มีเมืองเล็กแฝดแห่งหนึ่งที่มีความแปลกประหลาดไม่เหมือนเมืองอื่นใด เมืองแฝดนี้ชื่อว่า Baarle-Nassau ของประเทศเนเธอร์แลนด์และ Baarle-Hertog ของเบลเยี่ยม สองเมืองนี้อยู่ “ติด” กัน และผสมกลมกลืนกันจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองเดียวกัน
เพราะว่าความพิเศษก็คือ สองเมืองนี้เป็น Enclaves หรือดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศที่เข้าไปอยู่เป็นไข่แดงตรงกลางของประเทศอื่น ในกรณีนี้ก็คือ Baarle-Nassau ของเนเธอร์แลนด์มีดินแดนไข่แดง 7 ฟองอยู่ในพื้นที่ของเบลเยี่ยม และ Baarle-Hertog ของเบลเยี่ยมก็มีไข่แดง 22 ฟองอยู่ในเนเธอร์แลนด์ ด้วยความที่เป็นไข่แดงของกันและกันแบบนี้ ในเมืองทั้งสองแห่งนี้จึงมีเส้นประบอกการแบ่งพรมแดนอยู่ทั่วไปทั้งเมือง เดินๆไปเดี๋ยวก็ออกจากเบลเยี่ยมเข้าเนเธอร์แลนด์ เดี๋ยวก็ออกจากเนเธอร์แลนด์กลับเข้าสู่เบลเยี่ยม ถ้าจะเอาหนังยางมาเล่นกระโดดข้ามพรมแดนไปมาก็น่าจะสนุกดี และถ้าเราเอาแผนที่มากางดูก็จะเห็นไข่แดงยึกยือหลายฟองเหมือนตัวอะมีบ้าอยู่ตามเส้นพรมแดนระหว่างสองประเทศนี้เต็มไปหมดเลย
อาคารหลายแห่งในสองเมืองนี้ตั้งคร่อมอยู่บนเส้นแบ่งพรมแดน ดังนั้นจึงมีความประหลาดอยู่ที่หลายตึกจะมีเส้นพรมแดนผ่าเข้าไปกลางตึกเลย ส่วนการจะนับว่าตึกที่คร่อมสองประเทศนั้นอยู่ในประเทศไหน เขาให้ยึดตำแหน่งประตูหน้าบ้านเป็นหลัก ประตูอยู่ประเทศไหนก็จะนับให้ว่าเป็นประเทศนั้นใช้น้ำไฟและเสียภาษีของประเทศนั้น
ที่ว่าการอำเภอและสถานีตำรวจของหมู่บ้านนี้ก็ตั้งคร่อมพรมแดนอยู่เหมือนกัน ในสถานีจึงมีตำรวจเบลเยี่ยมและตำรวจเนเธอร์แลนด์นั่งทำงานอยู่ด้วยกัน เวลาประชาชนไปติดต่อก็คุยกับตำรวจของชาติตัวเอง แก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายของตัวเองกันไป และในส่วนที่ว่าการอำเภอนั้น เวลาคนเบลเยี่ยมไปจดทะเบียนแต่งงานที่นี่ ผู้หญิงผู้ชายจะต้องเซ็นชื่อบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ในเขตแดนเบลเยียม ถ้าเกิดไปเซ็นบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ในเขตเนเธอร์แลนด์จะไม่ถือว่าการสมรสเกิดขึ้น แปลกแต่จริง
เรื่องเล่าเกี่ยวกับความสับสนงงงวยของดินแดนในเมืองนี้มีมากมาย สาเหตุของความอุตลุดแบบนี้ก็เป็นเพราะในอดีตนมนานก่อนที่จะมีการก่อตั้งแบ่งดินแดนในเขต Lowlands นี้เป็นประเทศขึ้นนั้น มีท่านลอร์ดของเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ (ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นประเทศ) ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมากมาย ได้เกิดแลกที่ดินสลับกันขึ้นมา พอตอนหลังเบลเยี่ยมแยกตัวเป็นประเทศอิสระออกจากเนเธอร์แลนด์จึงไม่สามารถขีดเส้นแบ่งประเทศได้ดื้อๆ เพราะเขายึดว่าเจ้าของเป็นชาติไหนดินแดนที่เป็นของเจ้าของนั้นก็ให้ตกเป็นของชาตินั้น จึงกลายเป็นมีไข่แดงของแต่ละประเทศอยู่ในแผ่นดินใหญ่ของกันและกัน จะว่าไปแล้วดินแดนไข่แดงหรือ Enclave แบบนี้มีถึง 40 กว่าแห่งทั่วโลก และด้วยความที่ 30 แห่งอยู่ที่ชายแดนเนเธอร์แลนด์เบลเยี่ยมนี้ (มีไข่แดงอีก 1 แห่งของเนเธอร์แลนด์อยู่ในเบลเยี่ยมทางใต้ลงไปของสองเมืองนี้) เขาจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่ง Enclave โลกไปเลย!
ทีนี้เมื่อเวลาผ่านไป ความไม่ชัดเจนของดินแดนมันก็สร้างความลำบากและช่องโหว่ให้ชาวบ้านหลายคน จึงมีเหตุการณ์และเรื่องเล่าเกิดขึ้นมากมาย เช่นมีธนาคารซึ่งตั้งคร่อมอยู่ในสองประเทศ ธนาคารนี้ทำธุรกรรมสีเทาให้ลูกค้าโดยใช้ช่องโหว่ของกฎหมายที่ต่างกันของสองประเทศ เช่นการหลบเลี่ยงภาษีเป็นต้น โดยเซ็นเอกสารหรือรับฝากเงินถอนเงินในห้องส่วนที่เป็นของอีกประเทศหนึ่ง ตอนนี้ธนาคารนี้ไม่มีแล้ว แต่ยังมีตึกและป้ายเล่าเรื่องอยู่ข้างหน้าให้เราไปชมได้
หรือมีคุณลุงคนหนึ่งบ้านคร่อมอยู่สองประเทศ ประตูบ้านอยู่ทางฝั่งเนเธอร์แลนด์ คุณลุงอยากจะซ่อมแซมบูรณะบ้านแต่ทางการของเนเธอร์แลนด์ไม่อนุมัติเสียที คุณลุงเลยย้ายประตูหน้าบ้านให้มาอยู่ฝั่งเบลเยี่ยม บ้านจึงกลายมาเป็นเบลเยี่ยมโดยปริยาย ลุงก็ไปยื่นเรื่องขอบูรณะบ้านกับทางการเบลเยี่ยมแทน ซึ่งก็ได้รับการอนุมัติมา ปัญหาจบ!
เรื่องการย้ายประตูบ้านนี่รู้สึกจะมีหลายบ้านทีเดียวในอดีตเพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกและแก้ปัญหาต่างๆ แต่มีบ้านอยู่หนึ่งหลังซึ่งกระทั่งปัจจุบันก็นับว่าเป็นบ้านซึ่งขึ้นทะเบียนอยู่ในสองประเทศอย่างแท้จริง เพราะเส้นพรมแดนนั้นผ่ากลางประตูหน้าบ้านพอดี บ้านหลังนี้จึงมีบ้านเลขที่สองเลข เป็นเลข 2 ของเบลเยี่ยมและเลข 19 ของเนเธอร์แลนด์ และก็มีเรื่องเล่าว่าในอดีตบ้านนี้เคยใช้เป็นที่ทำการทางทหารของเนเธอร์แลนด์โดยที่ไม่รู้ว่าตัวบ้านตั้งอยู่ในสองประเทศ พอรู้ขึ้นมาจึงต้องมีการสลับห้องนอนและห้องทำงาน เพราะต้องทำตามกฏหมายที่ว่า ทหารที่อยู่ในบ้านนี้สามารถนอนในฝั่งเบลเยี่ยมได้แต่ไม่สามารถทำงานในเบลเยี่ยมได้ จึงต้องเอาโต๊ะทำงานและห้องทำงานไปอยู่ฝั่งที่อยู่ในเขตเนเธอร์แลนด์แทน แปลกดี กลางคืนนอนในเบลเยี่ยม พอตื่นเช้าเปิดประตูออกไปนั่งทำงานในห้องเนเธอร์แลนด์
สำหรับปัจจุบันก็ยังมีการใช้ช่องโหว่ของกฎหมายในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นการจุดพลุในเบลเยี่ยมไม่ผิดกฎหมาย แต่จะผิดกฎหมายสำหรับเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นร้านที่จะขายพลุได้ก็จะตั้งอยู่ในเขตเบลเยี่ยมเท่านั้น ในวันที่มีเทศกาลเฉลิมฉลองคนก็จะมาซื้อพลุในร้านเบลเยี่ยมแล้วก็ไปจุดเล่นกัน ซึ่งมันก็อยู่เหนือฟ้าปนกันไปในเมืองเดียวกันทั้งสองประเทศนี้แหละ และกฎหมายเกณฑ์อายุที่จะดื่มแอลกอฮอล์ได้ของเบลเยี่ยมคือ 16 ปีแต่เนเธอร์แลนด์คือ 18 ปี ดังนั้นวัยรุ่นก็จะเลือกเดินเข้าไปในผับที่เบลเยี่ยมแทน
ใครอยากไปเที่ยวเมืองนี้สามารถขับรถไปจากเมือง Antwerp ได้เพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้น ไปถึงแล้วเข้าไปใน Tourist Information Center ก่อน มีเจ้าหน้าที่อธิบายเล่าเรื่องให้ฟังประกอบนิทรรศการ และเราสามารถขอแผนที่มาเดินตามเส้นทางเดินเพื่อดูอาคารประหลาดต่างๆได้ ตามเส้นทางนี้ก็จะมีป้ายบอกเอาไว้ ตัวเมืองเล็กๆน่ารักเดินดูบ้านเมืองก็เพลิดเพลินดี จะรู้ว่าบ้านไหนเป็นบ้านดัชต์หรือบ้านเบลเยี่ยมก็ให้ดูสีของธงชาติที่เลขที่บ้านเอา สรุปแล้ววันนี้ฉันเดินทางเข้าออกสองประเทศเป็นว่าเล่นไม่รู้กี่สิบครั้งเลยทีเดียว