจิ๋วเพียงแค่ 20 ตารางกิโลเมตรและมีพลเมืองเพียงแค่แปดร้อยกว่าคน แต่ก็ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ Inventory of Swiss Heritage Sites กันเลยเชียว แถมในเมืองเก่ายังมีโบสถ์หลายแห่งคือ S. Maria del Castello, S. Nicolao, S. Pellegrino และหอคอย Torre di Attone ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่อนุรักษ์ Swiss heritage site of national significance ของสวิสอีกด้วย

หมู่บ้านนี้เล็กจิ๋วมากๆ ใช้เวลาเดินเล่นแป๊บเดียวก็ทั่ว ฉันค้นพบว่าหมู่บ้านนี้ก็มีร้านอาหารประเภทที่เรียกว่า Grotto อยู่หลายแห่งริมแม่น้ำ Ticino ที่ไกลผ่ากลางเมือง จึงเลือกร้านเหมาะๆ ได้ร้านหนึ่งไปนั่งดื่มก่อนมื้อเย็นแกล้ม Cold cuts อย่างสบายใจ ร้านอาหารตรงด้านที่ติดแม่น้ำมีหาดทราย คนท้องถิ่นมานอนอาบแดดเล่นน้ำกัน แลดูชีวิตดีมากเลย น่าอิจฉาจัง

เสร็จแล้วเราก็ไปกินอาหารเย็นที่ร้านมีชื่อร้านหนึ่งของเมือง ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ในระหว่างแม่น้ำ ความน่ารักก็คือเราต้องเดินข้ามสะพานหินอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไปบนเกาะ แล้วจากอีกฝั่งหนึ่งของเกาะก็มีสะพานแบบเดียวกันข้ามไปอีก น่ารักเป็นที่สุด

ปกติเวลาฉันขับรถลงไปอิตาลี ก่อนกลับบ้านมักจะหิวข้าวเย็นแถวนี้พอดี ทีนี้ก็ทราบแล้วว่าจะต้องแวะกินข้าวเย็นที่ไหน

ไม่ว่าจะเมืองเล็กเมืองน้อย หมู่บ้านใดๆ ไปมาแล้วสรุปคือ Ticino คือแคว้นที่ฉันชอบมากๆ ที่สุดในสวิตฯจริงๆ

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY